PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ยาบ้า

22062559  'ยาเสพติด' ที่กระเดียด 'รุมสับ'     เปลว  สีเงิน
หมู่นี้ "ฆาตกรฆ่าตัดตอน" ทำสับสน-อลหม่านไปทั้งเมือง! 
ไม่ได้ฆ่าคน......... 
แต่ "ฆ่าคำ" ที่พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา พูด คือท่านไปประชุม UNGASS ที่นครนิวยอร์ก มา 
ที่ประชุมลงความเห็น การ "ปราบ-จับ" ยาเสพติด ที่ทำกันอยู่ทั้งโลก ไม่ใช่วิธีทำให้ยาลดหรือหมดไปได้ จึงพูดกันถึงแนวทางใหม่ 
เมื่อกลับมา ท่านก็ "จุดประเด็นคิด" โยนให้สังคมช่วยขบ แนวคิดหนึ่ง คือ....

"เตรียมหารือสาธารณสุข-ศาล-อัยการ-หน่วยงานเกี่ยวข้อง หาแนวทางยกเลิกเมทแอมเฟตามีน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบยาบ้า ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒"

แค่นั้นแหละ........

"สังคมจับกระเดียด" บิดตะกูดไปโพสต์ -ไปวิพากษ์ เป็นว่า

"รัฐบาลจะให้ยาบ้าเป็นยาถูกกฎหมายบ้าง จะผลิตขายเองบ้าง!?"

เรื่องนี้ ใครคิดไง-พูดไง...ไม่ผิด 

แต่ทางควรเป็น ต้องยึดข้อมูล การศึกษา-วิจัย ทางวิชาการแพทย์ การวิทยาศาสตร์ การสังคม และอีกหลายๆ การ เขย่ารวม "สรุปเป็นแนวทางใหม่"

ใช้แทน "สงครามปราบยาเสพติด" ซึ่งปรากฏแล้ว "ยิ่งทำ-ยิ่งเพิ่ม" ทั้งคนผลิต คนขาย คนเสพ

และ......คนคอร์รัปชัน!

ผมอ่าน Kittitouch Chaiprasith | Facebook ท่านให้ข้อมูล "ครบด้าน" ไขความซับซ้อน สู่ความเข้าใจที่ไม่สับสนดีมาก

ท่านเขียนหลายตอน ขออนุญาตนำตอนนี้เผยแพร่ก่อน และทั้งขออนุญาต "ขลิบ" บางคำ เพื่อความกระชับพื้นที่

Kittitouch Chaiprasith | Facebook 

ตอนนี้มีความสับสนมาก หลายคนจำคำพูดหรือคำชี้แจงจากคนอื่นมา โดยขาดความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกอย่างจริงจังในเรื่องของสารแอมเฟตามีนที่กำลังเป็นประเด็น

๑.ที่ พล.อ.ไพบูลย์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากงานวิจัยพบว่า #เหล้าและบุหรี่ นั้น ยังมีผลเสียมากกว่าสารเมทแอมเฟตามีนเสียอีก 

ทำให้คนหลายคนออกมารุมสับว่ามั่วซั่วเต็มไปหมด แต่จริงๆ สิ่งที่แกพูด แกไม่ได้นึกขึ้นมาเอง หรือพูดลอยๆ 

-มีผลวิจัยเป็นที่ยอมรับวงกว้าง คือผลวิจัยของ #Professor_David_John_Nutt แห่งมหาวิทยาลัย Bristol อดีตที่ปรึกษากรมสาธารณสุข กระทรวงความมั่นคงแห่งอังกฤษ

รวมถึงเป็นคณะกรรมการความปลอดภัยด้านยา (Committee on Safety of Medicines) ด้วย https://en.wikipedia.org/wiki/David_Nutt

- ผลงานวิจัยนี้ ตีพิมพ์และเผยแพร่ทั้ง BBC, The Economist, http://www.bbc.com/news/uk-11660210 

http://www.economist.com/…/da…/2010/11/drugs_cause_most_harm

รวมถึงมีการนำไปอ้างอิงในงานศึกษาวิจัยและเอกสารประกอบการใช้ยาจำนวนมาก https://en.wikipedia.org/wiki/Substance_abuse, http://www.pharmacology2000.com/…/Adrener…/Adrenergic-32.htm

- นอกจากงานวิจัยของ Professor David Nutt แล้ว ยังมีงานวิจัยของ Dr. Jurgen Rehm ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายด้านสุขภาพแห่งศูนย์สุขภาพและสารเสพติด รพ.เกี่ยวกับการใช้ยาที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา 

ทำวิจัยร่วมกับ Dr. Dirk W. Lachenmeier นักวิทยาศาสตร์สถาบันจิตเวช ม.Dresden เยอรมัน เป็นนักวิจัยที่มีผลงานกว่า 200 ชิ้นในวงการวิจัยระดับโลก

http://www.camh.ca/…/scientific…/Pages/J%C3%BCrgen-Rehm.aspx

http://www.camh.ca/…/scientific…/Pages/J%C3%BCrgen-Rehm.aspx

http://www.dirk-lachenmeier.de/

- ทั้งผลงานวิจัยของ Professor David Nutt และ Dr. Jurgen Rehm + Dr. Dirk W. Lachenmeier แสดงให้เห็นถึงอัตราความรุนแรงต่อสุขภาพของยา (drug) แต่ละประเภทที่คนเสพโดยทั่วไป

ซึ่งในตารางแสดงให้เห็นว่า Amphetamine เดิมชื่อ "ยาม้า" ในบ้านเรานั้น มีระดับความรุนแรงที่น้อยกว่าเหล้า (Alcohol) และบุหรี่ (Nicotin)

ส่วน Methamphetamine หรือ Crystal Meth นั้น มีความรุนแรงกว่า Amphetamine ทั่วไป

แต่ก็ยังน้อยกว่าแอลกอฮอล์เสียอีก!!!!! 

http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4311234/

http://keithsneuroblog.blogspot.com/…/the-drugs-ratings-don…

แน่นอนว่า ในงานวิจัยเช่นนี้ มีข้อมูลหลายประการที่ต้องทำความเข้าใจมากพอสมควร 

เช่น พฤติกรรมการเสพ การเข้าถึง และการควบคุมยาหรือสารดังกล่าว รวมถึง Dose ที่ใช้ในการเสพสารต่างๆ เหล่านั้น

แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ พล.อ.ไพบูลย์ และบรรดาอาจารย์หมอหลายๆ ท่านที่ออกมาพูด #ไม่ได้เป็นการมั่วข้อมูลขึ้นมาเอง แต่เป็นงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

(แต่เป็นเรื่องที่ต้องระวังก่อนจะนำมาพูด เพราะคนทั่วไปมักจะไม่เข้าใจหรอก ว่ามันมีเงื่อนไขอะไรบ้างในรายละเอียด)

๒.มีชาวโซเชียลบางคน ไปอ่านเพจบางเพจ โดยขาดความเข้าใจสิ่งที่เพจนั้นนำเสนออย่างครบถ้วน

พอได้ยินว่า แอมเฟตามีน มีการนำมาใช้ในวงการแพทย์อยู่ตั้งแต่เดิมแล้ว ก็เข้าใจผิด ว่าปัจจุบันแอมเฟตามีน รวมถึงเมทแอมเฟตามีน นั้น มีการนำมาใช้ได้อยู่แล้ว

แล้วก็ลามไปด่า ว่ารัฐบาลจะทำให้มันถูกกฎหมายทำไม?

-ต้องอธิบายก่อน ว่าสารทั้งสองตัวนี้ จัดอยู่ในสารเสพติดให้โทษร้ายแรง ประเภท ๑

เป็นสารที่ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และห้ามมีไว้ในครอบครอง ปัจจุบัน ไม่มีการใช้ยาที่มีสารทั้งสองตัวนี้ผสมอยู่ในประเทศไทย

http://www.thailaws.com/aboutthailaw/knowledge_62.htm

- ที่มีใช้กันจะเป็นยาที่มี #อนุพันธุ์ของแอมเฟตามีน ที่มีผลคล้ายคลึงกัน (แต่มีรายละเอียดต่างกันออกไป) 

เช่น N-Ethylamphetamine /เอ็น-เอทิลแอมเฟตามีน หรือ Methylphenidate 

ซึ่งเป็นส่วนผสมในยา Ritalin ที่ใช้ในกระบวนการรักษาทางจิตเวชอยู่แล้ว โดยเป็นยาที่จัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท "ประเภทที่สอง"

ซึ่งมีประโยชน์ทางการแพทย์ และอนุญาตให้นำมาใช้งานได้ โดยได้รับการควบคุม

http://www.pha.nu.ac.th/…/…/extend/Psychotropic%20drugs.html

- ถ้าเข้าไปดูที่ฐานข้อมูลบัญชียาของมูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.) จัดทำโดย NECTEC จะทราบว่า

ไม่มียาอย่าง Adderall XR หรือ Vyvanse ที่ใช้ Amphetamine

แต่จะมียา Ritalin ที่ใช้ Methylphenidate ประกอบอยู่ในบัญชีรายชื่อยาในประเทศไทย

http://www.yaandyou.net/index.php

(สรุปคือ มีใช้ทางการแพทย์จริง แต่ไม่ใช่สารสองตัวนั้น เพจนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรผิด ถูกต้องตามนั้นทุกอย่าง เพียงแต่บางคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ตีความไปเองแบบนั้น)

- บางคนอาจคิดว่า แล้วมันจะต่างอะไรกัน ในเมื่อมันให้ผลคล้ายๆ กัน คำตอบคือ ต่างแน่นอน!!

 #ในทางกฎหมาย ทุกคำ ทุกรายละเอียด มีความต่าง จะเหมารวมว่า "ก็สารกลุ่มเดียวกัน มันก็เหมือนกัน" ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะตัวหนึ่ง ใช้ได้ทางการแพทย์

อีกตัว เป็นสารเสพติด ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์เลย!

(กฎหมายระบุไว้หมดในนั้น) ซึ่งไม่อนุญาตให้นำไปใช้งานใดๆ ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจาก รมต.ก่อน

- ในกรณียังไม่นับเรื่องการเปลี่ยนโทษต่อผู้เสพทั้งหลาย ซึ่งถ้าต้องการเปลี่ยนท่าทีต่อผู้เสพเสียใหม่ ก็ #จำเป็นต้องปรับสารตั้งต้นเหล่านั้น ให้ไปอยู่ในประเภทที่สอง

เพื่อให้เข้ากับเจตนารมณ์กฎหมาย ที่มองว่าสารเหล่านั้น สามารถนำมาใช้และอยู่ในความควบคุมทางการแพทย์

ประเด็นนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะเข้าใจกันง่ายๆ

แต่ก็นั่นแหละ คนที่ทำงานด้านสาธารณสุขและด้านยุติธรรม เขาทำงานกันมานานแล้ว 

และประเด็นนี้ ก็พูดถึงกันในเวทีสากลระดับนานาชาติหลายครั้งแล้ว คนไทยควรหันกลับมา "เปิดใจ" และเรียนรู้บ้าง 

ไม่ใช่เอาแต่โวยวาย และคิดเอง-เออเอง โดยไม่มีข้อมูล หรือไม่เข้าใจ แล้วก็คิดไปเอง ว่าตัวเองรู้ดี แล้วก็ด่ากราด

ถ้าคนในสังคมไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ อย่าไปหวังเลยว่า บ้านเมืองของเราจะพัฒนาไปได้

ในสังคมประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนตัดสินใจ ถ้าประชาชนยังขาดสติ ที่จะเข้าใจเรื่องการบริหารงานรัฐให้ดี ก่อนที่จะเชื่อหรือจะดำเนินการอะไร 

สังคมก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ซึ่งเกิดจากคิดไปเอง "ด้วยอคติของตน" โดยไม่ยืนอยู่บนหลักฐานสังคมวิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ ดังเช่นที่เป็นทุกวันนี้

ครับ...จบตอน สนใจเพิ่มเติม คลิกที่ Kittitouch Chaiprasith.

ไม่มีความคิดเห็น: