PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อะไรคือเรื่องจริงกรณีจับกำนันเป๊าะของพงษ์พัฒน์

ฟีดข่าว

ติดตาม

เฮ้อ.. มาย้อนดู คดีจับกำนันเป๊าะ ...นี่มันปาหี่ชัดๆ ทุกวันนี้ กำนันเป๊าะ ยังไม่ติดคุกเลย
.....
‘จับกำนันเป๊าะ รวบอำนาจภาคตะวันออก’ อะไรคือเรื่องจริง..


แม้กำนันเป๊าะจะโดนจับเรียบร้อย แต่เรื่องราวของจริงคงไม่ราบเรียบหรือจบง่ายอย่างที่เห็นแน่ๆ ระดับพ่อของรัฐมนตรีในครม.ที่ถือว่าทรงอำนาจในปัจจุบัน ตำรวจใหญ่มาจากไหน คงต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องตามติดกันต่อไปว่า หากนี่คือมาตรฐานตำรวจไทย...คดีอื่นล่ะ! ไปถึงไหน

ใครสั่งจับ “เป๊าะ” เพราะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา จึงไม่แปลกที่จะมีคนสงสัย จนวิพากษ์วิจารณ์ออกมาถึง 3 แนวทางที่คนละเรื่องกันเลย ของเบื้องหลังคดีนี้

ทางที่ 1 เชื่อว่ามีใบสั่งจากฝ่ายการเมืองซีกชินวัตร ให้ดำเนินการบีบสนธยา ตีหัวเข้าพรรคเพื่อไทย แบบเมื่อครั้งปี 2547 ตอนเริ่มคดีกำนันเป๊าะและก็สำเร็จโดยสนธยานำกลุ่มชลบุรีออกจากพรรคชาติไทยมาเข้าบ้านไทยรักไทย ลงสมัครในนามทรท.แม้ชนะเลือกตั้ง ในรัฐบาลทักษิณ 2 ก็ยินดีไม่รับตำแหน่งใดๆ ในครม.แบบเจี๋ยมเจี้ยม เหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดเช่นเดียวกับนายวัฒนา อัศวเหม เมื่อครั้งขึ้นศาลคดีคลองด่าน พยานซีกนายวัฒนาโอดครวญเผยความจริงที่วัฒนาถูกบีบจากทักษิณให้เข้าร่วมพรรคไทยรักไทย โดยเครื่องมือใช้บีบคือ คดีคลองด่าน รอบนี้ก็ดันเห็นกลิ่นแปลกๆแล้วจากหนังสือพิมพ์หัวแดงจัดทั้งสองเล่มที่วิจารณ์ทำนองได้เวลาปรับครม.เอาเก้าอี้คืนจากพลังชล และชาติไทยพัฒนา แบบรู้งาน หรือเตี๊ยมกันมายังไงยังงั้น

ทางที่ 2 เชื่อว่าเป็นการปูทางสู่การฟอกความผิดให้จบกระบวนการในขณะที่ลูกชายยังมีอำนาจในรัฐบาลที่เห็นกฎหมายเป็นแค่อุปกรณ์ทำงาน กลุ่มที่คิดเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำลงไปอีก เมื่อหลังถูกจับกุมก็เข้าไปพักตัวต่อที่รพ. แทนที่จะเป็นห้องขัง ล่าสุดมีการส่งตัวกำนันเป๊าะไปขังที่เรือนจำกลางชลบุรีบ้านเกิด ที่มีอิทธิพลตระกูลคุณปลื้มแทรกทุกอณูในจังหวัด ด้วยข้ออ้างว่า เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง ย้ำเพิ่มด้วยการเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ลดโทษจากจำคุก 30 ปีมาเหลือน้อยที่สุด ทางนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงแต่ต้องดูกันต่อไปถึงกระบวนการช่วยเหลือของคนในรัฐบาล และถ้าทำเช่นนี้ได้ อีกไม่นานคงจะพบการฟอกความผิดให้บรรดานักโทษเสื้อแดงทั้งหลายในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ขณะนี้หลบนี้อยู่ตามของชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

ทางที่ 3 เชื่อว่าเป็นความห่ามโดยส่วนตัวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) แกนนำชุดจับกุม โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีประวัติกล้าไม่กลัว และเนื่องจากเป็นคนนอกสายตาผบ.ตร. และร.ต.อ.เฉลิม รองนายกฯ ในทำนองไม่มีอะไรจะเสีย แต่ครั้นจะบอกว่าเหตุใดจึงไม่มีการระแคะระคายไปถึงผู้ใหญ่ให้รู้มาก่อนเลยหรือ ก็ยังฟังดูขัดหูอยู่ หากแนวทางนี้เป็นจริง น่าจะมีปมซ้อนสำคัญอีกปมก็คือ การขัดแย้งภายในระดับผู้ใหญ่ในสตช.เป็นแน่ โดยเฉพาะ รองเฉลิมฯ กับผบ.ตร. จึงทำให้เกิดช่องพลาดขึ้นมาเช่นนี้

หากแต่ไม่ว่าแนวทางใดใน 3 ทางคือเรื่องจริง และไม่ว่าคุณทักษิณจะเป็นคนวางแผนหรือไม่ แต่หลังจากนี้ คุณทักษิณคงนอนหลับไม่สนิทแน่นอน เพราะจบงานนี้ ฝ่ายภาคประชาชนที่จับตาการทำงานของตำรวจ คงเตรียมเช็คบิลตำรวจไทยเรื่องสองมาตรฐานกับคดีวีไอพีสำคัญคดีอื่นแน่นอน

แน่นอนว่ากำนันเป๊าะเป็นนักโทษที่มีความผิด ควรได้รับการลงโทษและต้องชื่นชมนายตำรวจใจกล้าผู้นี้ หากแต่ ผบ.ตร.หรือ
นายตำรวจที่มีอำนาจทั้งหลาย เลือกใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อจัดการตามใจชอบ เลือกปฏิบัติเช่นนี้ หรือไม่ ต้องออกมาตอบคำถามประชาชนและใช้ฝีมือความสามารถจับนักโทษวีไอพีมาลงโทษให้ได้ เพื่อยืนยันความชื่อสัตย์ต่อประเทศชาติของตนเอง โดยเฉพาะพล.ต.ท.คำรณวิทย์ธูปกระจ่าง ผบช.น.เหตุใดจึงไม่จับกุมตัว!คุณทักษิณ ทั้งที่ออกมายอมรับว่าได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายครั้ง กลับได้รับการตอบแทนจากผู้บังคับบัญชาให้ขึ้นเป็นผบช.น จนแต่งตั้งแล้วก็ออกมายืนยันอีกว่า เดินทางไปพบทักษิณอีกเพื่อให้ประดับยศให้

จับนักการเมืองยากแต่ก็จับได้ ถ้าเป็นสมัยยุคก่อนปฏิรูปการเมือง คือก่อน พ.ศ.2535 พฤษภาทมิฬ นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยและจะมีได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองคนนั้นหมดอำนาจไปแล้ว ซึ่งก็เป็นความผิดที่ตัดสินเพียงแค่ยึดทรัพย์บางส่วน สาเหตุที่นักการเมืองขณะดำรงตำแหน่งมักรอดพ้นจากคดีทุจริตต่างๆ นอกจากความใกล้ชิดและสัมพันธ์ในเชิงต่อรองกับฝ่ายอำนาจต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่จับกุมของรัฐอย่างตำรวจหรืออัยการ ที่ทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง เหลือเพียงศาลเท่านั้นที่เป็นอิสระ อีกประการก็คือ นักการเมืองอยู่ในสถานะผู้เขียนกฎหมาย อันรวมถึงกฎหมายทุจริตด้วย จึงไม่เคยปรากฏกฎหมายเอาความผิดจากนักการเมืองโดยตรงที่มีลักษณะพิเศษต่างจากข้าราชการจนมาถึงยุครัฐธรรมนูญ 2550 ที่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และเชื่อว่าหาก รธน.ฉบับนี้เขียนโดยนักการเมืองย่อมไม่มีบทบัญญัติทำนองนี้แน่นอน นั่นคือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กระนั้นก็ตาม หากเรื่องทุจริตใครไปถึงชั้นศาลได้ก็นับว่าพลาดจริงๆ อย่างเช่น คดีของเสธ.หนั่น ในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน แม้จะเป็นที่ฮือฮาแต่โทษก็เพียงการพักหรือเว้นว่างทางการเมือง 5 ปี และคดีประเภทนี้ ดูจะลดความศักดิ์สิทธิ์ลงเมื่อตอนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ โดนคดีนี้เช่นเดียวกัน แต่รอด ด้วยวาทะเด็ดว่าบกพร่องโดยสุจริต ส่วนคดีของนักการเมืองอันรวมถึงกลุ่มทุน ที่เป็นคดีทุจริตจริงๆและถือว่าพลาดให้โดนดำเนินคดี แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม

กลุ่ม 1 คดีที่ผู้ต้องหาหนีคดีตั้งแต่ต้น หวังหมดอายุความ

ด้วยความรู้ไวว่า โดนแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามผู้ต้องหาที่เป็นนักการเมือง หรือกลุ่มทุนใกล้ชิดนักการเมือง ก็หลบหนีไปต่างประเทศและไม่ยอมไปขึ้นศาลตั้งแต่ต้น ซึ่งหากครบกำหนดตามอายุความโดยไม่โดนจับก็จะรอดพ้นจากความผิด อย่างกรณีนายวัฒนา อัศวเหม คดีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย จ.สมุทรปราการได้หลบหนีออกจากประเทศตั้งแต่ปี 2551 เช่นเดียวกับ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่เคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์ หนีคดีไปต่างประเทศจนคดีหมดอายุความจึงกลับมา ปิ่น จักกะพาก อดีตกก.ผู้จัดการใหญ่บริษัท เอกธนกิจ จำกัด(มหาชน)ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ 2,127 ล้านบาท ได้กลับมาเมืองไทยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังคดีหมดอายุความเมื่อเดือน ก.พ.2555 ยกเว้น ราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ บีบีซี. ที่พยายามทำให้เข้าเงื่อนไขคือหมดอายุความ จนทางการไทยต้องใช้เวลากว่าสิบปีจึงสามารถจับตัวมาดำเนินคดีในประเทศได้ ซึ่งเฉียดฉิวก่อนหมดอายุความฟ้องศาล

กลุ่ม 2 นักการเมืองที่สู้คดีก่อนจะถูกลงโทษ

นายรักเกียรติ สุขธนะที่เคยต้องโทษจำคุกคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข แต่เมื่อแพ้คดีก็เข้ารับโทษที่เรือนจำกลางอุดรธานีโดยดี จนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 ได้รับลดโทษเหลือโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน 17 วัน หลังพ้นโทษก็บวชเป็นพระจนถึงทุกวันนี้

แต่คนนี้สิ! พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาเมื่อตุลาคม 2551 ตัดสินจำคุก เป็นเวลา 2 ปี ในคดีประมูลซื้อทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาฯ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 772 ล้านบาท คดีนี้มีความแรงขึ้นไปอีกชั้นด้วยการสู้คดีของคุณทักษิณ ด้วยถุงขนม 2 ล้าน อันถือเป็นพฤติกรรมที่ย่ามใจในอำนาจและอาจบ่งบอกสะท้อนถึงการรอดพ้นคดีต่างๆ ในอดีตหรือไม่ กับการใช้เงินในการสู้คดี แต่ในที่สุดที่ศาลไม่รับเงินจนเป็นเรื่องเป็นราวออกมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนหนุนหลังอยู่ ได้ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศแล้วถือโอกาสหลบหนีคดี โดยไม่ยอมมารายงานตัวตามกำหนดวันที่ 11 ส.ค. 2551 แต่ศาลก็ได้ตัดสินคดีไปแล้วตามที่กล่าวในตอนแรก ศาลที่ว่าก็คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการแก้บทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายถ้าจะมีใครโยง กำนันเป๊าะกับ คุณทักษิณ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ต้องเทียบเคียงแต่อย่างใด เนื่องจากมันคือ
เรื่องเดียวกันตั้งแต่ต้น เพราะกำนันเป๊าะกว่าจะขึ้นเป็นใหญ่ในภาคตะวันออกได้ก็เที่ยวไล่ปราบเจ้าพ่อทั่วภาคตะวันออกกว่าตนเองจะได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวครอบคลุมทุกสัมปทานในภาคตะวันออกรวมทั้งงานรับเหมาต่างๆ ของทางราชการ ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามีรายเดียวเท่านั้นที่ผูกขาดก็คือ บริษัท บางแสนมหานคร แต่ต้นเหตุที่ทำให้กำนันเป๊าะหมดอำนาจกลับมาจากคดีฆ่ากำนันยูรซึ่งอาจถือว่าเป็นความขัดแย้งระดับเล็กน้อยเท่านั้น ของกำนันเป๊าะกับศัตรูเมื่อเทียบกับคู่ขัดแย้งอื่นๆ ฉันใดฉันนั้น กระบวนการไล่บี้กำนันเป๊าะก็ไม่ธรรมดาตั้งแต่ต้น เหตุเพราะคนที่ปราบนั้นชื่อทักษิณ และอ้างว่าใช้นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล แทนคำว่าเลือกปฏิบัติในครั้งนั้นมีเป้าหมายในอดีตที่แท้จริงนอกจากคุมพื้นที่การเมืองภาคตะวันออกเสียเอง กับธุรกิจยักษ์ใหญ่แถวจอมเทียนสัตหีบ หรือไม่

มาพ.ศ.นี้ ก็เช่นกัน ไม่ว่าใครคือคนทำแต่หลังจบงานนี้การเมืองชลบุรีจาก3ขั้วจะเหลือ2ขั้วทันที และจริงหรือไม่ที่พี่ชายนายกฯกำลังเล็งผลประโยชน์ก้อนใหม่ที่แหลมฉบัง แต่ประเด็นก็มีจุดเปลี่ยนอยู่ที่ว่าตอนนี้คุณทักษิณก็มีคดีติดตัวแล้ว และยุทธการจับกุมกำนันเป๊าะรอบล่าสุดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตำรวจดีมีจริง เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่า “กรรมย่อมหนีไม่พ้น”

“คนผู้หนึ่งตอนหนีเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเฟ้นทางราบเรียบ มักเข้าใจว่าหากหลบหนีตามเส้นทางกันดาร บุคคลอื่นยากไล่ล่าตามทัน”

(โกวเล้ง จากเรื่อง จับอิดนึ้ง)

รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ

ไม่มีความคิดเห็น: