เปลว สีเงิน
Friday, 29 August, 2014 - 00:00
วันใหม่ของ "อภิสิทธิ์-สุเทพ"
แหม..."ถาม-ตอบพลังงาน" กันรอบเดียว ราคาน้ำมันทุกประเภท "ลดพรวด" ชนิดคอต้านพลังงานขูดรีดหาประเด็นด่าต่อแทบไม่ทัน
สไตล์นายกฯ ประยุทธ์เค้าก็ แบบนี้แหละ....
ชอบทำอะไรที่ยากต่อการคาดเดาจากคนอื่นเสมอ!
แต่อยากให้อ่านข่าวคราวกันให้ครบถ้วนก่อนสรุป เพราะถ้าฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด พอบอกว่า "น้ำมันลดราคา"
ก็ตบเข่าฉาด......
"นั่นไง กูว่าแล้ว พอถูกจับได้-ไล่ทัน พ่อค้าน้ำมันอย่าง ปตท.ก็รีบ "คายกำไร" ที่ขูดรีดไปแล้วมั้ยล่ะ?"
ก็อยากบอกให้ตรงตามประเด็นว่า การลดครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับ ปตท.หรือพ่อค้าพลังงานเจ้าไหน "คาย-ไม่คายกำไร" หรอก
ข้อเท็จจริงคือ นายกฯ ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.สั่งให้คลัง "คายภาษี" ที่รัฐบาลก่อนๆ บวกซับ-บวกซ้อนเข้าไปในราคาเนื้อน้ำมัน ที่เรียกว่า
"ภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาล"!
การบวกภาษีเข้าไปในแต่ละหยด-แต่ละลิตร แต่เวลาประกาศราคาหน้าปั๊มออกมาก็ไม่ได้แยกให้เห็นว่า
ที่ราคาน้ำมันเท่านั้น-เท่านี้แต่ละลิตร...
ไหนราคาน้ำมัน ไหนบวกภาษี และไหนบวกอะไรมิต่ออะไรทางการค้า-การตลาดเข้าไป จนยอดออกมาเป็น "น้ำมันเมืองไทย" แพงเวอร์อย่างที่เป็น?
ตอนนี้ พอมองเห็นกันแล้วนะครับ ว่าที่แพงเวอร์ ส่วนหนึ่งมาจาก "ภาษี" ที่เก็บซับ-เก็บซ้อนด้วย
ฟังชัดๆ จาก "หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" คสช. "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" ก็จะเข้าใจในกลไกราคาน้ำมันทุกวันนี้...ท่านบอกว่า
"เป็นการปรับอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลใหม่" ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ส.ค.๕๗ นี้เป็นต้นไป
ผลจากการ "ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่" นี้ ทำให้น้ำมันขายปลีกในท้องตลาด "แต่ละชนิด" จะเป็นดังนี้
- เบนซิน ราคาขายปลีก ลดลง ๓.๘๙ บาท/ลิตร
- แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง ๒.๑๓ บาท/ลิตร
- แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง ๑.๗๐ บาท/ลิตร
- E20 ลดลง ๑ บาท/ลิตร
- E85 ราคาคงเดิม
- ดีเซล ราคาปรับเพิ่ม ๐.๑๔ บาท/ลิตร แต่ยังคงไม่เกิน ๓๐ บาท/ลิตร
ด้วยผลจากลดภาษี จะทำให้น้ำมันแต่ละชนิดตามปั๊มเหลือราคาลิตรละเท่าไหร่
วันนี้ คงได้รู้จากที่ "แต่ละยี่ห้อ" ประกาศ!
เป็นการ "ลด" เพื่อลดกระแส หรือลดตามเป็นจริงด้วยเหตุและผลควรเป็น นั่นก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า "ขอบคุณท่านนายกฯ" ก็แล้วกัน ที่เห็นหัวอกชาวบ้าน
คิดว่ารัฐบาลคง "ขาดรายได้" โขทีเดียว ดูๆ ในภาพรวมก็เป็นห่วง เห็นแต่ควักออก จ่ายโน่น-จ่ายนี่ทุกวัน
แต่ไม่เห็นมีรายได้เข้ามาทางไหน...นอกจาก (รีด) ภาษี?
แต่อ้อ...มีตรงขายข้าวเน่า ที่รับจำนำมาเกวียนละหมื่นห้า แต่โละขายเกวียนละพัน-สองพัน ขาดทุนบรรลัยนั่นแหละ!
เรื่องจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์นี่ ได้ยินว่าคลังจะปิดบัญชีแล้ว ที่เคยประมาณว่าเสียหายไม่หนี ๒-๓ แสนล้านนั้น เอาเข้าจริง มันจะปาเข้าไปกว่า ๕ แสนล้านด้วยซ้ำ
เฮ้อ...เห็นแล้วก็ช้ำใจ จะไปทวงเอากับใครล่ะ ที่พูดกันว่า "เงินหลวง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" น่ะ
พิสูจน์ให้เห็นจริงทีเถิ้ดดดด...เจ้าประคู้นนนนน!
ก็จำคร่าวๆ ได้ว่า ป.ป.ช.ส่งสำนวนคดีที่ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์ไปให้อัยการสูงสุดประมาณต้นเดือนสิงหา วันที่ ๓ หรือที่ ๕ สิงหา ก็ลืมไปแล้ว
อัยการสูงสุดมีเวลาตรวจสอบสำนวนตามกรอบกฎหมาย ๓๐ วัน นี่ก็ใกล้แล้ว ช่วยกันจับตาดูด้วยว่า อัยการท่านจะออกหัว-ออกก้อย?
จะสั่งฟ้อง-สั่งไม่ฟ้อง....?
นำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองหรือไม่ ลิฟต์ลับตึกชินมีอภินิหารจริงหรือไม่
สัปดาห์หน้าก็คงรู้?
แต่เมื่อวาน (๒๘ ส.ค.๕๗) รู้กันไปเรื่องหนึ่งแล้ว คือเรื่องที่ดีเอสไอ ณ ธาริต ส่งให้อัยการฟ้อง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" สั่งสลายม็อบ นปช.จลาจลเมือง เมื่อปี ๕๓
ศาลอาญาท่านว่าอย่างไร...?
ผมจะยกจากข่าว "กรุงเทพธุรกิจ" ออนไลน์ มาให้อ่านกันเลย เรื่องสำคัญอย่างนี้ ต้องอ่านกันเต็มๆ สรุปนิด-สรุปหน่อย จะขาดสาระไป
ก็ขออนุญาต "กรุงเทพธุรกิจ" ออนไลน์นะครับ ข่าวที่เผยแพร่มีดังนี้
ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 28 ส.ค.57 เวลา 09.30 น. ศาลนัดประชุมคดีและฟังคำสั่งการวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อายุ 50 ปี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพ ปภากโร อายุ 64 ปี เลขาธิการ กปปส. อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นจำเลยที่ 1-2
ในความผิดฐาน ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84
สืบเนื่องจากการออกคำสั่ง ศอฉ. ให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย. - 19 พ.ค.53
กระทั่งนายพัน คำกอง ชาว จ.ยโสธร อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา อายุ 14 ปี เสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค.53
และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ถูกกระสุนยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการในพื้นที่ย่านราชปรารภ ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะที่ศาลพิจารณาพฤติการณ์จำเลยทั้งสองตามคำฟ้องของอัยการโจทก์ ประกอบข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า
แม้อัยการโจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่ง ศอฉ.ที่ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค.53 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม
แต่การกระทำดังกล่าวนั้นก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ด้วย
ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ
ดังนั้น จึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการด้วย ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ควรพิจารณาไปในวาระเดียว ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) มีอำนาจไต่สวน
และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 66 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (1) และประกาศ คสช. ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ จึงพิพากษายกฟ้อง ญาติผู้ตายที่เป็นผู้เสียหายไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้
อย่างไรก็ดี ในคดีนี้ นายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ยังได้มีความเห็นแย้งไว้ในสำนวนด้วย
โดยเห็นว่า ศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และญาติผู้ตายที่เป็นผู้เสียหายไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เนื่องจากมูลเหตุที่นำมาฟ้องคดีซึ่งเกิดจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา จากเหตุสลายการชุมนุม และพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนมากระทั่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง ก็เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
ขณะที่ในการฟ้อง หากคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็จะมีเฉพาะข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อมีการกล่าวหาจำเลยทั้งสองในความผิดอาญา ฐานร่วมกันมีเจตนาฆ่าผู้อื่น กรณีจึงไม่ใช่เรื่องศาลทั้งสองมีอำนาจขัดแย้งกัน อีกทั้งปัจจุบันคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกล่าวหาจำเลยทั้งสอง ก็ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 66 ซึ่ง ป.ป.ช.ยังไม่ได้มีคำสั่งไปทางหนึ่งทางใด
ซึ่งหากไต่สวนได้ข้อยุติว่าไม่มีมูล ก็ย่อมมีผลเฉพาะต่อข้อกล่าวหาทำผิดในตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อความผิดใช้หรือก่อให้ฆ่าผู้อื่นตามฟ้องอัยการโจทก์นี้ จึงเห็นควรว่าศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
ครับ...ที่ลอกมาลงทั้งหมดนี้ เจตนาผมมีอย่างเดียวคือ....
อยากให้ "นายธาริต" อ่าน!.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น