PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

กรณีศึกษา Public figure "ป้อม" นาฬิกายืมเพื่อน

กรณีศึกษา Public figure
"ป้อม" นาฬิกายืมเพื่อน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนระดับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือบิ๊กป้อมจะกล้าหาญถึงกับอธิบายเหตุผลที่มาของการครอบครองนาฬิกาหรูทั้ง 24 เรือน ที่เพจ ซีเอสไอแอลเอ ตรวจค้นพบว่า ล้วนเป็นนาฬิกาของเพื่อนทั้งสิ้น และได้คืนไปหมดแล้ว รวมทั้งปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนที่แสนดี ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมา

คล้ายจะบอกว่า เมื่อคืนนาฬิกาแล้ว ทุกเรื่องก็ควรจบ ป.ป.ช.ก็ไม่ต้องตรวจสอบอีก แต่คำถามคือ การอ้างเหตุผลเลื่อนลอยเช่นนั้น เพียงพอหรือไม่สำหรับ ป.ป.ช. และจะไม่มีการตรวจสอบต่อไปเลยหรือว่า บรรดาเพื่อนๆผู้ใจดีที่ให้นาฬิกาแพงๆ ให้เพื่อนใช้ มีตัวตนหรือไม่

มีหลักฐานการซื้อขายนาฬิกา ซึ่งปกติราคาระดับนี้ จะต้องมีเอกสารยืนยันการซื้อขายหรือไม่ บิ๊กป้อม ควรเข้าใจว่าชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบ เรื่องนี้เขาจะมองไม่ออกหรืออย่างไรว่า นาฬิกาที่แท้จริงเป็นของใคร

หากคำถามเรื่องอุทยานราชภักดิ์ จะมีส่วนในการที่พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ชื่อหล่นหายไปจากการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด

เรื่องราวของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวพัวพันกับบรรดาบุคคลที่อ้างชื่อเขาไปทำมาหากิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็สมควรได้รับการพิจารณาว่ายังมีความโปร่งใส ชัดเจน ซื่อตรง วางใจได้ที่จะยังคงอยู่ในตำแหน่งหรือไม่

นี่เป็นความน่าสงสัยว่า เหตุใดจึงมีแต่ชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปพัวพันกับเรื่องเช่นนั้น ในขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตอบคำถามไม่ได้เช่นกันว่า เหตุใดชื่อของเขา จึงถูกบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นคนใกล้ชิดเอาไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ไม่หยุดหย่อน

เมื่อพฤติกรรมแวดล้อมมองเห็นเป็นสีเทาๆ ประกอบกับกระแสข่าวนาฬิการิชาร์ด มิลล์ จนกระทั่งถึงนาฬิกาอีก 24 เรือน และแหวนเพชรเม็ดงาม ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นการปกปิดทรัพย์สิน อันเข้าข่ายต้องถูกศาลฏีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาความเหมือนเช่นนักการเมืองหลายคนก่อนหน้านี้ จึงเป็นประเด็นสาธารณะที่ต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียด ถี่ถ้วน

โดยเฉพาะเมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างเหตุผลเลื่อนลอยว่า นาฬิกายืมเพื่อนมา ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่บรรดานักสืบออนไลน์สืบค้น เสาะแสวงหาข้อเท็จจริงมา พบภาพนาฬิกาเรือนริชาร์ด มิลล์ เรือนนี้ผูกไว้กับข้อมือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มายาวนาน อาจนานย้อนไปจนถึงวันที่เขา ดำรงตำแห่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

น่าสนใจว่า บุคคลผู้นี้ มีอำนาจ มีบารมี มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทุกฝ่าย แม้จะเป็นนักการเมืองต่างขั้ว
อีกทั้งในบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน ก็คงไม่มีใครเป็นรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ นับจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อำนาจบารมี ที่ทำให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ อยู่ยงคงกระพัน ตัดไม่ได้ ขายไม่ขาด แม้การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้าย กระแสการปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจากตำแหน่งก็แรงไม่น้อยไปกว่าการปรับ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เพื่อนรักพล.อ.ประยุทธ์ เลย

นอกจากเรื่องน้องเนย ที่พูดโดยไม่ผ่านสมองแล้ว ย้อนไปเมื่อ 29 กันยายน 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เสนอคำถามต่อสังคม โดยเขา พร้อมคณะกว่า 38 คน ได้เดินทางไปเมืองฮอนโนลูลู มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชุม รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ หรือ ASEAN -US Defense Informal Meeting เพื่อพิจารณาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

และหารือด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางทะเลจีนใต้ พร้อมชมการสาธิตและภารกิจของกองกำลังสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสันติสุขในภูมิภาค โดยมีการเผยแพร่เอกสารการรับจ้างขนส่งคนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ (เช่าเหมาลำ) ของคณะดังกล่าวที่มีค่าใช้จ่ายถึง 20 ล้านบาท

ในฐานะ “บุคคลสาธารณะ” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นทั้งในหน้าที่การงาน ซึ่งพัวพันกับเรื่องส่วนตัว และความไม่โปร่งใสในกรณีนาฬิกายืมเพื่อน อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สมควรเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของบุคคลสาธารณะ

ซึ่งหากข้ออ้างทั้งสองเรื่องไม่มีน้ำหนักเชื่อถือได้ ก็นับว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รับราชการมาทั้งชีวิต ไม่มีกิจการค้าอันใดที่จะแสดงให้เห็นทรัพย์สินเงินทองในการซื้อของใช้ราคาแพงเพียงเพื่อประดับบารมี น่าจะมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ

และหากเขามีมาตรฐานทางจริยธรรมสูงพอ ทางเดียวที่จะทำให้ความเชื่อถือยังพอหลงเหลืออยู่ คือลาออกจากตำแหน่งเสีย ไม่ต้องอ้างเหตุผลให้ รอ ป.ป.ช.ตัดสินความ เพราะถึงเวลานั้น บิ๊กป้อมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผุยผงอยู่ที่ไหนแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: