PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

900,000ล้านบาทที่ขาดไป!

900,000ล้านบาทที่ขาดไป!
ทำคนไทยตาโตกันครึ่งชาติ
●ฟังคุณธีรชัย ตอบคุณปีย์เอาครับ
"ขาดทุนแบงค์ชาติไม่น่าตกใจ"

คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ซึ่งผมเคารพนับถือ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับขาดทุนของแบงค์ชาติ 900,000 ล้านบาท

ถึงแม้ผมเองไม่ปลื้มกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. (ซึ่งบทความโดย สิริอัญญา เรียกว่า 'ตาอยู่') เอาเสียเลย แต่ก็เห็นว่าสมควรให้ข้อมูลแก่สังคมดังต่อไปนี้

1. สถานการณ์ที่แบงค์ชาติขณะนี้กลับทางกับต้มยำกุ้ง
ในช่วงก่อนต้มยำกุ้ง แบงค์ชาติผูกเงินบาทกับตะกร้าที่มีสัดส่วนดอลลาร์สหรัฐสูงมาก ปรากฏว่าดอลลาร์แข็ง พาให้เงินบาทแข็งไปด้วย ในเวลาเดียวกัน แบงค์ชาติเปิด BIBF ทำให้เอกชนคนไทยกู้เงินเป็นสกุลดอลลาร์อย่างกว้างขวาง ทำให้พ่อมดการเงินอย่างจอร์จ โซรอสและพวก วิเคราะห์ได้ว่า ระบบตะกร้าจะอยู่ไม่ได้ จึงรุมโจมตีเงินบาท
ในขณะนั้น มีวิกฤตระบบบริษัทเงินทุนที่ยังแก้ไขไม่จบ แบงค์ชาติพยายามผลักดันให้ควบรวม 5 แกน และจะยกระดับเป็นแบงค์ แต่ยังไม่สำเร็จ ในระหว่างหาทางแก้ปัญหาสถาบันการเงิน แบงค์ชาติจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนระบบตะกร้าได้ จึงจำเป็นต้องใช้ทุนสำรองออกไปเพื่อสู้กับนักเก็งกำไรค่าเงิน สำรองที่เดิมมีอยู่ 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือไม่ถึง 2 พันล้าน สุดท้ายจึงต้องกู้ IMF
ทั้งนี้ ตัวเลข 1.4 ล้านล้านบาทในคอลัมน์นั้น ไม่ใช่ขาดทุนแบงค์ชาติ แต่เป็นขาดทุนในระบบแบงค์พาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ถูกปิดกิจการ และรัฐบาลขณะนั้นตัดสินใจอุ้มผู้ฝากเงิน 1.4 ล้านล้านบาท มิให้ได้รับความเสียหาย
แต่มาวันนี้ ปัญหาขาดทุนของแบงค์ชาติ ไม่ได้เกิดจากการเข้าไปต่อสู้กับนักเก็งกำไรในตลาดสากล แต่เกิดจากประเทศไทยมีสำรองมาก ร่วมสองแสนล้านดอลล่าร์ และเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
2. ขาดทุนเกิดจากมีสำรองมาก
ขาดทุนแบงค์ชาติขณะนี้ไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร หรือจากซื้อๆ ขายๆ เงินตราต่างประเทศ หรือจากซื้อขายหลักทรัพย์ หรือเล่นหุ้น แต่เกิดจากการมีสำรองมาก
อธิบายง่ายๆ ตัวอย่างมีสำรองสองแสนล้านดอลลาร์ ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเทียบกับดอลล่าร์ 1 บาท แบงค์ชาติก็จะมีขาดทุนทางบัญชี 200,000 ล้านบาท แต่ในทางกลับกัน ค่าเงินบาทอ่อนลงเทียบกับดอลล่าร์ 1 บาท แบงค์ชาติก็จะกลับมีกำไรทางบัญชี 200,000 ล้านบาท
ถ้าคิดว่า กำไรหรือขาดทุนทางบัญชีของแบงค์ชาติไทยเป็นปัญหาใหญ่โตแล้ว ลองเทียบกับประเทศจีนซึ่งมีทุนสำรองหลายล้านล้านดอลล่าร์ ผลกำไรและขาดทุนก็จะเป็นตัวเลขใหญ่โตมหาศาลกว่านี้มากมาย
3. มีสำรองมาก เนื่องจากพยายามกดค่าเงินบาท
สำรองที่มีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ นั้น เกิดจากแบงค์ชาติพยายามที่จะกดค่าเงินบาท มิให้แข็งขึ้น วิธีการกดค่าเงินบาท ก็คือเมื่อมีดอลลาร์ไหลเข้า อันจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น แทนที่แบงค์ชาติจะปล่อยให้เอกชนเป็นคนซื้อดอลลาร์เหล่านี้ แบงค์ชาติก็ต้องเข้าไปรับซื้อดอลล่าร์เอง
เมื่อแบงค์ชาติรับซื้อดอลล่าร์แล้ว ดอลลาร์ก็จะเข้ามาเป็นทุนสำรองที่แบงค์ชาติ ดังนั้น ยิ่งมีมาตรการกดเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเท่าไหร่ แบงค์ชาติก็ยิ่งต้องเข้าไปซื้อดอลล่าร์มากเท่านั้น และยิ่งทำให้สำรองเพิ่มขึ้น
การมีสำรองมากนั้น นอกจากแบงค์ชาติจะมีกำไรหรือขาดทุนทางบัญชี จากการที่เงินบาทแข็งขึ้น หรืออ่อนลง เทียบกับดอลลาร์แล้ว แบงค์ชาติยังจะมีขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย
เนื่องจากในมาตรการเพื่อที่จะกดเงินบาทไม่ให้แข็งขึ้นนั้น เมื่อแบงค์ชาติซื้อดอลล่าร์เข้ามาเป็นทุนสำรอง แบงค์ชาติก็ต้องออกพันธบัตรเป็นเงินบาท เพื่อจะดูดเงินกลับ และที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยเงินบาทที่แบงค์ชาติต้องจ่าย มักจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสกุลดอลล่าร์ ที่แบงค์ชาตินำทุนสำรองไปลงทุน ดังนั้น การมีทุนสำรองมาก จึงทำให้แบงค์ชาติมีภาระส่วนต่างดอกเบี้ยตรงนี้อีกด้วย
4. แบงค์ชาติควรเลิกพยายามกดค่าเงินบาทหรือไม่?
ในประเทศพัฒนาแล้ว แบงค์ชาติของเขามักจะไม่พยายามที่จะเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับค่าเงินของตนมากนัก กล่าวคือมักจะปล่อยให้ค่าเงินของตนเองเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดอย่างแท้จริง ส่วนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องบริหารจัดการดูแลตนเอง ถ้าเอกชนรายใดไม่สามารถรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ ก็จะสามารถซื้อเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจากแบงค์พาณิชย์ได้
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมประเทศที่พัฒนามากกว่าประเทศไทยหลายประเทศ มีสำรองในมือแบงค์ชาติของเขาไม่มากนัก เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้สำรองในการบริหารจัดการค่าเงินของเขานั่นเอง แต่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเอเซียที่เน้นการส่งออก มักจะใช้ในโยบายเข้าไปดูแลค่าเงินของตนเองมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
ถามว่าประเทศไทยควรจะเลิกความพยายามที่จะกดค่าเงินบาทไม่ให้แข็งขึ้น แล้วปล่อยให้ภาคเอกชนรวมไปถึงเกษตรกร ต้องรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเองหรือยัง?
ผมมีความเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวโดยเสรีเต็มที่ เนื่องจากเมื่อค่าเงินบาทแข็งตัว การที่จะส่งออกได้ดีนั้น ผู้ผลิตสินค้าของไทยจะต้องสามารถทำให้มูลค่าเพิ่มในสินค้าสูงขึ้น เท่ากับค่าเงินบาทที่แข็งตัว เช่น ออกแบบสินค้าให้สวยหรูขึ้น เพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปในตัวสินค้ามากขึ้น ทำสินค้าเกษตรให้เป็นเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เป็นต้น แต่การปรับตัวของผู้ผลิตในไทยนั้น จะต้องให้เวลา เพราะจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
5. จะต้องแก้ไขขาดทุนนี้หรือไม่?
ปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว เริ่มแรงขึ้นนับแต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ ซึ่งทำให้ประเทศพัฒนาต้องกดดอกเบี้ยลงต่ำ และทำให้เงินทุนไหลออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก รวมทั้งประเทศไทย เงินทุนเหล่านี้กดดันให้ค่าเงินของประเทศกำลังพัฒนาแข็งขึ้นเทียบกับดอลลาร์ บีบบังคับให้แบงค์ชาติไทยต้องเข้าไปซื้อดอลล่าร์เก็บไว้เป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้นๆ
แต่ในขณะนี้ สถานการณ์กำลังกลับทางแล้ว โดยธนาคารกลางของประเทศสหรัฐได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วระยะหนึ่ง และจะขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ และเมื่อส่วนต่างดอกเบี้ยของสหรัฐสูงขึ้น ในขณะที่ดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ก็จะทำให้เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งขึ้นมาตลอด จะค่อยเปลี่ยนกลับเป็นอ่อน
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาสองสามปี การลงทุนภาคเอกชนเกิดขึ้นน้อยมาก ถ้ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชนได้ และมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอย่างจริงจัง ก็จะมีการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ และจะลดการเกินดุลการค้าของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้แรงกดดันให้เงินบาทแข็งขึ้นนั้นหมดไปด้วย
แล้วเมื่อใดที่เงินบาทกลับอ่อน ตัวสำรองที่ตีราคาเป็นเงินบาท ก็จะกลับมาเป็นกำไรในอนาคต
ในระหว่างนี้ ขอให้รัฐบาล คสช. หาทางแก้ปัญหาระดับการลงทุนภาคเอกชนที่ต่ำเตี้ยมาตั้งแต่การปฏิวัติให้ได้ก็แล้วกัน
วันที่ 7 พฤษภาคม 2561
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
Facebook Thirachai Phuvanatnaranubala
.................................................................
'อ่านแล้วตกใจ จริงๆ เลยอยากให้เพื่อนๆระวังตัวและแต่ละคนให้หาทางออกให้ครบครัวตัวเองครับ
*ผลขาดทุนของ ธปท.*
โดย สิริอัญญา 
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2561

ในสัปดาห์นี้มีเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนก แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไป เพราะมัวไปวุ่นวายอยู่กับการต่อว่าด่าทอที่ไร้สาระในสารพัดเรื่อง ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสความชั่วร้ายที่ครอบงำสังคมไทยอยู่ในทุกวันนี้

แต่หามีใครออกหน้ารับผิดชอบแก้ไขแต่ประการใด

ก็เป็นธรรมดาของยุคตาอยู่ครองเมือง ที่อยู่ไปวัน ๆ เพื่อเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของครอบครัวตนเท่านั้น สังคมและประเทศชาติจะฉิบหายอย่างไร ก็ไม่ใช่ธุระที่จะยุ่งเกี่ยวให้เสี่ยงกับความรับผิดชอบตามลีลาเอาตัวรอดของตาอยู่

นั่นคือเรื่องที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่า ในปี 2560 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลขาดทุน รวม 900,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวในยุคสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีการดำเนินคดีจนมีคนติดคุกติดตะรางไปหลายรายแล้ว

หลังจากข่าวคราวปรากฏออกไปก็ไม่มีใครมีความคิดเห็นว่าอย่างไร ไม่มีใครรู้สึกทุกข์ร้อนว่าอย่างไร ไม่มีใครสนใจไต่ถามหาสาเหตุว่าขาดทุนจริงหรือไม่อย่างไร และขาดทุนมาจากเรื่องอะไร ตลอดจนทำไมจึงต้องขาดทุนมหาศาลอย่างนี้

เพราะไม่ว่าองค์กรไหน ๆ ก็ตาม ถ้าหากผลประกอบการขาดทุนแล้ว ก็ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องแก้ไขอย่างรวดเร็ว ซึ่งการแก้ไขนั้นก็ต้องศึกษาหาสาเหตุและผู้รับผิดชอบที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดการขาดทุน ก็ต้องบอกให้รู้ความรู้สึกของประชาชนคนหนึ่งว่า

การขาดทุนถึง 900,000 ล้านบาทนั้น เป็นการขาดทุนจำนวนมหาศาลที่สุดในการดำเนินงานปกติของทุกองค์กรบนโลกนี้ เป็นเรื่องที่จะปล่อยให้ผ่านเลยตามเลยไปไม่ได้เด็ดขาด

ในอดีตประเทศชาติฉิบหายล่มจมมาครั้งหนึ่งแล้ว นั่นคือมีผู้บริหารในธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังทำการเก็งกำไรค่าเงินบาท ทำความผิดในการปกป้องค่าเงินบาทอย่างร้ายแรง นำเงินทั้งหมดของประเทศชาติไปใช้ในการปกป้องค่าเงินบาท ซึ่งเนื้อหาที่แท้จริงก็คือเอาไปใช้ในการต่อสู้ในเรื่องค่าเงินด้วยความผิดพลาดและโง่เขลา ถึงขนาดที่ใครทักท้วงก็ไม่ฟัง

และรัฐบาลในสมัยนั้นก็หลงผิดคิดว่าคนจบการศึกษาต่างประเทศ แต่งชุดหรูหรา พูดจาภาษาฝรั่ง แล้วจะคิดถูกทำถูกเสมอไป จึงทำความผิดพลาดไม่ฟังคำทีมงานที่ร่วมคิดร่วมสู้กันมา ไปหลงใหลได้ปลื้มกับพวกแต่งตัวหรูหรา ในที่สุดก็ขาดทุนจนหมดตัว และต้องเอาประเทศไปจำนำกับ IMF มิหนำซ้ำยังเอาภาคธุรกิจทั่วประเทศฉิบหายวายวอดตามไปด้วย

ผลขาดทุนในครั้งนั้นมีจำนวนสูงสุดถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังชำระหนี้ไม่หมด ทั้งที่ได้จ่ายค่าดอกเบี้ยไปแล้วหลายแสนล้านบาท

ดังนั้น เมื่อมีข่าวการขาดทุนครั้งใหม่อีก 900,000 แสนล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจ เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงแล้ว บรรดาคำพูดทั้งหลายที่ว่าเศรษฐกิจดีกำลังเติบโต ก็จะกลายเป็นการหลอกลวงคนไทยที่อำมหิต เพราะความจริงนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะฉิบหายวายวอดครั้งใหม่

ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา'

ไม่มีความคิดเห็น: