PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กรณีวุฒิสหรัฐแฉCIAระบุมีคุกลับใจไทย

Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 ธันวาคม 2557 15:06 น.
 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - จากการเปิดเผยเอกสารร่วม 528 หน้าจากทั้งหมดกว่า6,000 หน้าของรายงานคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯที่มีสว.รัฐแคลิฟอร์เนีย ไดแอน ไฟน์สไตน์ นั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการสายพรรคเดโมแครตได้เปิดเผยรายงานโครงการลับของCIA ในสมัยรัฐบาลพรรคคู่แข่ง อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บูช จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งสื่อสหรัฐฯ นิวยอร์กไทม์ส และวอชิงตันโพสต์ระบุตรงกันว่า คณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯชี้ว่า CIA ได้ใช้ไทยเป็นคุกลับในการเริ่มต้นกระบวนการสอบปากคำแบบพิเศษกับนักโทษอัลกออิดะห์รายแรก อาบู ซูไบดา (Abu Zubaida) ซึ่งสื่อนอก เช่น ดิ อินดีเพนเดนท์ระบุว่า CIA ใช้คุกลับต่างแดนทรมานผู้ต้องสงสัยสมาชิกกลุ่มมุสลิมติดอาวุธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมที่กระทำต่อผู้ถูกจับกุมเหล่านั้น และในทางกลับกัน CIA ทั้งโกหกและปกปิดในสิ่งที่เกิดขึ้น
       
       เมื่อวานนี้(9) เป็นอีกครั้งที่สหรัฐฯต้องเผชิญกับความจริงที่ขมขื่นเมื่อรายงานการเปิดเผยโครงการสอบปากคำพิเศษของCIA ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการประจำวุฒิสภาสหรัฐฯด้านความมั่นคงและข่าวกรองได้เผยแพร่ตามกำหนด
       
       และในรายงานร่วม 528 หน้าที่ถูกเปิดเผยจากชั้นความลับสุดยอดของสหรัฐฯนั้น นิวยอร์กไทม์ส รายงานเมื่อวานนี้(9)ว่า ในรายงานคณะกรรมาธิการวุฒิสมาชิกสหรัฐฯได้อ้างอิงจุดเริ่มต้นกระบวนการสอบปากคำพิเศษในเดือนสิงหาคม ปี 2002 ที่ถูกระบุจากเอกสารภายในของ CIA ที่ส่งออกมาจาก “คุกลับในไทย” ซึ่งเป็นสถานที่ CIA ใช้กักขังผู้ต้องสงสัยรายแรก ถึงสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ ทั้งนิวยอร์กไทม์สและวอชิงตันโพสต์ระบุตรงกันว่า ไม่กี่วันหลังจากที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯอนุญาตให้ CIA สามารถใช้วิธีพิเศษสอบสวนผู้ต้องหา อาบู ซูไบดา (Abu Zubaida) ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของอัลกออิดะห์ นับเป็นครั้งแรกของจุดเริ่มต้นของการสอบปากคำที่ใช้วิธีทรมานนี้ ซึ่งในรายงานหน้า 5 ระบุว่า ในบันทึกภายในของอัยการสูงสุดสหรัฐฯ หรือ OLC ที่ส่งไปยังที่ปรึกษาทำเนียบขาว (White House Counsel) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2002 ในหัวข้อ “Standard of Conduct for Interrogation” ระบุว่า จากการประเมินของ OLC พบว่า “ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ความจำเป็น หรือการป้องกันตนเอง นั้นอาจจะทำให้วิธีสอบปากคำพิเศษนั้นมีน้ำหนัก ถึงแม้ว่าวิธีการนี้อาจละเมิดข้อห้ามใช้วิธีทรมานในกระบวนการยุติธรรม” ซึ่งคณะกรรมาธิการสหรัฐฯชี้ว่า OLCนั้นใช้ข้อมูลอ้างอิงที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ อาบู ซูไบดา ที่ได้รับการป้อนข้อมูลมาจาก CIA ในการพิจารณา
       
       ทั้งนี้สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ CIA ประจำคุกลับในไทยต่างเป็นพยานกับความโหดร้ายของกระบวนการสอบสวน และล้วนต้องการขอย้ายออกจากคุกลับแห่งนี้เพราะไม่สามารถทนได้กับวิธีการทรมานที่ผิดมนุษย์ของทาง CIA ที่คิดค้นวิธีรีดข้อมูลจากซูไบดาได้
       
       ซึ่งหนึ่งในกระบวนการสอบปากคำคือ การใช้น้ำรดบนใบหน้าจนไม่สามารถหายใจได้ และในระหว่างที่แกนนำอัลกออิดะห์ถูกน้ำรดบนหน้าอย่างต่อเนื่องในขณะที่ชายผู้นี้ถูกจับให้นอนในกล่องขนาดเท่าโลงศพ นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ในจุดหนึ่ง ดูเหมือนว่าซูไบดาไม่ตอบสนองหรือดิ้นรนขัดขืน และมีฟองอากาศออกมาจากปากของเขา
       
       การสอบปากคำแบบพิเศษกับแกนนำอัลกออิดะห์รายนี้นั้นใช้เวลายาวนานหลายกว่าสัปดาห์ และมีเจ้าหน้าที่ CIA บางส่วนในไทยเริ่มส่งคำร้องไปยังสำนักงานใหญ่ในรัฐเวอร์จิเนีย และตั้งคำถามถึงกระบวนการทรมานที่พวกเขากระทำนั้นชอบด้วยกฎหมายสหรัฐฯหรือไม่ แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายว่า คำถามเหล่านั้นถูกปฎิเสธจากสำนักงานใหญ่ในสหรัฐฯ โดยอ้างว่า “การตั้งคำถามเช่นนั้นไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด”
       
       และวอชิงตันโพสต์ยังระบุถึง “ไทย” ในฐานะที่ถูกใช้เป็นคุกลับว่า ซูไบดา นักโทษคนแรกของ CIA ถูกจับกุมในขณะที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในตอนเริ่มแรกเขาถูกขังในเดือนมีนาคม 2002ที่ปากีสถาน และหลังจากนั้น CIA ย้ายแกนนำระดับสูงของกลุ่มอัลกออิดะห์มายังไทยต่อจากนั้น ซึ่งคุกลับในไทยนี้ CIAใช้ชื่อรหัสว่า “ไซต์กรีน (Site Green)” โดยซูบาไดถูกขังเดี่ยวเป็นเวลา 47 วัน ก่อนที่ CIAจะเริ่มต้นการสอบปากคำแบบพิเศษตลอด 24 ชม.ในวันที่ 4 สิงหาคม 2002 เวลา 11.50 น. และทรมานแกนนำอัลกออิดะห์ผู้นี้ 17 วันติดต่อกัน
       
       นอกจากนี้วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า ซูไบดาถูกทรมานโดยใช้น้ำรดหน้าถึง 83 ครั้ง และยังถูกขังให้นอนภายในกล่องขนาดเท่าโลงศพนานราว 266 ชม. ในระยะเวลา 20 วันของการสอบปากคำในช่วงปี 2002 ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บูช รับทราบความเคลื่อนไหวของซูไบดาจากการรายงานสรุปประจำวันของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯว่า ชายผู้นี้ “ยังคงกุมความลับสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์” ถึงแม้ว่าจะขัดแย้งกับข้อมูลที่ส่งมาจากคุกลับในไทยที่ชี้ว่า “ซูไบดานั้นยอมให้ความร่วมมือ” และสรุปว่า “ชายผู้นี้ไม่มีข้อมูลที่ทางหน่วยงานต้องการ”
       
       และจากการรายงานของโกลบอล นิวส์พบว่า ในรายงานเปิดเผยโครงการสอบปากคำพิเศษของ CIA ยังระบุถึงไทยต่อว่า CIA ดูเหมือนตระหนักถึงความทารุณในวิธีสอบปากคำพิเศษที่อาจจะทำให้ผู้ต้องสงสัย เช่น อาบู ซูไบดา ล้มป่วยอย่างหนัก หรือถึงแก่ชีวิต โดยอ้างอิงเอกสารที่ส่งออกมาจากคุกลับในไทยในเดือนกรกฎาคม 2002 มีการระบุว่า “ในสถานการณ์ที่(อาบู ซูไบดา)เสียชีวิต ทางเราต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ เช่นการติดต่อประสานงานกับเจ้าของบ้านที่อนุญาตให้ทางเราใช้สถานที่”
       
       และโกลบอลนิวส์รายงานยังเพิ่มเติมว่า ซูไบดาถูกย้ายตัวจากคุกลับในไทยในเดือนธันวาคม 2002 ไปยังโปแลนด์ และต่อจากนั้นถูกส่งต่อไปยังคุกกวนตานาโม และยังคงถูกขังที่นั่นจนถึงทุกวันนี้
       
       นอกจากนี้ในหน้า 9ของรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯได้ระบุถึง “ความไม่พร้อม” ในการจัดเตรียมสถานที่คุกลับในต่างแดนของ CIA สำหรับนักโทษรายแรก โดยพบว่าในปลายเดือนมีนาคม 2002 ที่ทางหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯสามารถจับกุมตัว“อาบู ซูไบดา” ได้ และทำให้ CIA ต้องรีบประเมินถึงความน่าจะเป็นของสถานที่แต่ละประเทศที่จะสามารถถูกใช้เป็นคุกลับ ซึ่งการจัดตั้งคุกลับภายฐานทัพสหรัฐฯถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯที่ได้รับอำนาจจากคำสั่งการของบูชผ่าน Memorandum of Notification (MON) ที่อนุญาตให้มีอำนาจกระทำได้ในปฎิบัติการตอบโต้ก่อการร้าย
       
       และในรายงานหน้า 9 ยังชี้ว่า CIA ต้องการหลีกเลี่ยงที่จะต้องเปิดเผยถึงการจับตัว “อาบู ซูไบดา” ต่อองค์การกาชาดสากลหากเขาถูกคุมขังภายในฐานทัพสหรัฐฯ ทางหน่วยงานจึงตัดสินใจเลือกที่จะขออนุญาตที่จะสามารถกักตัวซูไบดาภายในที่ตั้งของหน่วยงานภายในประเทศ x ซึ่งต้นฉบับรายงานที่ถูกเผยแพร่นั้นได้ลบชื่อประเทศออก แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่า ประเทศX นั้นเป็นสถานที่ซึ่งแกนนำอัลกกออิดะห์ถูกกักขัง และหนึ่งในนั้นคือ “ไทย” ทั้งนี้รายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯระบุเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศ Xนั้น แต่เริ่มแรกทาง CIA ไม่คิดจะใช้เป็นฐานคุกลับกักขัง“อาบู ซูไบดา” ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสุดของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ แต่ในที่สุดในช่วงรายงานสรุปประจำวัน บูชได้อนุญาตให้หน่วยงาน CIA สามารถกักขังซูไบดาใน “ประเทศ X” ได้
       
       และในหน้า 10 ของรายงาน ภายใต้หัวข้อ #12 “The CIA's management and operation of its Detention and Interrogation Program was deeply flawed throughout the program's duration, particular ly so in 2002 and early 2003” ได้เริ่มต้นด้วยการระบุถึง “คุกลับในประเทศ X” และโครงการสอบปากคำพิเศษเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน 2002 และพบว่า สถานที่แห่งนี้ถูกใช้กักขังผู้ต้องสงสัยสมาชิกก่อการร้ายมากกว่าครึ่งของจำนวน 119 คนที่ CIA ระบุถึงการใช้วิธีพิเศษในการสอบสวน
       
       ซึ่งจากข้อมูลการวิเคราะห์ของวอชิงตันโพสต์ที่ระบุถึงไทยในฐานะที่เคยถูกใช้เป็นคุกลับกักขังซูไบดา แกนนำอัลกออิดะห์ และดูจากเงื่อนเวลา ทำให้เป็นที่สงสัยว่า ประเทศ X ที่ถูกกล่าวถึงในรายงานนั้นเป็น “ไทย” ใช่หรือไม่ ทั้งนี้บางกอกโพสต์ สื่อไทยได้วิเคราะห์ถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า ในรายงานแฉ CIA ของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯนั้น “น่าผิดหวัง” เพราะตลอดทั้ง 528หน้า ในส่วนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อประเทศที่ถูกใช้เป็นคุกลับนั้นถูกปิดบัง รวมถึงไม่มีการเปิดเผยถึงความเกี่ยวข้องระหว่าง CIA สหรัฐฯ กับรัฐบาลไทยในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงหน่วยงานความมั่นคงของไทย และกองทัพไทยแต่อย่างใด
       
       โดยสื่อไทยระบุว่า ได้รับทราบข้อมูลจาก “รายงานฉบับเต็มที่ยังไม่ได้ถูกเซนเซอร์” ระบุถึงสาเหตุที่ CIA เลือกที่จะใช้ไทยเป็นฐานคุกลับกักขังนักโทษรายแรกของหน่วยงานสืบเนื่องมาจาก “ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแนบแน่นระหว่างหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯและไทยเป็นสำคัญ” และเหตุนี้รายงานฉบับนี้จึงชี้ว่า ผู้นำไทยในขณะนั้น “ไม่รับทราบถึงการมีอยู่ของคุกลับนี้จนกระทั่งทาง CIA ได้เริ่มต้นเปิดใช้ไปแล้ว”
       
       และบางกอกโพสต์ยังชี้เพิ่มเติมว่า จากรายงานฉบับยังไม่ได้รับการแก้ไขระบุว่า ทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจอร์จ ดับเบิลยู บูช และอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนี ล้วนรับทราบการมีอยู่ของคุกลับ CIA ในไทย แต่เป็นเพราะรายงานฉบับ 528 หน้าที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะในวันพุธ(9)นั้นเต็มไปด้วยการปิดบังข้อความสำคัญเกือบทำหมด ทำให้สื่อไทยสรุปว่า “เป็นการยากที่จะทราบถึงความเกี่ยวพันของฝ่ายไทย เช่น รัฐบาลไทย หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ ต่อCIA และคุกลับแห่งนี้ว่าอยู่ในระดับไหน”
       
       ซึ่งในหน้า 308 ของรายงานมีข้อความระบุถึง “รัฐบาลไทย” หรือหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวพันกับบุคคลที่ทางสหรัฐฯหมายตา 

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
ในหน้า 308 ของรายงานมีข้อความระบุถึง “รัฐบาลไทย” หรือหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวพันกับบุคคลที่ทางสหรัฐฯหมายตา
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
สว.รัฐแคลิฟอร์เนีย ไดแอน ไฟน์สไตน์
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
จากรายงานฉบับยังไม่ได้รับการแก้ไขระบุว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯจอร์จ ดับเบิลยู บูช และอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนี ล้วนรับทราบการมีอยู่ของคุกลับ CIA ในไทย
        

 Focus : สื่อนอกชี้ รายงานแฉ CIA ระบุ “ไทยเป็นคุกลับ” จุดเริ่มต้นทรมานนักโทษอัลกออิดะห์คนแรก
CIA ได้ใช้ไทยเป็นคุกลับในการเริ่มต้นกระบวนการสอบปากคำแบบพิเศษกับนักโทษอัลกออิดะห์รายแรก อาบู ซูไบดา (Abu Zubaida) 

ไม่มีความคิดเห็น: