ไม่อยากเข้าข้างใครหรอกนะ สงครามพระแย่งอำนาจและสมณศักดิ์ แต่ขำคนพวกนี้ใช้วิธีการเดิมๆ คือให้ร้ายป้ายสีและตีความบิดเบือนเพื่อเอาชนะ
"พุทธะอิสระ" สวนลิ่วล้อ "สมเด็จช่วง" ชี้ชัดรถหรูซื้อส่วนตัว ส่อปาราชิกฐานลักซ่อน
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
“ไพบูลย์” ร้องผู้ตรวจฯ เช็ก กม.สงฆ์ ชี้มติลับ มส.เลือกสังฆราชส่อผิดขั้นตอน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
ม.7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เขียนว่า "ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ"
การเขียนกฎหมายแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องตีความให้ยุ่งยาก นั่นคือนายกฯ จะต้องนำชื่อสมเด็จฯ ที่อาวุโสสูงสุดขึ้นทูลเกล้าฯ โดยความเห็นชอบของมหาเถรฯ เว้นแต่มหาเถรไม่เห็นชอบ จึงจะเสนอชื่อสมเด็จฯ ท่านอื่น
ฉะนั้น มหาเถรฯ เขาก็ประชุมแล้วบอกว่าเขาเห็นชอบสมเด็จช่วง ขั้นต่อไปก็เป็นหน้าที่นายกฯ เสนอชื่อ เว้นแต่จะตีความกันว่า นายกฯ มีอำนาจไม่เสนอชื่อ มีอำนาจดองเค็มเป็นสิบปีตามที่วิษณุอ้าง
แต่นี่ไพบูลย์กลับตีความว่า ต้องให้นายกฯ เสนอชื่อสมเด็จฯ ที่อาวุโสสูงสุด เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเสียก่อน การที่มหาเถรประชุมกันเอง ทำผิดขั้นตอน
เอางี้ไหมครับ ทั่นไพบูลย์ ให้ผู้ตรวจร้องศาลรัฐธรรมนูญ ตีความว่ามหาเถรทำผิดกฎหมาย ต้องยุบพรรค เอ๊ย ถอดถอนทั้งคณะ 55555
อ้อ การตีความแบบไพบูลย์นี่น่าขำอีกอย่าง หลังรัฐประหารด่าทอนักการเมือง มีการแก้กฎหมาย เขียน รธน.ไม่ให้นักการเมืองมีอำนาจแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เช่น ไม่ให้นายกฯ เสนอชื่อ ผบ.ตร.
แต่พอ "กูจะโค่นสมเด็จช่วงซะอย่าง" ก็ตีความว่า นายกฯ มีอำนาจเสนอชื่อสังฆราช โห ไม่คิดถึงภายภาคหน้าบ้างเลยเรอะ นี่คือให้อำนาจการเมืองแทรกแซงแต่งตั้งสังฆราชเลยนะ 55555
////////////////////////////////////
Kasian Tejapira ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 2 ภาพ
อาหารความคิดมื้อเช้า(มืด): กลุ่มอาการแย่งสมบัติ
%%%%%%%%%%%
%%%%%%%%%%%
อ่านที่คุณใบตองแห้งรำพึงถึงกระบวนท่าขัดแย้งกรณีแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่แล้วก็ได้คิดบางอย่าง
การอ้างตีความกฎเกณฑ์แบบแถและฉวยโอกาสลากเข้าข้างบาลีที่ตนเลือก จากนั้นก็ใช้สื่อและม็อบและตำแหน่งแต่งตั้งทางการเข้าสำทับกระหน่ำโจมตีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น
นอกจากบ่อนทำลายกฎหมายและสถาบันสำคัญของบ้านเมืองให้เปื่อยยุ่ยลงไปเรื่อย ๆ (ไอ้นี่คือส่วนหนึ่งของ "รัฐล้มเหลว" จริง ๆ) จนทุกวันนี้ยังไม่จบแล้ว
มันยังเป็นกลุ่มอาการที่สะท้อนสมุฎฐานโรคด้วย
ผมคิดว่าสมุฎฐานโรคจริง ๆ คือภาวะที่อนุญาโตตุลาการสุดท้าย (final arbiter) ของระเบียบการเมืองไทย ไม่ทำงานเพราะทำงานไม่ได้
ภาวะความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์แก๊งก๊วนอิทธิพล (factions) ในวงการต่าง ๆ ในสถาบันสำคัญของชาติโดยเฉพาะระบบราชการมีมานาน แต่ที่ผ่านมามันสามารถจบ ยุติและระเบียบสถาบันดำเนินการต่อได้ไม่ขัดแย้งจนเปื่อยยุ่ยล้มเหลวเพราะทุกคนยอมรับและยอมตาม final arbiter ผู้มีอำนาจการนำที่จะสะกดทุกฝ่ายให้สยบสมยอม ต่อให้ในใจเบื้องลึกไม่ยินดีนักก็ตาม
แต่ final arbiter ตอนนี้ไม่ทำงาน จึงเกิดช่องว่างสุญญากาศหรือหลุมดำขึ้นในระบบ
ความขัดแย้งระหว่าง factions ในระบบราชการทุกเรื่องสามารถไม่จบไม่ยุติได้ด้วยพลังม็อบแถตีความกฎหมายแบบนี้
และผู้แย่งทะยานขึ้นมาสวมบท final arbiter คนใหม่โดยอำนาจพิเศษก็ไม่อยู่ในสถานะและบุคลิกที่จะมีอำนาจสะกดทุกคนให้ยอมตามการนำของตนโดยดุษณีได้เช่นกัน
ใช้ได้แต่กำลังข่มขู่บังคับ
การแย่งสมบัติตำแหน่งแห่งที่อำนาจอิทธิพลผลประโยชน์จึงดำเนินเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด และมีแนวโน้มจะออกนอกกรอบกฎเกณฑ์ ใช้กำลังบังคับและกำลังม็อบต่อไปเรื่อย ๆ (พรบ.ชุมนุมแก้ตรงปลายเหตุก็เพราะที่อธิบายมานี้นั่นแหละครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น