
เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ประกาศเอง มีโปรแกรมไปเยือนทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้ ตามคำเชิญของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก
หักมุมกับที่เจ้าตัวเพิ่งปูดข้อมูลลึกเองว่า โดน “แบล็กลิสต์” จากหลายประเทศ ไม่เชิญไปเยือน เพราะมีสถานะผู้นำรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ
ใครจะแบนก็แบนไป แต่ข้าพเจ้ากำลังบินไปเยือนสหรัฐอเมริกา ดินแดนต้นแบบประชาธิปไตยด้วยสถานะแขกของผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก
นั่นหมายถึงสถานะผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.ไม่ได้เป็นเงื่อนไขอีกต่อไป
เรื่องของเรื่อง โอกาสดีๆของผู้นำทหารไทยมันมาแบบมีดวงนิดๆ ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่เห็นๆกัน ผู้นำมือใหม่หัดขับอย่าง “ทรัมป์” ไม่มีประวัติศาสตร์ทางการเมือง ไม่เน้นเรื่องประชาธิปไตย
ตามสไตล์นักธุรกิจที่ประกาศ “American First” ในการหาเสียงเลือกตั้งผู้นำ สหรัฐฯ ดังนั้นจึงต้องยึดผลประโยชน์ของอเมริกันต้องมาก่อนเหตุผลอื่นใด
การจะต่อสายคุยกับใคร ยึดอยู่บนพื้นฐานสหรัฐฯ จะได้อะไรตอบแทน
ตามแผน อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้ทีมงานรัฐบาลรวบรวมข้อมูลโครงการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง
และก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นหน่วยแรกๆที่ส่งข้อมูลความร่วมมือทางทหาร โครงการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ส่งให้ทีมนายกฯ
ขณะที่ “มือดีล” สำคัญคือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ทำการบ้านหนักในเรื่องของโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะการเดินหน้าเคลียร์ปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การเอาจริงเอาจังกับสถานการณ์การค้ามนุษย์แบบที่มีการยกเครื่องแรงงานต่างด้าว รวมถึงการตัดสินคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา
เหล่านี้ล้วนแต่เข้าเงื่อนไข ตามโจทย์ซื้อใจฝ่ายสหรัฐฯ
เหนืออื่นใด โดยสถานการณ์ที่ยังเข้าทางผู้นำประเทศไทย กับจังหวะที่เกาหลีเหนือ เล่นบทเฮี้ยวต่อเนื่อง เป็นตัวป่วนในภูมิภาคเอเชีย ขู่ยิงขีปนาวุธถล่มกันแบบรายวัน
นั่นก็ทำให้ประเทศไทยยังกุมไพ่ใบสำคัญที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ต้องคุยด้วยในฐานะมิตรประเทศที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ต้องประคองดุลอำนาจการเมืองโลก
ตามสถานการณ์แบบที่ล่าสุด นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเดินทางเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย พร้อมหารือถึงท่าทีต่อสถานการณ์ในเกาหลีเหนือในการตัดท่อน้ำเลี้ยงตามมติ
สหประชาชาติ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ย้ำว่า ประเทศไทยต้องทำตามมติยูเอ็น
เป็นอันว่า “นายกฯลุงตู่” ชิงเล่นแต้มต่อได้ ตามจังหวะแรงเสียดทานภายนอกประเทศเบาบางลงตามเงื่อนไขสถานการณ์โลก ที่กำลังป่วนจากภาวะสงครามเย็นยุคใหม่
และนี่ก็น่าจะเป็นโอกาสให้รัฐบาลได้เดินหน้าเสริมสร้างความแข็งแกร่งสถานการณ์ภายในประเทศในห้วงระยะเปลี่ยนผ่าน
โดยเฉพาะล่าสุด ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เปิดเผยถึงสิ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 10 พระราชทาน 9 แนวทางปฏิบัติ และรัฐบาลพร้อมสนองพระราโชบาย
ประกอบด้วย การให้นำแนวทางพระราชดำริของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ไปเป็นแนวทางขับเคลื่อน
การดูแลให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม การดูแลช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างรวดเร็วทั่วถึง การจัดระเบียบ สร้างวินัย สร้างอุดมการณ์ ทำให้ ประเทศชาติและประชาชนมีความสุข การช่วยรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม
การเตรียมมาตรการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างเป็นสากล การดูแลระบบการศึกษา การส่งเสริมงานจิตอาสา การให้ข้าราชการประพฤติตนเป็นแบบอย่างให้ประชาชนศรัทธา
แน่นอน ทั้ง 9 ข้อล้วนเป็นแก่นปัญหาสำคัญของประเทศ ณ ห้วงปัจจุบัน
และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น