ถึงตรงนี้จะสกัดอยู่หรือ

ตามปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แสดงการขอโทษต่อกรณีที่พูดจากระโชกโฮกฮากใส่ตัวแทนชาวประมงที่ร้องเรียนระหว่างการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี
ก่อนหน้านี้ก็เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ออกมาขอโทษในสิ่งที่พูดกระทบจิตใจครอบครัวนักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต
2 ช็อตติดๆที่เห็นถึงอาการ “สะดุ้งกระแส” ของผู้กุมอำนาจสูงสุดใน คสช.
ผลจากการจุดไฟ ก่อหัวเชื้อชนวนต่อต้านรัฐบาลโดยไม่จำเป็น
ที่แน่ๆคำขอโทษ เสียใจ แสดงให้เห็นว่า ผู้นำทหารมี “เกียร์ถอย” ยังไงก็ไม่เสี่ยงเดินหน้าตกเหว
และความ “ยืดหยุ่น” นี่แหละคือคุณสมบัติดีสุดของผู้นำทางการเมือง โดยสถานการณ์ต่อเนื่องกับการที่ “นายกฯลุงตู่” ได้พูดออกตัวกรณีการปรับ ครม. ตั้งนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เข้ามาเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
ไม่เกี่ยวกับ “บิ๊กดีล” ทางการเมือง
ตามท้องเรื่องที่มีการเชื่อมโยงสถานการณ์จากการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีการเปิดให้แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย “ลูกท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายของ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ ได้เข้าร่วมต้อนรับคณะผู้นำรัฐบาล คสช.
เป็นช็อตแรกๆของการโอภาปราศรัยระหว่าง “นายกฯลุงตู่” กับนักการเมืองอาชีพ
ภาพมันสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกัน กรณีของนายวีระศักดิ์ที่เป็นคนของพรรคการเมืองเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีร่วมวง ครม.อำนาจพิเศษ ยากจะหาเหตุผลอื่นอธิบายให้คนเข้าใจได้
นอกจากออปชั่นที่ตกลงกันในทางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง
เรื่องของเรื่อง มันจะแค่ลีลาตีกรรเชียงของ “นายกฯลุงตู่” หรือเจ้าตัวอาจไม่รู้จริงๆ เพราะมีหน้าที่แค่รับบท “ผู้นำ” ช่วงเปลี่ยนผ่าน ตามหมากเกมอำนาจที่ล็อกโปรแกรมไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนคนที่รับบทในการดีลเบื้องหลัง เป็น “ความลับทางทหาร” ที่รู้กันทั่วทั้งวงการ
ขุนทหารคนดังทั้งบิ๊ก “ด” และบิ๊ก “จ” ที่เริ่มต่อสายเจรจาพาทีกับบิ๊กเนมการเมืองป้อมค่ายต่างๆขอร้องกันแบบเข้มๆเป็นทำนองให้ “เว้นวรรค” สนามแข่งขันทางการเมืองปกติไว้สักสมัย
มาช่วยกันทำให้การเปลี่ยนผ่านประเทศสำเร็จเสร็จสิ้นก่อน
เพราะตอนนี้ยังลูกผีลูกคน ขืนยังเป็นรูปแบบเก่าภายใต้พวกหน้าเดิมๆ ความขัดแย้งยังแฝงอยู่ทุกจุด ปล่อยไฟเขียวเลือกตั้งไปก็เสี่ยงกลับมาวุ่นวายเหมือนเดิม
โอกาส “เสียของ” ทหารอาจต้องปฏิวัติซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทางออกมีแค่ช่องเดียว ต้องแชร์กันระหว่างนักการเมืองกับทหาร ตามฟอร์มหนีไม่พ้นสูตรประชาธิปไตยครึ่งใบ นักเลือกตั้งในสภาช่วยกันเปิดทาง “นายกฯคนนอก”
แบบที่ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยก็อ่านออก มวยเก๋าอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง กับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ถึงได้จุดพลุยุชาวบ้านให้ช่วยกันสกัดเส้นทาง “ลุงตู่” เซ็ตซีโร่ คสช.
แต่นั่นก็แค่การเพ้อฝันในเชิงทฤษฎีที่โคตรยากในเชิงปฏิบัติ
ที่แน่ๆสถานการณ์จริงยามนี้ มีชื่อพรรคชื่อใหม่ๆอย่างพรรครวมพลังชาติไทยที่เคลื่อนไหวเจาะฐานในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง พร้อมๆกับการที่หน่วยความมั่นคงทำโพลสำรวจถี่ยิบ
โดยเฉพาะชื่อที่สะดุดหู พรรค “กิจประชารัฐ”
นั่นก็เพราะเป็นยี่ห้อที่รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” และทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชูธงนโยบายมาตลอด 2 ปี
เป็นยี่ห้อที่ออกมาตีตลาดประชานิยมของระบอบ “ทักษิณ”
ตีกินแต้มมาอย่างต่อเนื่อง กับสารพัดมาตรการที่อัดฉีดน้ำเลี้ยง ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะบัตรประชารัฐสวัสดิการที่เข้ายึดฐานคนจนกว่า 14 ล้านทั่วประเทศ
ยังมีพรรคตัวประกอบที่ประกาศเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ อย่างพรรคประชาชนปฏิรูป ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประกาศชูธงชัดเจนสนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ยาวช่วงเปลี่ยนผ่าน
หรือพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย ภายใต้การนำของ “อธิบดีเอี้ยง” นายดำรงค์ พิเดช อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ยังไม่ประกาศหนุนใคร แต่ชัดเจนกับนโยบายตามชื่อพรรค
คึกคัก รองรับสูตรรัฐบาลผสม รวมแต้มหนุน “ลุงตู่”.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น