แต่เป็นที่เข้าใจกันได้ดีว่า การที่ม็อบ กปปส.สามารถก่อการเป็นพาลได้ขนาดนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากพลังจารีตนิยมในสังคมไทย ซึ่งท่าทีของฝ่ายจารีตนิยมนั่นเอง กลายเป็นเครื่องพันธนาการไม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ความเด็ดขาดในการรักษากฎหมายกับฝ่ายม็อบ ตัวอย่างเช่น กองทัพแทนที่จะเป็นกลไกสนับสนุนความชอบธรรมของรัฐบาล และช่วยเหลือในการดำเนินการให้สถานการณ์คืนสู่ปกติ แต่กลับวางตัวในลักษณะเป็นกลางหรือแสดงท่าทีให้ท้ายฝ่ายม็อบ เท่าที่ผ่านมา รัฐบาลจึงได้แต่อาศัยฝ่ายตำรวจเท่านั้นที่เป็นกองกำลังรักษาสถานการณ์
นอกจากนี้คือ กลุ่มประชาสังคมชนชั้นกลางจำนวนมากที่เทใจสนับสนุนฝ่ายม็อบ กลุ่มนี้จะมีส่วนช่วยสร้างคำอธิบายให้ความชอบธรรมแก่ฝ่ายม็อบ เช่น การอธิบายการเคลื่อนไหวของฝ่ายนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่าเป็นการกระทำที่รักชาติ การสร้างกระแสเรื่องการทุจริตคอรับชั่นอันปราศจากหลักฐานมาโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การช่วยแก้ต่างเวลาฝ่ายม็อบก่อความรุนแรง เช่น ที่สนามราชมังคลาก็โยนความผิดไปที่กลุ่มคนเสื้อแดง ต่อมา ก็อธิบายว่า การล้มการเลือกตั้ง ทำลายประชาธิปไตย ตัดสิทธิเลือกตั้งของประชาชนเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อที่จะต้องปฏิรูปประเทศก่อน หรือที่ไปไกลก็คือการยอมรับว่า การเลือกตั้งแบบ ๑ สิทธิ์ ๑ เสียงไม่เหมาะกับประเทศไทย ต้องเป็นระบอบการปกครองโดยคนดีที่เสนอโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเหมาะกับประเทศไทย เป็นต้น
ที่มากกว่านั้นคือองค์กรอิสระทั้งหลาย ได้แสดงบทบาทเป็นแนวร่วมทางอ้อมของม็อบ กปปส. เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็รับรองว่าการเคลื่อนไหวของม็อบเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญก็อธิบายว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายม็อบยังเป็นแบบสันติ อหิงสา ส่วนคณะกรรมการเลือกตั้ง(ก.ต.ต.) ที่มีหน้าที่จะต้องจัดการเลือกตั้ง กลับแสดงความพยายามที่จะหาทางเลื่อนและล้มการเลือกตั้งให้จงได้ และยังมีการตระเตรียมที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะชี้มูลความผิดของ ส.ส.และ ส.ว. ๓๘๓ คน ที่ลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.อีกด้วย ซึ่งส่วนมากเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล และรวมนายกรัฐมนตรีด้วย โดยหวังจะใช้เงื่อนไขนี้เป็นการล้างบางนักการเมืองฝ่ายเพื่อไทย
แต่ปัญหาสำคัญของการเคลื่อนไหวของ กปปส.และกระบวนการฝ่ายจารีตนิยมขณะนี้ คือ การขาดเหตุผล ขาดความชอบธรรมในแทบทุกประเด็น โดยเฉพาะการข่มขู่ล้มการเลือกตั้งก็เป็นการละเมิดกฎหมาย ทำลายหลักประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิคนอื่นที่ต้องการจะเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้ง ขบวนการของพวกม็อบล้มประชาธิปไตยเช่นนี้จึงถูกปฏิเสธจากโลกนานาชาติ ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวปิดกรุงเทพที่จะมีขึ้นก็จะสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างมหาศาล และสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่งต่อประชาชน จะเป็นการทำลายแนวร่วมและผู้สนับสนุนฝ่ายม็อบในกรุงเทพจำนวนมาก แต่ที่สำคัญคือ มาตรการนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเลยในการล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์
หรืออธิบายในอีกด้านหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ควบคุมสถานการณ์ด้วยความสงบนิ่ง ยึดหลักการประชาธิปไตย และความชอบธรรมทางกฎหมายไว้ แล้วยืนยันจะไม่ลาออกตามกระแส ก็จะสร้างความยากลำบากให้กับฝ่ายอำมาตย์มากขึ้นทุกที การปิดกรุงเทพฯไม่ว่าจะกี่วันจะทำอะไรฝ่ายรัฐบาลไม่ได้เลย และจะถูกบีบจากประชาชนที่เดือดร้อนให้ยุติไปเอง
หรือจะเกิดเหตุอื่น เช่น กรณีที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง (ก.ต.ต.)หาเหตุอย่างใดทำให้การเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ดำเนินไปไม่ได้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังรักษาการบริหารประเทศต่อไป ถ้าเลือกตั้งแล้วเปิดประชุมสภาไม่ได้เพราะเสียงไม่ครบ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังรักษาการไปจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ เป้าหมายที่จะโค่นรัฐบาลจึงใช้วิธีนี้ไม่ได้
ถ้าหากจะให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดของ ส.ส.และ ส.ว. ๓๘๓ คน ก็จะต้องใช้เหตุผลแบบตะแบงอย่างมาก เพื่ออธิบายให้ได้ว่า ส.ส.และ ส.ว.ลงมติในสภาในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา แล้วมีความผิดได้อย่างไร แต่ที่มากกว่านั้นคือ วิธีการนี้ล้มรัฐบาลไม่ได้ เพราะนี่เป็นรัฐบาลรักษาการ ต้องทำงานไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่มารับผิดชอบ และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรีใหม่ก็จะมาจากพรรคเพื่อไทยนั่นเอง ถ้าหากนายกรัฐมนตรีและ ส.ส.จำนวนมากถูกตัดสิทธิ์ พรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลที่เคยถูกตัดสิทธิ์ครบ ๕ ปี ได้สิทธิกลับมาแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ได้อยู่ดี
ดังนั้น ถ้าม็อบ กปปส.จะโค่นรัฐบาลให้ได้ จะต้องให้ม็อบอันธพาลยกระดับการก่อกวน และสร้างความรุนแรงให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต แต่การกระทำเช่นนั้น ก็จะยิ่งกลายเป็นการทำลายความชอบธรรมของฝ่ายม็อบมากขึ้นทุกที
ในที่สุดเหลือวิธีการสุดท้ายเพียงประการเดียวที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนรัฐบาล หรือ”โค่นระบบทักษิณ”ให้ได้สำเร็จ ก็คือการสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารในรูปแบบใดก็ได้ ดังนั้น กระแสรัฐประหารจึงเป็นที่กล่าวถึงกันมากขึ้น ในเมื่อม็อบเริ่มไม่มีทางออก การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงเป็นการสร้างความวุ่นวายเพื่อปูทางสู่การรัฐประหาร จากนี้เอง การที่กลุ่ม นปช.(แนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ) รณรงค์เรื่องการต่อต้านรัฐประหารจึงมีนัยสำคัญ
เพียงแต่ว่าการก่อการรัฐประหารใน พ.ศ.๒๕๕๗ นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวิธีการเปลี่ยนอำนาจโดยการก่อรัฐประหาร ถือเป็นเรื่องเหลวไหลในระดับโลก เป็นการเมืองแบบด้อยพัฒนา ในประเทศไทยเอง กระแสการไม่เอารัฐประหารในหมู่ประชาชนก็รุนแรง แม้แต่ในกองทัพเอง ก็มีนายทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารจำนวนมาก ดังนั้น ถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดก่อการรัฐประหารได้สำเร็จ การควบคุมสถานการณ์ก็ไม่ง่ายนัก
แต่กระนั้น กลุ่มพลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็ยังต้องร่วมกันคัดค้านการปิดกรุงเทพฯ ต้องพยายามผลักดันการเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ให้ลุล่วง ไม่ใช่เพื่อเป็นการรักษารัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เป็นการรักษาประชาธิปไตยของประเทศให้ดำเนินต่อไป เป็นการรักษาสิทธิที่จะเลือกตั้งของประชาชนเอาไว้ ให้พ้นจากภัยพวกขี้แพ้ชวนตี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น