PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร:ตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ เลือกหุ้นปันผล - P/E ต่ำ

ตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ เลือกหุ้นปันผล - P/E ต่ำ
12 ก.ค. 59
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหุ้นไทยขยับอีกครั้ง หลังปัจจัย Brexit ทำงานเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า-ออกมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในประเทศยังรุมเร้ารอบด้าน เศรษฐกิจไทยโตช้า ตลาดหุ้นสหรัฐรอเฟดขยับดอกเบี้ยขึ้น กูรูด้านวีไอ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” แนะลดพอร์ตลงทุนถือเงินสดรอจังหวะ เลือกหุ้นพี/อีต่ำ ปันผลเด่น ธุรกิจมั่นคงสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากร นักลงทุนแนววีไอ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในลักษณะไซด์เวย์ มีความผันผวนและลงทุนได้ยากขึ้น ปัจจุบันเขาได้ลดพอร์ตลงทุนลง โดยถือเงินสดไว้ราว 40% ของพอร์ตลงทุน ซึ่งเป็นช่วงที่ถือเงินสดไว้มากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงปกติที่เคยถืออยู่ 0.5% เนื่องจากมองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจ จีน ญี่ปุ่น และยุโรปที่ยังชะลอตัวอยู่


ทั้งนี้มีเพียงเศรษฐกิจของสหรัฐที่ดีขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มจะปรับดอกเบี้ยขึ้นในอนาคต ทำให้เม็ดเงินต่างชาติพร้อมโยกกลับเข้าไปยังตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนจะต้องจับตามองเพราะจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการลงทุนของโลกที่ส่งผลทางอ้อมกับไทย และกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนได้ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมาหลายปีจึงไม่มีเหตุจูงใจทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามา ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า

“อาการของหุ้นที่ขึ้นไปได้ไม่ไกล ขึ้นไปสักพักก็ลงหรือลงไปสักพักเดี๋ยวก็ขึ้น อาการแบบนี้ผมเรียกว่าไซด์เวย์เพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน พื้นฐานเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดีเมื่อหุ้นไม่ไปไหนและปัจจัยเสี่ยงเยอะนักลงทุนควรถือเงินสดไว้รอจังหวะที่หุ้นตกแรงๆ ค่อยเข้าไปซื้อสะสมหุ้นจะดีกว่า”

เขาบอกว่า หุ้นหลายตัวที่ถืออยู่เฉลี่ย 10 ปี ให้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่า บางตัวถือมากกว่า 10 ปี หลายตัวราคาหุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นออกมาหลายตัว อาทิ กลุ่มโมเดิร์นเทรดค้าปลีกอย่าง BIGC เป็นต้น ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โมเดิร์นเทรดบางกลุ่ม เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ตขยายตัวช้าอย่างชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้การขยายสาขาเริ่มอิ่มตัว

ปัจจุบันสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) หุ้นไทยสูงถึง 20 เท่าต้องระมัดระวังในการลงทุนเพราะมองว่าหุ้นมีโอกาสจะลงมากกว่าปรับขึ้น จึงต้องรอจังหวะและเลือกเล่นหุ้นที่ปันผลดี และธุรกิจมีความมั่นคงสูง ถึงแม้กำไรจะไม่ค่อยโตหรือโตช้า อาทิ กลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ปันผลสูง 3-4% ดีกว่าฝากเงิน, กลุ่มค้าปลีกบางตัวเริ่มฟื้นตัวบ้างจากการบริโภค ส่วนกลุ่มสื่อสารแม้กำไรลดจริง แต่ทุกคนยังใช้มือถือ และกลุ่มโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ราคาปรับขึ้นไปมากแล้ว

“ตอนนี้หุ้นที่โตเร็วในเมืองไทยคือหุ้นตัวเล็กๆบางตัว พี/อี สูงมาก 40-50 เท่า ซึ่งโตเร็วแต่ซื้อไม่ลงเพราะขึ้นได้ด้วยเม็ดเงิน และเมื่อเม็ดเงินหายไปหุ้นจะตกลงมาแรง นาทีนี้จึงมองหาหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า 10 เท่าเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยโตหรือโตช้าๆ หรือโตเล็กน้อยก็ยังดี แต่จ่ายปันผลดี ธุรกิจมีความมั่นคงสูง”

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามด้วยเพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่ระดับอินเตอร์ เช่น ซัมซุง แอลจี และโซนี่เริ่มย้ายฐานการผลิตจากไทยไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะสินค้าใหม่ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตที่มีแรงงานที่ถูกคุณภาพดี และส่งออกสะดวก

“ในช่วงปีแรกที่เข้าๆ ไปลงทุนแม้จะไม่มีกำไรจากการลงทุน แต่ได้ผลตอบแทนปันผลมาประมาณ 10% ซึ่งเป็นระดับที่พอใจ และหลังจากลงทุนมาได้ 2 ปีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 30 กว่า% แบ่งเป็นกำไรจากราคาหุ้น 20% และเงินปันผล 10 กว่า%”
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/columnist_blog_detail/133#sthash.I4Wb3pt7.dpuf

ไม่มีความคิดเห็น: