PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

แปลงสภาพเรือแป๊ะ “ประยุทธ์” นายกฯเลือกตั้ง : สนิมเนื้อใน อันตราย กัปตันเรือเหล็ก

หางพายุโซนร้อน “มูน” ทำฝนชุ่มฉ่ำตกแบบข้ามวันข้ามคืน

ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เตือนประเทศไทยมีฝนตกหนัก 23 จังหวัด ระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยสถานการณ์ภาคอีสานน้ำเซาะถนนขาดหลายสาย ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก น้ำป่าทำเสาไฟฟ้าหักโค่น และเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งกำชับให้ทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุมูน ทำให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกัน เฝ้าระวังสถานการณ์ แจ้งเตือน และออกติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวอย่างทั่วถึง

ภัยพิบัติฉุกเฉินที่รัฐบาลต้องรีบดูแลความเดือดร้อนประชาชน

ในห้วงสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังอยู่ระหว่างรอกระบวนการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนเดิมคือ พล.อ.ประยุทธ์

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีมีการยืนยันแล้วว่า จะนำ ครม.ทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนฯกลางเดือนกรกฎาคม รัฐบาลใหม่จะเข้าบริหารงานได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือนนี้

โดยเป็นไปตามกรอบเวลาที่ คสช.วางโรดแม็ปไว้

ไม่ได้ล่าช้าจากความปั่นป่วนวุ่นวายที่มีการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะสถานการณ์ของทีม “สามมิตร” และกลุ่มก๊วนภายในพรรคพลังประชารัฐ ป้อมค่ายหลักของ พล.อ.ประยุทธ์เองที่ตกลงกันไม่ได้

ถึงขั้นระเบิดศึก อัปเปหินายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

ฟัดกันชามข้าวกระจาย ทำให้โพลสะท้อนอารมณ์สังคมเบื่อหน่ายนักการเมือง

ก่อนจบแบบหักมุม โดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร แถลงข่าว ยอมให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การบริหารประเทศเดินหน้าต่อไปได้

ขอโทษนายกฯและพรรคที่ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย

บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลาย อุณหภูมิที่ดุเดือดเลือดพล่านลดดีกรีลงวูบวาบแค่ข้ามคืน

และนั่นก็ล้อกับโผรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ออกมาตามสื่อกระแสหลัก ส่วนใหญ่ตรงกันค่อนข้างจะเกินกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะตำแหน่งที่นิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ กระทรวงที่ไม่พลิกไปพลิกมา

วุ่นจริงๆก็แค่ รมว.พลังงาน กับ รมว.อุตสาหกรรม

ประเมินตามโพยที่ออกมา ก็เห็นได้เลยว่า ครม.จัดตามสัดส่วนโควตา ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ว่ากันตามผลงานในสนามเลือกตั้ง ประกอบกับเนื้องานของคนที่ทำผลงานให้พรรค

อีกปัจจัยสำคัญก็คือความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์

แบ่งเป็นโควตากลางของนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม

เป็นทีมงานที่ พล.อ.ประยุทธ์รู้มือรู้ใจกันตั้งแต่รัฐบาล “ลุงตู่ ภาค 1”

เช่นเดียวกับทีม 4 กุมาร ก็คือ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ส่วนนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล หลุดโผ ไม่มีตำแหน่งใน ครม. “ประยุทธ์ ภาค 2”

ในฐานะที่เป็นพวกเสียสละ ลาออกมาลุยตั้งไข่พรรคตั้งแต่ต้น

ขณะที่กลุ่มสามมิตร นายสุริยะเป็น รมว.อุตสาหกรรม นายสมศักดิ์เป็น รมว.ยุติธรรม ที่หลุดไปก็คือนายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ที่พลาดหวัง รมช.คลัง

ตรงนี้หักมุมการทุ่มสรรพกำลังของนายสุริยะและนายสมศักดิ์

และนั่นก็สวนทางกับกลุ่ม กปปส.ที่ขึ้นหม้อ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นั่งแป้น รมว.ศึกษาธิการ ขณะที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ประเดิมเก้าอี้ รมว.ดิจิทัลฯ ฟันไป 2 กระทรวงใหญ่

สิทธิพิเศษในฐานะที่ใกล้ชิดทีมนายกฯมากกว่าจำนวน ส.ส.ซึ่งแทบไม่มีพลัง

อีกส่วนก็มาด้วยลำพังกำลังขาตัวเองก็คือคิวของนายธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ทั้งควักทุน เล่นบทมือประสานให้พรรคทั้งทางลับทางแจ้ง ได้ปูนบำเหน็จเก้าอี้ รมว.แรงงาน ส่วนนายสันติ พร้อมพัฒน์ หัวหน้าทีมเมืองมะขามหวาน เพชรบูรณ์ ที่กวาด ส.ส.มายกจังหวัด ก็ได้นั่ง รมช.คลัง นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ล็อกโควตาแทนนายวิรัช รัตนเศรษฐ บิดา ที่ผลงานกวาด ส.ส.โคราช แต่ติดภาพลักษณ์ปมหมองๆในอดีต

พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯควบ รมว.พาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ

พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นั่งรองนายกฯควบ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวฯ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ (ศรีจันทร์งาม) รมช.ศึกษาธิการ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์

พรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรฯ นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ ในฐานะที่แสดงความจริงใจเป็นแนวร่วมกับทีม “บิ๊กตู่” มาตั้งแต่ต้น พรรครวมพลังประชาชาติไทย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ยึด รมต.ประจำสำนักนายกฯ เช่นเดียวกับนายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา

แจกจ่ายกันทั่วหน้า ตามสัญญาใจที่รับปากกันไว้

แต่อีกส่วนก็ยังเป็นอารมณ์ผู้นำอำนาจพิเศษ“บิ๊กตู่” ยังติดสถานะเก่าผู้นำทหารที่ถนัดชี้นิ้วสั่ง

โดยเฉพาะในส่วนโควตา “พลังประชารัฐ” ที่มีการ “ยำสามมิตร” ปรับสูตรกันใหม่

แต่ที่สุดเลยภาพรวม ครม.ก็ออกมาดูผสมผสาน เน้นมือบริหาร โดยเฉพาะเทคโนแครตทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด อย่างนายอุตตม นายสุวิทย์ หรือมืออาชีพเฉพาะทางอย่างนายวิษณุ นายดอน

แม้แต่ “สุริยะ-สมศักดิ์” เอง ก็ได้คะแนน “สวนดุสิตโพล” คนหนุนเหมาะสมนั่งรัฐมนตรี เพราะฝีมือบริหารที่แสดงมาแล้วในอดีตรัฐบาลไทยรักไทย

กลบภาพเทาๆในมุมพรรคร่วมรัฐบาลที่ไฟต์บังคับเสียงปริ่มน้ำเลือกมากไม่ได้

ธรรมชาติของรัฐบาลผสม ไม่ “หล่อ” แต่ก็ไม่ถึงกับ “ยี้” จนรับไม่ได้

อารมณ์แบบที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ รองประธานกรรมการของหอการค้าไทย ระบุ โผ ครม.ถือว่านายกฯบริหารจัดการได้ดี หากปล่อยให้บุคคลที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องการ โฉมหน้า ครม.คงแย่กว่านี้

ครม.ชุดนี้ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้

ที่แน่ๆ มันเป็นความภาคภูมิใจของ “บิ๊กตู่” ที่เปลี่ยนสถานะเป็น “นายกฯเลือกตั้ง”

และตามกระบวนการ เมื่อ ครม. “ประยุทธ์ ภาค 2” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็เท่ากับหมดเขตรัฐบาลอำนาจพิเศษ ดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 ไม่มีอีกต่อไป กองทัพก็ต้องถอยห่างจากบทแบ็กอัป

ในเส้นทางที่ “บิ๊กตู่” ต้องเข้าสู่โหมดเผชิญ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ในสภา

ตามจังหวะที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยได้ปรับยุทธศาสตร์ดันนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ นั่งแท่นหัวหน้าพรรค และสถานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมประกาศเลยว่า ไม่ใช่แค่ “สตันต์แมน”

เกมในสภา “บิ๊กตู่” เจอทีมนายใหญ่ดูไบ “จัดเต็ม” แน่

ส่วนสงครามนอกสภา “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคลื่อนไหวระดมแนวร่วมมวลชน ตั้งแท่นรับสถานการณ์ที่ส่อโดนฟันคดีถือหุ้นสื่อ ต้องหลุด ส.ส.

ล้อกับ “จุดเสี่ยง” เชื้อไฟวิกฤติแตกแยกที่กำลังถูกกระพือขึ้นมา

กับปรากฏการณ์ “จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำแนวต้านอำนาจ คสช.โดนมือมืดลอบทำร้ายกระตุ้นกระแสกดดันฝ่ายคุมอำนาจความมั่นคง

มวลชน “สีส้ม” รุ่นใหม่ ถูกปลุกมาแทนที่ม็อบแดงและม็อบเหลือง

แต่นั่นก็ยังมีข่าวดีที่พอหายใจหายคอได้ กับ “จุดเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ” ภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เพลาดีกรีลง หลังการประชุมจี 20 ที่ญี่ปุ่น ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กับประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ดึงจังหวะถอย ก่อนพังยับทั้งสองฝ่าย

มันจึงเป็นงานง่ายขึ้น สำหรับทีม “สมคิด” ที่จ่อลุยอัดฉีดเศรษฐกิจขนานใหญ่

ทั้งหมดทั้งปวง “จุดเสี่ยง” ที่อันตรายสุด ตามท้องเรื่องแบบที่ “จอมเก๋า” ระดับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯและว่าที่รองนายกฯ เตือนลอยๆออกอากาศ เปรียบเปรยเป็นเชิงทีม “เรือแป๊ะ” กำลังเปลี่ยนเป็น “เรือเหล็ก”

โดยกำลังของประชาชนคนไทยต้องช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย

แต่อันตรายที่ต้องระวังคือ “สนิมเนื้อใน”

นั่นก็เป็นอะไรที่ล้อกับอาการภายในทีมพรรคพลังประชารัฐที่ “กลืนเลือด” ค้างคาใจการจัดสรรปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรี ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับคนใกล้ชิดนายกฯ ทีม กปปส. ฝ่าย เสธ.ตึกไทยฯ

ในจังหวะที่พอดิบพอดีกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดบัญชีทรัพย์สินของทีมท็อปบูตคู่ใจผู้นำที่เป็นกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ

ปรากฏตัวเลขกระตุกเครื่องหมายคำถามสังคม ทหารมีเป็นร้อยๆล้านทำไมรวยนัก

หน้าตักโปร่งใสของ พล.อ.ประยุทธ์ ในสถานะนายกฯเลือกตั้ง ลดลงกว่าตอนเป็นกัปตันเรือแป๊ะ

และยิ่งท้าทาย “บิ๊กตู่” ในฐานะกัปตันเรือเหล็ก ที่ต้องเสี่ยงกับ “สนิมเนื้อใน”.

ทีมการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: