
ล่าสุดศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง ฐานยักยอกเงินค่าโฆษณารายการจากช่อง 9 อสมท เป็นเงิน 138 ล้านบาท โดยพิพากษายืนให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน
พร้อมให้ศาลฎีกาพิจารณาการยื่นอุทธรณ์ของจำเลย นั่นทำให้พิธีกรข่าวชื่อดังต้องถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำระหว่างรอขั้นตอนยื่นอุทธรณ์
วันเดียวกันเลย ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และอดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
โดยพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ชะตากรรมของคนเด่นคนดังระดับประเทศ จ่อเดินเข้าคุกไปตามๆกัน
ในห้วงสถานการณ์ต่อเนื่องจากฉากคดีประวัติศาสตร์ที่ตัวละครสำคัญตามท้องเรื่องอย่างอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีไม่มาฟังการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในโครงการจำนำข้าว เล่นเอาเซอร์ไพรส์กันทั้งแผ่นดิน
ก่อแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในระดับแผ่นดินไหวหลายแมกนิจูด
สถานการณ์ถึงขั้นที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องออกมาแอ่นอกยอมรับคำตำหนิ
จากการที่ปล่อยให้อดีตนายกฯหญิง “ล่องหน” ไปได้
และประเมินกันได้ตามอาการของ “บิ๊กเจี๊ยบ” ถือเป็นฉากเข้มๆสไตล์ทหาร ต้องรีบเดินยุทธศาสตร์กระตุกกระแสความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคง
กู้สถานการณ์ “แก้ลำ” ปมผู้มีอำนาจเปิดทางให้หนี
ตามรูปการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศและเซียนการเมืองในประเทศวิเคราะห์ตรงกัน การที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เลือกทางชิ่งหนีศาล ส่งผลดีต่อรัฐบาล คสช.ในระยะยาว
หมดเสี้ยนหนามในการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านอีกอย่างน้อย 5 ปี
เบื้องต้นนี้ คสช.จึงต้องประคองแรงกระเพื่อมจากการปล่อย “ยิ่งลักษณ์” หนี ไม่ให้บานปลาย
ตามสถานการณ์แบบที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ ตีปี๊บประจานรายการ “ซูเอี๋ย” ระหว่างฝ่ายคุมเกมอำนาจกับ “นายใหญ่”
เริ่มป้ายสีให้ทหาร คสช.เป็นผู้ร้าย จี้จุดระแวงของสังคม
อารมณ์อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ถึงกับร้อง “เฮ้ย” คิดอย่างนั้นได้ยังไง เมื่อเจอคำถามเปิดทางให้ “ยิ่งลักษณ์” หนี
นั่นหมายถึงสัญญาณเริ่มต้น จากนี้เป้าโฟกัสจะจับจ้องไปที่รัฐบาล คสช.เต็มๆ
ตามเกมการเมืองในอนาคตจากนี้จะออกมาในรูปของพรรคประชาธิปัตย์ฝั่งหนึ่ง เดินหมากช่วงชิงกระแสอำนาจกับ พล.อ.ประยุทธ์ฝั่งหนึ่ง
ช็อตต่อไปประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยจะฮั้วกันโดยอัตโนมัติ หันเป้าโจมตีเผด็จการทหาร
เปิดพื้นที่ให้นักการเมืองกลับมายึดเวทีคืน
และสิ่งที่จะปกป้อง “นายกฯลุงตู่” ได้ในเบื้องต้น คือการต้อง ลดบุคลากรท็อปบูตให้น้อยลง เปิดให้ภาคอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ
ทั้งในส่วนของการปรับคณะรัฐมนตรี การลดสัดส่วนทหารในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ
ตามรูปการณ์หนีไม่พ้นต้องมีการปรับ ครม. โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจที่มีทหารเป็นจุดอ่อน เพิ่มมืออาชีพในเชิงบริหารมาปั่นเนื้องาน ประคองความชอบธรรมให้รัฐบาล
เพื่อให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า รัฐบาลทหาร คสช.คุมสถานการณ์ได้ดีกว่า ถ้าเทียบกับการปล่อยนักการเมืองกลับมาเสี่ยงให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย กลับไปสู่วังวนเก่า
พร้อมกับการปลุกกระแสเร้าคนไทยปรองดองไปสู่การปฏิรูปการเมืองในอนาคต
นี่คือยุทธศาสตร์รองรับเกมยาวของ “ลุงตู่” ในการนั่งเก้าอี้ผู้นำห้วงเปลี่ยนผ่าน
เมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ยังเป็นต่อคู่แข่งอื่นๆหลายช่วงตัว.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น