PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

‘บิ๊กโด่ง’รับเรื่องจริง งาบหัวคิว!


‘บิ๊กโด่ง’รับเรื่องจริง
งาบหัวคิว!
สร้างอุทยานราชภักดิ์
แต่เคลียร์จบทางที่ดีแล้ว
บิ๊กตู่ไม่อยากให้ใครตาย
เล็งเปิดคุกเชิญสื่อเข้าดู
คดีม.112ส่งอัยการ12พย.
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ.และประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงการตรวจสอบความผิดปกติในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า เจตนาในการดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ต้นเป็นเจตนาบริสุทธิ์ มีความตั้งใจดี เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป การดำเนินการเป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการเพราะเป็นโครงการใหญ่ มีคณะกรรมการ มีคณะอำนวยการที่มี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มีการตั้งคณะอนุกรรมการซึ่งทำงานแตกต่างกันออกไป
บิ๊กโด่งบริสุทธิ์ใจพร้อมแจง
พล.อ.อุดมเดช ยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ แต่อาจจะมีบางเรื่องราวที่มีปัญหา แต่คณะทำงานได้พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์หมดแล้ว การดำเนินการต่างๆ จนถึงขณะนี้คณะกรรมการและคณะทำงานทุกชุดพร้อมที่จะชี้แจง หากมีการสอบถามมาจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็มีความพร้อมที่จะชี้แจง ซึ่งความจริงการชี้แจงเป็นสิ่งที่ดีที่ประชาชนจะได้ทราบในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ข่าวที่ออกมาเท่าที่ตนดูมันออกมาเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีท่อนจบว่าออกมาด้วยดีอย่างไร
ชี้ตั้งมูลนิธิฯเพื่อแบ่งเบาภาระ
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องนี้สมัยที่ตนเป็น ผบ.ทบ. ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของกองทัพบกที่เข้ามาดำเนินการและแต่งตั้งลงไป แต่ในส่วนของมูลนิธิฯได้มาจัดตั้งภายหลังในช่วงท้ายของปีงบประมาณ ซึ่งการจัดตั้งมูลนิธิฯเพื่อแบ่งเบาภาระของกองทัพบก ไม่ให้การทำงานอุทยานฯไปเกี่ยวข้องกับงานอื่นแบบทาบทับกัน จึงจำเป็นต้องตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นมา โดยมูลนิธิฯนี้ ผบ.ทบ.เป็นประธานโดยตำแหน่ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งเปลี่ยนผ่านมาได้เดือนหนึ่งแล้วจะต้องมอบหมายให้ผบ.ทบ.คนปัจุบันและคนอื่นๆ ในอนาคตต่อไปเข้ามาเป็นประธานมูลนิธิฯโดยไม่จบสิ้น และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระ ยกตัวอย่างเรื่องงบประมาณที่เกิดขึ้นก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยว ควรจะแยกเป็นการเฉพาะสำหรับมูลนิธิฯขึ้นมา และย้ำว่าสิ่งต่างๆ ได้เกิดจากความตั้งใจดี สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสมบัติของชาติ ส่วนเรื่องเงินบริจาคทั้งหมดเรามีเจ้ากรมการเงินทหารบกเป็นผู้รับผิดชอบในการทำหลักฐานและรายละเอียดต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินเข้า–ออกจำนวนเท่าไร ใครเป็นคนบริจาค
ยอมรับมีหักหัวคิวโรงหล่อ
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่า มีเซียนพระคนหนึ่งไปไล่เก็บหัวคิวจากโรงหล่อ ตรงนี้ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า เรื่องนี้มีส่วนความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตนคิดว่าทุกวงการก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่พอเราทราบว่าน่าจะมี เราก็เข้าไปดำเนินการ โรงหล่อต่างๆ ก็มีความเข้าใจ คนที่สอดแทรกมาก็เป็นการแอบอ้าง แต่ทุกอย่างยุติลงด้วยดี สิ่งที่โรงหล่อต่างๆ อาจจะถูกหลอก โรงหล่อต่างๆ เองก็ไม่อยากให้เกิดอะไรเสียหาย เขาจึงมีการบริจาคโดยสมัครใจส่วนหนึ่ง อีกบางส่วนโรงหล่อก็นำไปใช้ในการทำองค์พระให้สมบูรณ์ ทุกอย่างจบเสร็จด้วยความเรียบร้อย สะอาด บริสุทธิ์ทุกขั้นตอน
โฆษกทบ.ย้ำชี้แจงสังคมได้
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ชี้แจงว่า เรื่องของอุทยานราชภักดิ์ เป็นการดำเนินการโดยมีคณะกรรมการแต่ละส่วนมาบริหารจัดการ มีลักษณะเป็นนิติบุคคลภายใต้มูลนิธิฯ โดยมี พล.อ.อุดมเดช เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างฯ และประธานมูลนิธิฯ ซึ่งกรณีมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลในเรื่องเกี่ยวข้อง เชื่อว่าทางคณะกรรมการที่รับผิดชอบดำเนินงานในแต่ละส่วนจะมีข้อมูล และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่สามารถชี้แจงกับสังคมได้
วอนอย่าแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ชัด
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า หากกรณีเกิดข้อกังวลสงสัย ในพฤติกรรมใด ๆ ของกำลังพลในสังกัด จะด้วยพฤติกรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการทำงานส่วนตัวในหน้าที่อื่นๆ ทั่วไป สามารถประสาน หรือร้องมาอย่างเป็นทางการได้ที่กองทัพบก มั่นใจว่าถ้าพบพฤติกรรมใดเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อระเบียบของกองทัพ ทางผู้บังคับบัญชาจะมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง และดำเนินการให้ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนหรือบุคคลใดๆ หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลที่ยังไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์ตามขั้นตอนที่สมบูรณ์ หรือมีข้อมูลไม่ครบถ้วนไปเผยแพร่ เพราะอาจทำให้สังคมสับสน และมีผลต่อภาพลักษณ์ของบุคคลหรือองค์กรได้
บิ๊กป้อมโบ้ยถามบิ๊กโด่งปมทุจริต
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี มีการทุจริตในการสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า ตนได้พูดคุยกับ พล.อ.อุดมเดช มานานแล้ว ท่านก็บอกว่าทำทุกอย่างตามขั้นตอนในเรื่องของการใช้งบประมาณในการสร้าง ไม่ใช่เพิ่งคุยกัน เมื่อถามว่า มีความเชื่อมโยงกับ พ.อ.คชาชาต หรือเสธ.โจ้ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเกี่ยวกันยังไง ต้องให้ทาง พล.อ.อุดมเดช เป็นคนออกมาชี้แจงเอง เพราะเขาเป็นคนดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด ส่วนการสืบสวนเป็นเรื่องของตำรวจ ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปตามขั้นตอน ถ้าเรื่องของกฎหมายก็เป็นส่วนของกฎหมาย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบกองทัพก็ว่ามา ทุกอย่างต้องไม่มีบิดพลิ้วและต้องชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับสถาบันฯ
ฉุนถูกถามประเด็น“หมอหยอง”
เมื่อถามถึงกรณีของ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด พล.อ.ประวิตรตอบทันทีว่า “ผมไม่เกี่ยว ทำไมชอบถามยังงี้ ไม่ชอบดูโทรทัศน์หรือ เขาออกมาชี้แจงอย่างละเอียดกันหมดแล้ว แล้วยังมาถามอีก”
สั่งราชทัณฑ์ดูแลผู้ต้องหาม.112
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีการเสียชีวิตของนายสุริยัน หรือหมอหยอง ว่า ได้รายงานให้ นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว และตนได้กำชับให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ดูแล ตรวจสุขภาพของผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในคดีดังกล่าวด้วย เพราะเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ยอมรับว่าผู้ต้องขังทั้งประเทศที่มีประมาณ 300,000-400,000 คน อาจมีคนที่คิดฆ่าตัวตายหรือป่วยตายบ้าง อย่างไรก็ตาม จากการที่คดีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน และเกิดการเสียชีวิตของผู้ต้องหาในคดีนี้ติดต่อกัน 2 คน ทำให้สังคมมีการตั้งคำถาม แต่ถึงอย่างไร แม้ต้องหาถูกควบคุมตัวในพื้นที่ทหาร แต่ความรับผิดชอบต้องอยู่ที่กรมราชทัณฑ์เช่นเดิม
เล็งเปิดคุกให้สื่อเข้าตรวจสอบ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการเปิดเรือนจำให้สื่อเข้าไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่เพื่อตอบข้อสงสัยในประเด็นการคุมขังนั้น เป็นแนวคิดที่ดีแต่ต้องสอบถามอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่
บิ๊กตู่ลั่นไม่มีใครอยากให้ใครตาย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการเสียชีวิตของนายสุริยัน หรือหมอหยอง ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ตามขั้นตอนการพิสูจน์ และการชันสูตรศพของแพทย์ ซึ่งมีการแถลงว่าอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีใครอยากให้ใครตายอยู่แล้ว ซึ่งทุกเรื่องเป็นไปตามขั้นตอน ญาติพี่น้องไม่ติดใจสงสัยอะไร
จ่อทบทวนมาตรการดูแลนักโทษ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่โดยรวมสามารถรองรับนักโทษได้ทั้งประเทศ ประมาณ 1 แสนกว่าคน แต่นักโทษมีประมาณ 3-4 แสนคน โดยไม่มีการแยกว่าใครเป็นคดีหนักหรือเบา ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เสนอมาตรการเพิ่มเติมการควบคุมดูแลนักโทษในคดีลหุโทษ และนักโทษที่ประพฤติดีหรือใกล้ออกจากเรือนจำ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณพอสมควร รวมทั้งพิจารณาถึงการใช้เครื่องมือสำหรับนักโทษที่ใกล้จะพ้นโทษ โดยหลักการ เราไม่ได้ต้องการให้สร้างเรือนจำเพิ่มหรือขยายใหญ่ขึ้น แต่จะต้องทำอย่างไรให้ลดจำนวนนักโทษ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการอบรมอย่างมีคุณภาพเพื่อกลับคืนสู่สังคม ตนเชื่อว่าหากดูแลดี นักโทษจะกลับมาเป็นคนดีได้ โดยตนจะนำไปพิจารณาเข้าที่ประชุม ครม. ต่อไป
คดีม.112ส่งอัยการ12พ.ย.
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เปิดเผยหลังประชุมชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีหมิ่นสถาบัน เบื้องสูง ม.112 ว่า สำนวนคดี 13คดี ที่มี พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด,นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ตกเป็นผู้ต้องหา มีความคืบหน้าเกือบ100 % พนักงานสอบสวนเตรียมสรุปสำนวนพร้อมความเห็นส่งพนักงานอัยการในวันที่ 12พฤศจิกายนนี้ ตามที่เคยระบุว่าจะทำสำนวนให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่ สารวัตรเอี๊ยดและหมอหยอง เสียชีวิต ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำสำนวนคดีเพราะได้สอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว และขณะนี้ ยังไม่มีการออกหมายจับเพิ่มเติม
เร่งประสานตามตัวเสธ.โจ้
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีที่ พ.อ.คชาชาต ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นเบื้องสูงเพิ่มเติมนั้นเป็นคนละสำนวน และเพิ่งถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ส่วนจะมีผู้ใดถูกดำเนินคดีอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวว่าจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 4 คน ส่วนการติดตามจับกุม พ.อ.คชาชาต ที่มีข่าวว่าหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น อยู่ระหว่างการประสานงานตามขั้นตอนและชุดสืบสวนซึ่งมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.เป็นหัวหน้าชุด กำลังดำเนินการอยู่
ทภ.3ชงปลด”คชาชาต”แล้ว
รายงานจากกองทัพบกแจ้งถึงความคืบหน้าภายหลังที่ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณี พ.อ.คชาชาต ซึ่งขาดราชการตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่า ทางกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินการตามขั้นตอนโดยมีคณะกรรมการสอบสวนที่มี พล.ต.คู่ชีพ เลิศหงิม รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานฯ แต่ในขณะนี้ทางศาลทหารกรุงเทพได้ออกหมายจับ พ.อ.คชาชาต ในฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องรอให้ครบกำหนดการขาดราชการ 15 วันตามระเบียบราชการทหาร ทางคณะกรรมการฯจะเสนอเรื่องให้ปลด พ.อ.คชาชาต ออกจากราชการให้กองทัพภาคที่ 3 เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นจะดำเนินการเสนอถอดยศตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้การกระทำความผิดมาตรา 112 นั้น เกิดขึ้นก่อนที่ พ.อ.คชาชาตจะถูกปรับย้ายมาอยู่กองทัพภาคที่ 3
ปัดข่าวเพื่อนบ้านจับตัวเสธ.โจ้
รายงานข่าวจากกองทัพบกแจ้งต่อว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าทางประเทศเพื่อนบ้านได้ควบคุมตัว พ.อ.คชาชาต ได้แล้วนั้น ทางกองทัพยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากล่าสุดทางประเทศเพื่อนบ้านประสานมาว่ายังไม่พบตัว แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ประสานและตรวจสอบตามช่องทางอยู่ว่า พ.อ.คชาชาต ยังอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ เพื่อติดตามตัวกลับมาดำเนินคดีต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: