PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

ผ่าไต๋การเมือง “ปะทุ” ปีคืนอำนาจประชาชน : กติกาขั้นเทพ วัดผลปฏิรูป

ผ่าไต๋การเมือง “ปะทุ” ปีคืนอำนาจประชาชน : กติกาขั้นเทพ วัดผลปฏิรูป


หนาว อุ่น ฝน เย็น สลับกัน

สภาพอากาศแปรปรวนทำหลายภูมิภาคในประเทศ ไทยต้องเผชิญครบ 3 ฤดูในสัปดาห์เดียว

ที่ต้องเป็นห่วงก็คือสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเด็กเล็ก และคนชรา ต้องดูแลตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะอากาศแบบนี้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายๆ

อาการแปรปรวนล้อกับการเมืองที่ปรวนแปร

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลังผู้นำทหารอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก
รัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แบไต๋ “ไปต่อ” บนเส้นทางอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

ส่งสัญญาณชัด ประกาศเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว

กระตุกแรงเสียดทานเจ้าถิ่น อาการต่อต้านจากนักเลือกตั้งอาชีพยกระดับขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งยี่ห้อประชาธิปัตย์ ทั้งคนเพื่อไทย นั่งกันไม่ติด

พร้อมๆกับปรากฏการณ์ที่สร้าง “อิมแพ็กต์” ทางการเมืองอย่างแรง ตามมาตรการอัดฉีดที่รัฐบาล “ลุงตู่” ได้ทุ่มงบ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คนมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จาก 300 บาท เพิ่มเป็น 500 บาท ส่วนที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มจาก 200 บาท เป็น 300 บาทต่อเดือน

แจกของขวัญ ซื้อใจคนจนฐานรากใหญ่ของประเทศ

เรียกว่าใส่เกียร์ห้าลุยกันตั้งแต่การประชุม ครม.นัดแรกของปี

รัฐบาลเน้นโจทย์เศรษฐกิจ กลบจุดอ่อนไหวปัญหาปากท้อง สอดคล้องต่อเนื่องกับการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ประกาศจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย

ล้อไปกับภาพรวมที่เป็นบวกทั้งตัวเลขจีดีพี สถิติการส่งออก ตลาดหุ้นที่ทิศทางสดใส

ถึงจุดมั่นอกมั่นใจ นายสมคิดประกาศเลยว่า ขอเวลา 1 ปีที่เหลือของโรดแม็ป จะเสริมฐานทางเศรษฐกิจให้แกร่งเพื่อประเทศเดินหน้าในระยะยาว

และนั่นก็จะช่วยให้งานเบาลงเยอะ สำหรับ “นายกฯลุงตู่” ในการเบิ้ลอำนาจรอบต่อไป

ทุกอย่างกำลังเดินไปตามโปรแกรมเป้าหมาย

ที่แน่ๆว่ากันตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่นายสมคิดเดินหน้าโชว์เนื้องานทางเศรษฐกิจ อัดฉีดมาตรการช่วยคนจน ซื้อใจชาวบ้านฐานราก ล้อไปกับเงื่อนเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศสัญญาประชาคมไว้ พร้อมแสดงตนเป็นนักการเมืองเต็มตัว

เดินหมาก “มัดจำ” คะแนนนิยมล่วงหน้า

มันยิ่งเป็นอะไรที่เร้าโหมดเลือกตั้ง ย้ำปีของการคืนอำนาจประชาชน

ที่จะประเดิมเริ่มต้นก่อนเลยก็คือ การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

รอกฎหมายเกี่ยวกับท้องถิ่นเข้า ครม.ส่งต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

คาดว่าจะดีเดย์สนามเล็กกันได้กลางปี

งานนี้ถือเป็นจังหวะหยั่งกระแส นำร่องก่อนสนามใหญ่เลือกตั้ง ส.ส.

อย่างไรก็ตาม โดยฉากสถานการณ์ที่ล้อไปกับบรรยากาศเร้าปีแห่งการคืนอำนาจประชาชน มันก็เริ่มเห็นคนหน้าเดิมๆ ที่หายไปนานหลังทหารยึดอำนาจ

บรรดานักการเมืองพันธุ์เก่าเริ่มโผล่กลับมา

โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของภาพฮือฮาที่พี่น้องตระกูล “สะสมทรัพย์” บ้านใหญ่จังหวัดนครปฐม ถ่ายรูปกับ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างออกรอบตีกอล์ฟด้วยกัน

ต่อเนื่องกับการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุโขทัย

ก็มีการเปิดโอกาสให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีรุ่นใหญ่ ได้นำคณะเข้าพบปะสนทนาพาทีกับ “นายกฯลุงตู่”

รวมถึงช็อตแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มประเดิมสนทนาปราศรัยกับนักการเมืองอาชีพ โดยการเปิดพื้นที่ให้ “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา ทายาททางการเมืองของอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ล่วงลับ ได้นำลูกทีมเข้าร่วมพิธีต้อนรับนายกฯในการลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี

“ลุงตู่” เกลือกกลั้วกับนักการเมือง พร้อมประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัว

เป็นการพลิกท่าทีแบบ 180 องศา จากที่ตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์ ด่านักการเมืองมาตลอด

นั่นก็หนีไม่พ้นโดนตอด โดนโห่ฮา

หัวหน้า คสช. “หงายไพ่” กลับไปเล่นเกมเดิมๆกับนักการเมืองพันธุ์เก่า

ตามจังหวะที่เร้าไปกับกระแสดูด ส.ส. การก่อกำเนิดพรรคทหาร

ตามเหลี่ยมสถานการณ์ที่เข้าทางทีมงาน ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย รีบยกขบวนเข้าอวยพรปีใหม่ผู้อาวุโสลายครามอย่าง “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น รวมถึง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค

พร้อมประกาศสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ยอมให้ใครลากออกจากอก “นายใหญ่”

ตีปี๊บประจาน ดักทางเกมดูดของพรรคทหารเป็นนัยๆ

โดยหัวขบวนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รุ่นเก๋าลายครามระดับ “หัวเขียง” นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เจ้าของผลงาน “นิรโทษกรรมสุดซอย”

ผู้ก่อหัวเชื้อชนวนให้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” โดนถอนยวงนั่นเอง

ขบวนการภักดี “นายใหญ่” ก็ทีมเดิม ไม่ได้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตา

หรือในมุมของพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็วนเวียนอยู่กับเจ้าตำนานยี่ห้อ “ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ที่ต้องแบกสังขารเข้ามากอบกู้สถานการณ์ “หักเหลี่ยม” ระหว่างทีมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับก๊วนของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวขบวนกลุ่ม กปปส.

ส่อพรรคแตกซ้ำรอย “กลุ่ม 10 มกรา”

ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ต้องขายของเก่ากินเหมือนกัน

หน้าเก่า พันธุ์เดิม เพิ่มเติมคือทหาร คสช.

ตามรูปการณ์ที่ส่อเค้าฟาวล์ เหมือนเสียเวลาเปล่า กับ 3 ปีกว่าย่างเข้าปีที่ 4 ที่ประเทศไทยต้องปิดซ่อมแซม

เว้นวรรคประชาธิปไตย เปิดทางอำนาจพิเศษนำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่

มันยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หนีวังวนเก่าๆไม่พ้นอยู่ดี

ที่สำคัญมันสวนทางกับธงที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจยืนยัน ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

เพราะถึงตรงนี้ก็ยังไม่มีหลักประกันว่า ถ้ามีการเลือกตั้งทุกอย่างจะกลับสู่สถานการณ์ปกติ ในเมื่อคนหน้าเดิมๆ

เงื่อนไขความขัดแย้งเก่าๆก็ยังแฝงอยู่ไม่ได้หายไปไหน

ในเมื่อ “ขุนอาสา” มากอบกู้วิกฤติ จำเป็นต้องอาศัยนักการเมืองที่เป็นต้นตอของวิกฤติมาช่วยอุ้ม

เพื่อกรุยทางกลับมาคุมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน

สถานการณ์มันลักลั่น ผลประโยชน์ขัดกันโดยสิ้นเชิง

และแน่นอน มันก็คงไม่มีความหมายอะไร กับ “รัฐธรรมนูญขั้นเทพ” ของซือแป๋ “มีชัย ฤชุพันธุ์” กติกาหรูๆ

สูตรพิสดารที่ถูกออกแบบมาให้การเลือกตั้งของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ

สกัดเชื้อชั่วพันธุ์เก่าให้หมดไป

เปิดทางนักการเมืองพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารบ้านเมือง

ตามเป้าหมายปฏิรูป สู่การเมืองในฝัน

แต่โดยสภาพการณ์แบบที่เห็นๆกัน มันยังหนีไม่พ้นวังวนเก่าๆ

น้ำเน่ายังค้างคาท่ออยู่อีกมาก

เรื่องของเรื่อง มันก็อยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ด้วย เพราะถ้ายังยึดติดกับตัวบุคคล มองสิ่งตอบแทนจากนักการเมืองเป็นที่ตั้ง ยังยึดติดกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่สนการปฏิรูปในระยะทางยาวๆ

มันก็เท่ากับล็อกให้การเข้าสู่อำนาจการเมือง ต้องเดินบนเส้นทางเก่าๆต่อไปไม่จบสิ้น

ถึงรัฏฐาธิปัตย์ ผู้นำทหารจะยิ่งใหญ่ มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็สั่งผลเลือกตั้งไม่ได้

ในเมื่ออำนาจตัดสินสุดท้ายมันอยู่ที่ประชาชน.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: