PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

One Man Show



One Man Show
ก็เพราะเป็น นายกฯ.. นักข่าว ก็ย่อมสนใจคนเป็นนายกฯ เป็นธรรมดา มาทุกยุคทุกสมัย ในฐานะผู้นำประเทศ

ยิ่ง "นายกบิ๊กตู่"...พูดเยอะ พูดเก่ง พูดเร็ว พูดทุกสถานที่....นักข่าวก็ต้องใช้การแกะเทปและต้องติดตามดูทุกฝีก้าว.....ไม่ใช่แค่การจดหรือจับประเด็นการสัมภาษณ์เท่านั้น...แต่รวมถึง ยังต้องสังเกตุแววตาสีหน้า ภาษากาย มือไม้ อารมณ์ประกอบด้วย

อีกทั้ง บิ๊กตู่ ก็รู้ทุกเรื่อง ตอบคำถามสื่อ
ได้ทุกเรื่องทุกเรื่อง ของทุกกระทรวง จนตัวรัฐมนตรีเอง แทบไม่จำเป็นต้องออกมาให้สัมภาษณ์หรือให้ข่าว เพราะนายกฯบอกว่าผมรู้ทุกเรื่อง

ยิ่งเป็นนายกฯ จากการรัฐประหารที่เต็มไปด้วยสีสัน หลากหลายอารมณ์ ทั้งโหด มัน ฮา บ้าดีเดือด อ่อนหวาน ลูกอ้อน ครบ..... แถมรู้มุมข่าว มุมกล้อง

จึงยิ่งทำให้บิ๊กตู่ ยึดครองพื้นที่ข่าวได้แบบเต็มๆ แบบไม่ต้องซื้อพื้นที่โฆษณาหรือเวลาออกอากาศ

กลายเป็น One Man Show มาตลอด...อะไรๆก็ต้องบิ๊กตู่

จนคิดกันว่าในรัฐบาลนี้มี นายกบิ๊กตู่ อยู่คนเดียว

ที่พอจะเป็นที่รู้จัก และตกเป็นข่าว อยู่ทุกวันก็มี "บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร" พี่ใหญ่รัฐบาล พี่ใหญ่คสช. ที่นั่งเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ทีก็พูดอะไรทำอะไรเป็นข่าวหน้า1อยู่เสมอ
รวมทั้งบิ๊กป้อก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทย "พี่รอง"

และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย

และที่พอเป็นข่าวปละปลาย ก็มี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พลอากาศเอกประจินต์ จั่นตอง รองนายกฯ

ที่เป็นNewsMaker หลักๆของรัฐบาล คสช.ที่นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จะคอยตามทำข่าว และสัมภาษณ์. เพราะมีความสำคัญ ทั้งในแง่ตัวบุคคล คอนเน็คชั่น และหน้าที่ความรับผิดชอบ

ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆก็จะให้ นักข่าวประจำกระทรวงและโฆษกประจำกระทรวงเป็นผู้ทำข่าวและให้ข่าว

หรือตัวรัฐมนตรีเองว่า มีความอยากพูดอยากให้สัมภาษณ์ หรืออยากให้ข่าว หรือไม่หรืออยากทำงานแบบเงียบๆ

แต่จะได้ลงข่าว หรือเป็นข่าวหน้า1 เป็นที่น่าสนใจแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับประเด็นข่าว และความสามารถ ของโฆษกกระทรวง ที่จะดึงความสนใจดึงประเด็นข่าว. มาให้สื่อสนใจได้ด้วย

จนเกิด"รัฐมนตรีโลกลืม"ขึ้นมาและทำให้พลเอกประยุทธ์บ่นกับสื่อก่อนหน้านี้ว่าอย่าทำข่าวแต่ผมคนเดียวสนใจแต่ผมคนเดียวให้สนใจรัฐมนตรีผมด้วยเพราะทุกคนทำงานทุ่มเทแต่นักข่าวก็มาสนใจแต่ผม
ผมเคยถามรัฐมนตรีว่าทำไม ไม่มีข่าวออกเลย รัฐมนตรี บอกว่าเพราะนายกฯแถลงข่าวเสร็จ นักข่าวก็ไปกันหมด ไม่มีใครอยู่ฟังผมเลย

นี่ จึงเป็นที่มาของการที่กรมประชาสัมพันธ์
โดย เสธ.ไก่อู พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือสื่อสถานีโทรทัศน์ทุกช่องลงพื้นที่ทำข่าว รัฐมนตรีคนอื่นๆ ใน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ. นครราชสีมา 

จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย

พล.ท.สรรเสริญ จึงต้องออกมาชี้แจงว่า ไม่ใช่เป็นการจัดระเบียบสื่อ แต่เป็นการขอความร่วมมือในการทำรายงานสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับรัฐมนตรีที่ลงไปในพื้นที่ด้วย

เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีประชุมครม. นอกพื้นที่ ก็จะมีแต่ข่าวของนายกรัฐมนตรี แต่ความจริงแล้วยังมีรัฐมนตรีคนอื่นๆ อีกที่ร่วมลงพื้นที่

โดยรัฐมนตรีเหล่านี้จะได้ไปสัมผัสพื้นที่จริงว่านโยบายที่รัฐบาลทำลงไปนั้น มีปัญหาอุปสรรคอะไร รัฐมนตรีจะได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาให้

ดังนั้น เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องต่างๆ ของรัฐมนตรีได้ถึงประชาชนในสังคมให้มากที่สุดและรอบด้าน ตนจึงได้ขอความร่วมมือ ถามว่าใครช่องไหนสนใจติดตามรัฐมนตรีท่านใด ก็ให้เลือกได้ตามใจชอบ ตามที่สื่อช่องนั้นต้องการ

“ผมไม่ได้บังคับ ผมให้เลือกตามใจชอบเลย แต่ต้องไม่ซ้ำกันในแต่ละช่อง บางช่องบอกให้ผมเลือกให้ด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้เลือกให้ เพราะรู้ว่าคาแล็คเตอร์ความสนใจของแต่ละช่องไม่เหมือนกัน เท่าที่เห็นแต่ละช่องก็เลือกกันหมดแล้ว” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีบางช่องไม่ทำ ไม่เลือกตามรัฐมนตรี พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ได้บอกแล้วว่า ไม่ได้บังคับ แต่สื่อที่ตามลงไปทำข่าว ก็ต้องทำข่าวของท่านอยู่แล้ว ตนเพียงแต่ขอว่า ให้ส่งสิ่งที่ท่านทำให้กับเราด้วย เพื่อที่จะได้ออกอากาศทางช่อง NBT ที่สำคัญรายงานที่จะออกทางช่อง NBT นั้น ตนไม่ได้บังคับอะไรเลย ท่านจะทำเรื่องไหน อย่างไร เป็นไอเดียของท่านเลย แล้วให้ใช้ไมค์ของสถานีช่องนั้นๆได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าต้องไม่มีสัญลักษณ์หรือโลโก้สถานี

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะความพยายามที่จะแก้ปัญหา เพราะที่ผ่านมาเมื่อลงพื้นที่ก็จะมีแต่ข่าวของนายกรัฐมนตรี ประชาชนจะรู้แต่เรื่องของนายกฯ ที่ขอความร่วมมืออย่างนี้ก็เพื่อความหลากหลายในการนำเสนอเนื้อหาการประชุมครม. ที่ไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องนายกฯ

และที่ต้องขอความร่วมมืออย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเราไม่มีทีมข่าวที่เพียงพอ ยืนยันว่าผมมีทีมข่าวของกรมประชาสัมพันธ์เพียงพอ และเตรียมไว้แล้วเช่นกัน แต่ตนต้องการให้เกิดความหลากหลายในการนำเสนอ ไม่ใช้เฉพาะในมุมสื่อของรัฐเพียงอย่างเดียว เราให้อิสระในการคิดนำเสนอประเด็น เพียงแต่ขอให้ท่านส่งมาให้เราด้วยเพื่อที่เราจะช่วยเผยแพร่ทางช่อง NBT เป็นความต้องการที่แท้จริง

การรายงานเรื่องของรัฐมนตรีแต่ละคน แต่ละช่องรายงานได้ตามสบาย ตามสไตล์ ผมอยากให้ประชาชนที่ดูช่องสื่อของรัฐ ได้รับรู้ว่าสื่อเอกชนเขานำเสนออย่างไร เราเป็นเพียงตัวกลางช่วยเผยแพร่ให้ความหลากหลายแก่ประชาชน ไม่ใช่เป็นการจัดระเบียบสื่ออย่างที่มีการวิจารณ์กัน” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว

ดังนั้นปัญหานี้....จึงไม่ได้อยู่ที่สื่อ แต่อยู่ที่ตัวรัฐมนตรีและทีมงาน และทีมโฆษกกระทรวงเองว่า. จะสามารถทำให้"เจ้านาย" ตกเป็น"ข่าวดีๆ" ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนักข่าวนั้นพร้อมที่จะทำข่าวอยู่แล้ว หากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็น ประโยชน์ต่อประชาชน และครบองค์ประกอบของข่าว

โดยไม่ต้องบังคับ บอกกล่าวหรือ ขอความร่วมมือกัน. ...จะเป็นการทำข่าวแบบธรรมชาติที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น: