เบื้องลึก ความนัย สถานการณ์ “การเมือง” พฤศจิกายน 2560
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
เข้าใจใน “ความตื่นตัว”
เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพิ่งสั่งการผ่านที่ประชุม ครม.
จากการพบว่า “มีสถานการณ์เข้าสู่โหมดการเมือง”
เห็นได้จากปรากฏการณ์หลายเรื่อง มีการใส่ร้าย บิดเบือน การปล่อยข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นเท็จหรือความพยายามลดความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบต่างๆ
คล้อยหลัง “คำสั่ง” นี้ ก็มีหนังสือด่วนมากของ “ตร.” ออกมา
ให้สืบสวนพฤติการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูล “แกนนำ” พร้อมเครือข่ายผู้ให้การสนับสนุนทางความคิด งบประมาณ รูปแบบการเคลื่อนไหวและจุดประสงค์ที่แท้จริงในการออกมาเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่ม
นี่แหละคือที่เรียกว่า “โหมดการเมือง”
ความเคยชินประการ 1 เมื่อเอ่ยถึง “โหมดการเมือง” ก็มักจะเห็นภาพพรรคเพื่อไทย ภาพ นปช.คนเสื้อแดงลอยเด่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
นั่นเป็นสภาพเมื่อ 3 ปีก่อน
ไม่ว่าจะเป็น “ขันแดง” ที่ภาคเหนือ ไม่ว่าจะเป็น “ปฏิทิน” ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนถูกประกบ ล้วนถูกเกาะติด
แต่พอ “ล่วง” มาถึงเดือนพฤศจิกายน 2560
“โหมดการเมือง” เริ่มแปรเปลี่ยน สัมผัสได้จากการเชิญตัวแกนนำเกษตรกรชาวสวนยางที่ตรังเข้าค่ายรัษฎานุประดิษฐ์
ประสานกับการเชิญตัวเกษตรกรชาวสวนยางที่พัทลุงเข้าค่ายอภัยบริรักษ์
นี่เป็น “ประชาธิปัตย์” มิใช่ “เพื่อไทย”
ความสลับซับซ้อนเพิ่มทวีขึ้นเมื่อเหตุผลในการปรับ ครม.มิได้มาจากการกดดันของปัจจัยภายนอก หากแต่มาจากปัจจัยภายใน
นั่นก็คือ การลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล
จากนั้นก็ตามมาด้วยสัญญาณจากการสำรวจความเห็นของประชาชนจากโพล “มืออาชีพ” ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพโพลล์ สวนดุสิตโพล หรือแม้กระทั่งนิด้าโพล
เน้นให้ปรับ ครม.กระทรวง “เศรษฐกิจ”
แต่ทำไมเมื่อสำรวจรายชื่อจากที่ปรากฏในกระแสทางสังคมกลับมีชื่อ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ และตามมาด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เท่ากับเป็นการ “ด้อยค่า” คนของ “คสช.”
ยิ่งเมื่อนักการเมืองอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง 6 คำถามโดยมีเป้าหมายไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และหัวหน้ารัฐบาล
ยิ่งทำให้ “โหมดการเมือง” ทวีความร้อนแรง
สถานการณ์ทางการเมืองในเดือนพฤศจิกายน 2560 จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์ 1 ปีแรกหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เวลาเพียง 3 ปี แปรเปลี่ยนไปถึงระดับนี้ได้อย่างไร
ในเมื่อคนที่จะถูกเฝ้ามองมิใช่พรรคเพื่อไทย มิใช่ นปช.คนเสื้อแดง หากแต่เป็นพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่เป็น กปปส.และเสียงโหวกเหวกอันมาจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“โหมดการเมือง” แบบนี้ย่อมไม่น่าไว้วางใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น