4 ปี อำนาจพิเศษ “ควบแน่น” สถานการณ์มั่นคง : เคาต์ดาวน์ปีใหม่ ท้าทายจุดแข็งคสช.

สัปดาห์สุดท้าย นับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
อารมณ์ร่วมของคนทั่วทุกมุมโลกต่างมุ่งไปที่การเฉลิมฉลอง บรรยากาศอยู่ในโหมดที่ประชาชนชาวไทยเตรียมโปรแกรมท่องเที่ยว เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว
จดจ่อกับห้วงวันหยุดยาว แทบไม่มีสมาธิสนใจเรื่องอื่นกันแล้ว
ตามแนวโน้มที่รัฐบาลก็เดินหน้าแจกของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน มติ ครม.สัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการพัฒนาสังคมฯได้เสนอมาตรการให้เงินเด็กแรกเกิด 1,000 บาท จังหวัด ละ 65 คน รวม 77 จังหวัด รวม 5,005 คน และช่วยผู้มีรายได้น้อยซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน 2561 หลัง กระทรวงมหาดไทยสั่งลดดอกเบี้ยโรงรับจำนำในสังกัด
ขณะที่บรรดารัฐมนตรี ถือโอกาสมอบของขวัญปีใหม่ซึ่งกันและกัน

สิ่งที่รัฐบาลคาดหวัง และเชื่อว่าเป็นความคาดหวังของประชาชนทั้งประเทศเช่นกัน ในส่วนของคนรวยก็ต้องทำดีเพื่อสังคมให้มากขึ้น เสียสละให้มากขึ้น การประกอบการธุรกิจก็ขอให้คำนึงผู้มีรายได้น้อยด้วย ควรจะมีส่วนแบ่งในรายได้จำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการลงทุนโดยเสรีจะไปบังคับกันไม่ได้
แฝงนัยของปม “รวยกระจุก จนกระจาย”
โจทย์ยากเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องแก้ให้ตกในปีหน้า
ในโอกาสนี้ ทีมของเราจึงขอใช้เวทีวิเคราะห์การเมืองหน้า 3 ประจำวันอาทิตย์ฉบับสุดท้ายของปี 2560 อวยพรปีใหม่ให้ผู้อ่านและประชาชนคนไทยทุกคน
มีความสุขสมหวัง สุขภาพแข็งแรง แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง
และขอแสดงความห่วงใยจากใจจริงกับผู้ใช้รถใช้ถนนในการสัญจรช่วงเทศกาลนี้ ขอโปรดได้ระมัดระวังตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพื่อจะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
ไม่ให้เกิดความสูญเสียในเทศกาลแห่งความสุข
โดยเฉพาะกับการที่รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน ได้ผ่อนผันให้ประชาชนสามารถนั่งท้ายรถกระบะกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยห้ามนั่งขอบกระบะ และต้องไม่ดื่มสุรา
เจ้าหน้าที่ลดความเข้มงวด เปิดทางอำนวยความสะดวกให้เต็มที่
นั่นก็ยิ่งเป็นอะไรที่ประชาชนคนไทยเองจะยิ่งต้องเพิ่มความระมัด ระวังไปอีกขั้น ในการดูแลสวัสดิภาพของตัวเอง ครอบครัวและคนใกล้ชิดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปล่อย แค่ไหน ก็สุดเหวี่ยงกันเท่านั้น
พึงระลึกไว้ว่า ถ้าพลาด มันจะไม่มีโอกาส แก้ตัว อาจเป็นปีสุดท้ายที่ได้ฉลองปีใหม่
และก็ซาลงไปโดยอัตโนมัติ ในบรรยากาศทางการเมืองที่ลดโทนความร้อนแรง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นตัวหลักๆโดยเฉพาะในส่วนของรัฐบาลได้พักหายใจหายคอ
หลังโดน “ล่อเป้า” หนักจนชักออกอาการยุบเหมือนกัน
ตามเงื่อนสถานการณ์ที่นักการเมืองอาชีพขยับกลับมาแผลงฤทธิ์เดช โชว์ลูกเขี้ยว ทั้งขู่ ทั้งตื๊อ
กดดันให้ปลดล็อกการเมืองวันละ 3 เวลาหลังอาหาร
ที่สุดเลยก็ทนรำคาญไม่ไหว ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการขยายเวลาที่บังคับไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ให้พรรคการเมืองต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีสมาชิกภายใน 90 วันออกไป
เจาะช่องระบาย ผ่อนคลายแรงกดดัน
เพราะไม่ใช่แค่นักการเมืองที่เขย่าให้ปลดล็อกรายวัน แต่มันยังมีพวกร้อนวิชา เครือข่ายฝ่ายเดียวกันเองที่ออกมาจุดพลุเสนอสารพัดสูตรว่าด้วยการจัดระเบียบป้อมค่ายการเมือง ทั้งเรื่องของการรีเซ็ต เซ็ตซีโร่พรรค การเมือง รายการชงเรื่องส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ฯลฯ
เริ่มฟุ้งกระจัดกระจาย ปล่อยของกันมั่วไปหมด
“บิ๊กตู่” เลยต้องงัดกระบองยักษ์มาตรา 44 สยบแรงกระเพื่อม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังแปลความว่า “ปลดล็อก” การเมืองไม่ได้ ตามเงื่อนไขก็แค่แง้มๆประตูให้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอัพเดตสมาชิกเท่านั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นไฟเขียวให้ทำกิจกรรมได้อย่างเสรีแต่อย่างใด
หัวหน้า คสช.ยังกั๊กเหลี่ยม เล่นเอาล่อเอาเถิดกับนักการเมือง
เรื่องเกมการเมืองทหารไม่ถนัด ไม่เล่นเกมเสี่ยง แต่ก็ไม่ยอมหงายไพ่หมดเหมือนกัน
เพราะยังไงก็ถือดาบมาตรา 44 ไว้ในมือ คับขันจวนตัวงัดออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
เรื่องของเรื่อง ในห้วงสถานการณ์รอบปี 2560 ก่อนเข้าสู่ช่วงปี 4 ท้ายเทอม ตามสภาพการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาล คสช.เริ่มตกอยู่ในสภาวะ “เปราะบาง” ต่อแรงกระแทก
“เศรษฐกิจ” ก็สะดุ้งตามลมปากนักการเมืองที่ตีปี๊บปลุกอารมณ์ชาวบ้าน ย้ำปมปัญหาปากท้อง
“การเมือง” ก็ต้องผวากับเกมเขี้ยวนักเลือกตั้งอาชีพปลุกกระแสทหารสืบทอดอำนาจ
จุดแข็งที่เหลืออยู่ของรัฐบาลท็อปบูตก็แค่ “ความมั่นคง”
และแน่นอน มันคงจะต้องถูกยกเป็นเงื่อนไขหลักในการพิสูจน์ศักยภาพ ในห้วงสถานการณ์ไฮไลต์ เทศกาลแห่งความสุขของประชาชนชาวไทย
“เคาต์ดาวน์” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

เตรียมการกันตั้งแต่เนิ่นๆ ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเลย
นั่นก็น่าจะประเมินสถานการณ์แล้ว ช่วงเทศกาลแห่งความสุข คือห้วงเวลาที่ล่อแหลม ท้าทาย
พวกจ้องก่อเหตุมักจะเลือกปฏิบัติการชั่ว
ในห้วงที่ผู้คนกำลังมีความสุข เป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอาจเผลอหรือลดระดับการเฝ้าจับตา
อย่างที่เห็นเป็นปรากฏการณ์มาหลายครั้ง ในอดีตก็มีเหตุร้ายที่เกิดช่วงเทศกาลสำคัญ
ยิ่งในสถานการณ์ทั่วทุกมุมโลกกำลังเผชิญภัยก่อการร้าย ประเทศไทยยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกหลายเท่า เพราะเรามีหัวเชื้อทั้งภายในและภายนอก
โอกาสความน่าจะเป็นมันย่อมสูงตามสภาพการณ์
อะไรก็ไม่เท่ากับเงื่อนไขสถานการณ์รัฐบาลทหาร คสช.คุมเกมบริหารอำนาจผ่านมา 3 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ย่อมหนีไม่พ้นการบ่มเพาะศัตรู คู่แค้น
สร้างความเกลียดชังให้พวกที่สูญเสียผลประโยชน์
โจทก์จ้อง “เอาคืน” รอดิสเครดิตเพียบ
และถึงตรงนี้ก็ไม่แยกฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายเดียวกันเองที่จ้องเตะตัดขาเจาะยาง
เพราะมันนัวเนียมั่วไปหมด
สรุปเลยว่า มันคือบททดสอบสถานการณ์ควบแน่นความมั่นคงของ “3 พี่น้อง” ค่ายบูรพาพยัคฆ์ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

ท่ามกลางความเปราะบางทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ที่โดนแรงกระแทกแล้วสะดุ้ง
ขืนปล่อยตูมตามช่วงปีใหม่ “ตบหน้า” คสช. ทำลายจุดแข็งความมั่นคง
สถานการณ์หลังปีใหม่คงดูไม่จืด.
“ทีมการเมือง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น