PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับกลยุทธรับ ปธน.สหรัฐ"โดนัลด์ ทรัมป์"


มหกรรมพลิกโผทุกสำนัก กับผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ที่ชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” พร้อมกับคำถามที่ตามมา ว่ากลยุทธ์การลงทุนจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้? ลองมาฟังมุมมองของผู้จัดการกองทุนหลายๆ ค่าย หลัง “ทรัมป์” คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีไปครองแบบเหนือความคาดหมาย

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ผิดไปจากความคาดหมายของตลาด เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าเก้าอี้ผู้นำไปครอง กับ Feedback แรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่เข้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะเห็นผลสรุป ซึ่งรวมทั้งแรงขายในตลาดหุ้นไทยด้วย

แต่ความผันผวนจากประเด็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่นี้ จะสร้างความกดดันต่อตลาดหุ้นไทยอีกถึงเมื่อไหร่? และรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ? ล่าสุด มีความเห็นจาก “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ชัยชนะของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ จะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกไปอีกระยะหนึ่ง เพราะนอกเหนือจากชัยชนะที่เหนือความคาดหมายของตลาดแล้ว นโยบายของ “ทรัมป์” ที่เคยประกาศไว้ตอนหาเสียง ยังไม่มีความชัดเจนว่านโยบายด้านไหนจะทำจริงบ้าง ซึ่งประเด็นนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดทุนทั่วโลกต่อไปอีกหลังจากนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดร.วิน ให้แนวรับของ SET ไว้ที่ 1,420 จุด จากการคว้าชัยของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ พร้อมกับไม่แนะนำว่า หากผู้ลงทุนจะหาจังหวะซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงนี้ เพราะมองว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ แต่อาจจะรอให้เห็นความชัดเจนด้านนโยบายเสียก่อน

อดีตผู้จัดการกองทุนท่านนี้ แนะด้วยว่า ถ้าจะหาจังหวะลงทุนสะสมในตลาดหุ้นเพิ่ม ลองพิจารณากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายในประเทศ ที่น่าจะปลอดภัยสำหรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นตอนนี้

ด้าน “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เคยแนะนำไว้ก่อนทราบผลการเลือกตั้งว่า ให้ผู้ลงทุนสะสมเงินสดติดพอร์ตไว้ราว 10-15% เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเมื่อผลออกมาเช่นนี้ จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนหาจังหวะลดสัดส่วนเงินสดดังกล่าวลง แล้วทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การจับจังหวะลงทุน อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่จะลงเงินไปทั้งหมด แต่ควรรอดูจังหวะก่อนด้วย เพราะมองว่าความเสี่ยงของผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ อาจจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทย ย่อตัวลงไปได้อีก ซึ่งเขาเล็งแนวรับไว้ที่ 1,420-1,430 จุด

สำหรับอีก Asset class ที่ผู้จัดการกองทุน “ซีไอเอ็มบีฯ” แนะนำ คือ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์  REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเปิดโอกาสลงทุนในช่วงตลาดปรับฐาน และหากหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้ย่อตัวลงตามด้วย ก็เป็นโอกาสที่ดีในการสะสมเข้าพอร์ตเอาไว้

ส่วนพอร์ตลงทุนต่างประเทศ มีความเห็นจาก “กุลฉัตร จันทวิมล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ลงทุน บลจ.ยูโอบี (ไทย) มองการคว้าชัยชนะของ “ทรัมป์” น่าจะเป็นโอกาสอีกครั้ง สำหรับผู้ลงทุนที่จะหาจังหวะสะสมกองทุนในกลุ่ม Healthcare เข้าพอร์ตเพิ่มขึ้น เพราะนโยบายของ “ฮิลลารี คลินตัน”  ที่เคยเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ คงไม่เกิดขึ้นแล้ว

ค่าย “ยูโอบี ยังแนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นเข้าพอร์ตเพิ่มด้วยในจังหวะนี้ เพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวลงค่อนข้างแรง รับข่าวชัยชนะของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ด้วย

**********************************
ทีม Business & Finance , Money Channel
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/news_detail/13738/#sthash.CXB0jIZ5.dpuf

ไม่มีความคิดเห็น: