PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2พรรคใหญ่อย่าแค่ปาหี่ : เหลี่ยมจุดพลุเลือกตั้ง“ยุ”ประชาชนสกัด คสช.

2พรรคใหญ่อย่าแค่ปาหี่ : เหลี่ยมจุดพลุเลือกตั้ง“ยุ”ประชาชนสกัด คสช.


ย่างเดือนธันวาคมเข้าสู่ห้วงสุดท้ายปลายปี

บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มนับถอยหลัง ในจังหวะเริ่มต้นของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
“ประยุทธ์ 5” ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. นำรัฐมนตรีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน

มีรัฐมนตรีหน้าใหม่ 10 คน รัฐมนตรีชุดเดิมพ้นตำแหน่ง 7 คน เปลี่ยนแปลงจำนวน 11 ตำแหน่ง

แน่นอน จุดมุ่งหมายของผู้นำรัฐบาลต้องอยู่ที่การเสริมความแกร่งของทีมบริหาร

และเท่าที่หยั่งกระแส ประเมินผลตอบรับกับโฉมหน้าการปรับเปลี่ยน ครม.ชุดใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจุดโฟกัสกรณีของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กับ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

“บิ๊กตู่” ยังไว้ใจใครไม่ได้มากกว่าพี่ๆในการคุมความมั่นคงในกองทัพและฝ่ายพลเรือน

และก็เหมือนผู้นำรัฐบาล คสช.ฟังกระแสสังคมตลอดเวลา กับการยอมลดโควตารัฐมนตรีสายทหาร มีการปรับออกมากกว่าแต่งตั้งเข้ามาใหม่

หลีกทางให้มือบริหารอาชีพที่คุณสมบัติตรงตามเนื้องาน

นั่นจึงทำให้ภาพออกมาก็เป็นบวก โดยเฉพาะในสายตาของกลุ่มทุน นักธุรกิจ ที่ขานรับการจัดวางตัวบุคคลใน “ครม.ประยุทธ์ 5” โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจ

เน้นไปที่กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแบบยกเครื่องทั้ง 2 กระทรวง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ขยับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จาก รมช.พาณิชย์ มานั่งว่าการ ว่ากันว่ามาจากผลงานการบริหารโครงการบัตรสวัสดิการประชารัฐหรือบัตรคนจน และตลาดนัดธงฟ้า

ทำงานแบบรู้ทิศทางและเข้าถึงชาวบ้านร้านตลาด

นั่นก็สอดรับการดึงคนจากสายมหาดไทย คือนายกฤษฎา บุญราช อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย มานั่งแท่น รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ความถนัดในงานมหาดไทย ประสานกับท้องถิ่นและขุมข่ายข้าราชการ มาช่วยเสริมมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก

ข้ามฟากมาจูนกันได้ลงล็อกลงตัว

ยังมีอีก 2 รมช.เกษตรฯที่เป็น “มืองาน” ตรง สเปกกับภารกิจ ทั้งนายลักษณ์ วจนานวัช อดีตผู้บริหารธ.ก.ส. ที่มีประสบการณ์ด้านการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือเกษตรกร ขณะที่นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์พระราชา มาขยายฐานแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความยั่งยืน

เกษตร–พาณิชย์ ผ่าตัดกันแบบตรงจุด

แก้ปมปัญหาเรื่องการประสานงานที่ติดๆขัดๆ เติมการทำงานแบบครบวงจรในการบริหารสถานการณ์ราคาพืชผลเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา ข้าวโพด มันสำปะหลัง พืชผักผลไม้

โยงถึงสภาพเศรษฐกิจฐานราก สภาวะปากท้องของประชาชน

ต้องปิดจุดบอดที่นักการเมืองยั่วม็อบให้ขย่มรัฐบาล คสช.

นี่คือตัวอย่างชัดๆ และยังมีอีกหลายจุดในกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น ชื่อของนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ที่มานั่งเก้าอี้ รมช.คมนาคม ด้วยความเด่นในการบริหารงบประมาณ ตรงกับภารกิจงานที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล

การตั้งนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล มานั่ง รมต. สำนักนายกฯ สลับกับนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ไปนั่ง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ โดยที่คนเดิมยังอยู่ครบ ทั้งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายอุตตม สาวนายน
รมว.อุตสาหกรรม นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลฯ

มือบริหารอาชีพเข้าประจำการตามจุดยุทธศาสตร์

แน่นอน โฟกัสรายชื่อส่วนใหญ่ล้วนแล้ว แต่เป็นทีมงานสายตรง หรือไม่ก็คนที่รู้จักคุ้นเคยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ยกระดับความไหลลื่นในการประสานงานไปในทิศทางเดียวกัน

และนั่นก็ชัดเจนทางยุทธศาสตร์เลยว่า “บิ๊กตู่” เปิดพื้นที่ให้ “จอมยุทธ์กวงแห่งเยาวราช” ได้เดินหน้าบริหารเศรษฐกิจ กระตุ้นฐานราก ต่อเนื่องจากสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจในภาพรวม

คุมภารกิจ “เรือธง” ของรัฐบาล คสช. ทั้งเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนการใช้เม็ดเงินองค์กรปกครองท้องถิ่นนับแสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ต่อยอดกับโครงการบัตรคนจนที่ครอบคลุมฐานประชาชนผู้มีรายได้น้อย 14 ล้านคนทั่วประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ มันคือภารกิจเดิมพันกระตุกคะแนนนิยมให้ “ลุงตู่”

ประกอบกับการตั้งนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ยังมีสถานะของนักการเมืองอาชีพ เข้ามานั่งเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ดูแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ นอกเสียจาก “บิ๊กดีล” ทางการเมือง

เรื่องของออปชั่นที่ตกลงกันในทางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง

ทั้งหมดทั้งปวง ฉายภาพการปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” ที่ออกมา มันสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำการ “ทิ้งไพ่” แต้มสำคัญ

สัญญาณชัดเจนว่า ผู้นำ คสช.กรุยทางเดินหน้าไปต่อ

สอดรับกับ “คำถาม 6 ข้อ” ที่ “นายกฯลุงตู่” โยนออกมาให้แกะรอยจับไต๋ได้ว่า จะประกาศหนุนพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้ง ไม่ให้บ้านเมืองกลับไปวังวนเก่า เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป
ล้อกับเงื่อนไขการสู่อำนาจที่ถูกออกแบบไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ ที่เอื้อให้ผู้นำ คสช.ต้องคุมอำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

นั่งเก้าอี้ผู้นำคุมเกมช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีกอย่างน้อย 5 ปี

มาถึงตรงนี้ นักการเมืองก็อ่านไต๋ออก นั่นก็ทำให้มวยเก๋าอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย กับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ หัวแถวพรรคประชาธิปัตย์ นั่งเฉยอยู่ไม่ได้

ต้องจุดพลุ ยุชาวบ้านให้ช่วยกันสกัดเส้นทาง “ลุงตู่” เซ็ตซีโร่ คสช.

ตีปี๊บ กระตุกกระแสต้านทหาร

ถึงขั้นแบะท่า “กอดคอ” กันจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ ปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอกเลยทีเดียว

เจอไพ่ปรับ ครม.ของ “บิ๊กตู่” นักเลือกตั้งอาชีพ “หงายไพ่เล่น” กันหมดเลย

ถือเป็นการเฉลยคำตอบสุดท้าย โอกาสเดียวที่เหลืออยู่ของนักการเมืองป้อมค่ายใหญ่ที่จะสกัดรัฐบาล คสช. ปิดทาง “ลุงตู่” ไม่ให้เดินหน้าต่อ ตามโปรแกรมที่ล็อกไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

ต้องเอาต้นทุนหน้าตักมากองรวมกัน

ประเมินจากฐานตัวเลขเดิมของเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ที่รวมกันเกินครึ่งสภาผู้แทนราษฎร ก็มีความเป็นไปได้ โอกาสที่จะทำให้เกิดสภาวะฝ่ายค้านเสียงข้างมากในสภาฯ

ไม่เป็นไปตามสมการที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจล็อกไว้ แม้มี 250 ส.ว.ในกำมือ

ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ “ลุงตู่” ไปต่อลำบากทันที

มุกนี้ พวกเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เซ็ง คสช.ลุ้นกันตัวโก่ง สูตรเดียวที่จะล้มโปรเจกต์ทหารได้

และถ้าจะว่ากันแบบจริงๆจังๆ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยควรประกาศชัดเจนก่อนลงสนามเลือกตั้งไปเลย ถ้าเลือก 2 พรรคใหญ่ จะได้นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง อีกทั้งยังถือเป็นมิติใหม่ของการปรองดอง

ถ้าประชาชนเอาด้วย อะไรก็ขวางไม่ได้

แต่ก็อีกนั่นแหละ ในทางทฤษฎีก็เพ้อฝัน มโนกันไปได้ ปัญหาในทางปฏิบัติ พวกที่เคยฟัดกันมา สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย จนกลายเป็นชนวนเหตุให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะเกือบรัฐล่มสลาย

เปิดทางให้ทหาร คสช.เข้ามายึดอำนาจการบริหาร

อยู่ๆจะมาจูบปากกัน มันยากที่จะทำให้มวลชนผู้สนับสนุนทำใจรับได้

แบบที่แค่ไม่ทันไร นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็บอกปัดในเชิงกัดจิก คงร่วมกับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ถ้ายังคบพวกเผาบ้านเผาเมือง ที่สำคัญถ้าผู้นำพรรคคนต่อไปชื่อ “พานทองแท้ ชินวัตร” ขณะที่ฝ่ายเพื่อไทยก็อัดกลับ ไม่คบกับพวกที่จ้องรับใช้เผด็จการ

รัฐบาล 2 พรรคใหญ่ ส่อเค้าเป็นหมันตั้งแต่ยังไม่เริ่มปฏิสนธิ

ความเป็นไปได้แทบไม่มี สุดท้ายก็แค่มุกของนักเลือกตั้งอาชีพที่คิดแต่เอาการเมืองนำ

“ปาหี่” ยุให้ประชาชนต้านทหาร เพื่อโอกาสลุ้นของพรรคใครพรรคมันเท่านั้น.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: