PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทรัพย์สิน




ธ นะศักดิ์ปฏิมาประกรเป็นรัฐมนตรีทหารที่รวยที่สุด 186 ล้านเป็นของเมีย (ตระกูลบุนนาค) 41 ล้าน
ในส่วนของ ธ​​ นะศักดิ์เป็นเงินฝาก 51 ล้านเงินลงทุน 5 ล้านบ้านและที่ดิน 84 ล้าน
ดูทีแรกจะร้องโหทำไมรวยปานนั้นในส่วนเงินฝากผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าดูที่ดิน ที่ดิน 13 แปลงซื้อไล่มาตั้งแต่ปี 2523,2526,2529,2532,2533 เช่นที่ดินเกือบไร่ราคา 21.9 ล้านที่ปากเกร็ดซื้อตั้งแต่ปี 26 อีกแปลง 9 ล้านซื้อปี 29 อีกแปลง 11.5 ล้านซื้อปี 32 อีกแปลง 10.5 ล้านซื้อปี 33 บ้าน 9.5 ล้าน (น่าจะในเมืองทอง) ซื้อตั้งแต่ปี 33
เล่นที่ดินมาตั้งแต่อายุยังไม่ 30 เลยอยู่ผิดตำแหน่งซะแล้ว เก็งกำไรเก่งขนาดนี้น่าจะอยู่พาณิชย์

ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณทรัพย์สิน 93.9 ล้านยังไม่รวมพระเครื่อง 2 องค์ที่บอกว่าประเมินราคาไม่ได้ (ได้มาเมื่อ ธ ค. 56) และไม่รวมที่ดิน 8 แปลงที่เป็นผู้จัดการมรดกในนี้เป็นทรัพย์สินเมีย (ตระกูลดิษ บรรจงพ่อเป็นพลตรี) ราว 28 ล้าน
แต่ 1.1 ล้าน 2.6 ล้าน (พวกทวงคืนพลังงานไม่ยักกรี๊ด) ที่น่าสนใจกว่าคือรายได้นอกจากเงินเดือนทหารมีค่าตอบแทนเ​​บี้ยประชุมค่าตอบแทนเ​​บี้ยประชุมบอร์ดบางจาก
และรายได้จากขายพืชผลการเกษตร 19.7 ล้านโอ้โห !!! การ ไม่รู้ว่าขายอะไรหรือว่ามาจากที่ดินที่โคกสำโรง (มรดก) แต่ที่ดินก็ราว ๆ 30 ไร่เท่านั้น
ส่วนเงินฝากมี 31 ล้านเงินลงทุน 7.6 ล้านเงินลงทุนได้มาหลังรัฐประหาร 6 ล้าน แต่ถ้าบอกว่าขายพืชผลได้ตั้งเกือบ 20 จะได้เอามาทำนโยบายช่วยเกษตรกร

ในบรรดาขุนทหารทั้งหลายพล. ร. อ. ณรงค์พิพัฒนาศัยรมว. ศึกษาจนสุดมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6.9 ล้านพ่อเป็นนาวาตรี แต่มีพี่น้องอีก 7 คนน้อง 4 คนยังอยู่บ้านเดียวกันอยู่เลยเงินฝากเงิน ลงทุน 3 ล้านกว่าบาทบ้านที่ดิน 5 ล้านกว่าหนี้ 2 ล้านมีรถคันเดียว
ถือว่าปกติจริงๆสำหรับอาชีพรับราชการ ปกติจนทำให้ทหารคนอื่นตอบยากว่าแล้วมีเงินฝากหลายสิบล้านได้ไง
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310942240.pdf
พลโทสุรเชษฐ์ชัยวงศ์รมช. ศึกษามีมากขึ้นหน่อยทรัพย์มากกว่าหนี้ 16.8 ล้านมีเงินฝากแค่ 5 แสนเงินลงทุน 2 ล้าน (หุ้นอาร์มีฟุตบอลซ​​ะอีก) ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดินบ้านคอนโดในชื่อเมีย (บ้านเมีย) สมัยไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพน้อยนี่เอง
อันนี้ก็ถือว่าปกติพอประมาณรับราชการสองเมียมีลูก 3 มีโอกาสสะสมทรัพย์สินตอนอายุนะครับคนผัวคนเพิ่ง 50 กว่า
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310944080.pdf
พล. อ. อ. ประจินจั่นตองอดีต ผบ.ทอ. มี 2​​5.5 ล้านนอกจากเงินเดือน 5 แสนมีเงินฝากราว 6 ล้านดูสูงนิด ๆ แต่บ้านที่ดินประกันชีวิตเงินลงทุนรวม ๆ 10 กว่าล้านทยอยได้มานานหลายปี (มีที่ดินหัวทะเลโคราชด้วยนะราคา 8 แสนฝากถามหน่อยจะขายไหมขอซื้อผ่อน 8 พัน)
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310908210.pdf
พล. อ. สุรศักดิ์กาญจนรัตน์รมว. แรงงานมีทรัพย์มากกว่าหนี้ 26.1 ล้านเงินฝากเงินลงทุนผัวเมียมากอย่ 16 ล้านส่วนหนึ่งก็เป็นเงินสะสมเช่นสลากออมสิน RMF LTF บ้านที่ดินมีพอประมาณซื้อบ้านตั้งแต่ปี 39 โน้น
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310939030.pdf
พล. อ. อนุพงษ์เผ่าจินดาก็โอเคนะ 37.8 ล้านเงินฝาก 9.3 ล้าน (แต่ไม่รู้จักซื้อพันธบัตรเพื่อการเลี้ยงชีพกองทุน LTF กับเขาเลย) ที่ว่าโอเคคือบ้านที่ดิน 12.7 ล้านซื้อตั้งแต่ปี 31 และซื้อเพิ่มปี 48 ( ต่อเติมมั้ง) เพียงแต่รถเบนซ์เพิ่งซื้อเมื่อเดือนสิงหานี่เอง
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310933290.pdf
พล. อ. ประวิตรวงษ์สุวรรณนี่สิ 87.3 ล้านรายได้ปีละ 8.7 แสน แต่มีเงินฝากเงินลงทุน 60 ล้านสำนักข่าวอิศราบอกว่าเมื่อปี 55 แจ้งเงินฝากเงินลงทุน 52 ล้าน
งง ๆ หรือถือว่าไม่มีลูกเมีย
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310853170.pdf
http://www.isranews.org/investigative/investigate-asset/item/34043-burapapayak_888.html

ทรัพย์สินปนัดดา 1,300 กว่าล้านไม่ผิดปกติหรอก แต่จะชี้ให้ดูว่าแค่ที่ดิน 5 แปลงของเหลนกรมพระยาดำรงที่นางเลิ้งดุสิตบางซื่อก็ฟาดเข้าไป 1,100 ล้านแล้ว
ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เอาจริงนะ
http://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310859220.pdf

พ่อขายที่ดินได้เงิน 540 (ที่ดินพ่อซื้อมาเกิน 10 ปีตั้งแต่สมัยลูกชายยังไม่เป็นใหญ่ไม่มีข้อกังขาเพ่งดูจากภาพถ่ายของอิศราน่าจะหลายสิบไร่)
ประยุทธ์โอนคืนให้พ่อและน้อง 268 ล้านโดยบอกว่าเมื่อปี 56 140 ล้าน (นับรวมกัน 2 ครั้ง = 408 ล้านบาท)
ประยุทธ์มีน้อง 3 คนที่ปรีชาบอกว่าได้มรดก 80 ล้านจึงสอดคล้องกัน (แต่ปรีชาดันไปทำบัญชีมั่ว ๆ ) ที่จริงปรีชาน่าจะได้เกิน 80 ล้านด้วยซ้ำ (ถ้าเอา 4 หาร 540 ล้าน = 135 ล้าน) ฉะนั้น
ทีนี้มาคำนวณต่อ 408 ล้านบาทเท่ากับประยุทธ์เหลือให้เอง 132 ล้านบาท (ราว 1 ใน 4 ของ 540 ล้านก็สมควร) ตัว
แต่ประยุทธ์บอกว่าโอนเงินให้ลูก 198 ล้านบาทและยังเหลือทรัพย์สินตัวเอง 128 ล้านบาท
อ้าวโจทย์เลขไม่ลงตัวแฮะ 200 ล้านบาทไม่ได้กล่าวหานะ หรือไม่ก็บวกเลขผิดหรือสับสนตัวเลข

กมธ.ยกร่างประชุมสัปดาห์หน้า ไม่มีทำประชามติรธน.

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะประชุมนัดแรกสัปดาห์หน้า ไม่ทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยเหตุผลไม่มีกฎหมายรองรับ


พลเอกเลิศรัตน์รัตนวานิชกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนของสภาปฏิรูปแห่งชาติหรือสปช เปิดเผยว่า หลังลงนามแต่งตั้งครบทั้งคณะในวันที่ 4 พฤศจิกายนในระยะแรกของการทำงานนั้นคณะกรรมาธิการฯจะลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในแต่ละภาค

และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่เปิดให้มีการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยให้เหตุผลว่าสปช มีหน้าที่รับชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว 2557

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ สปช รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสนช คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี

อัยการฟ้องแล้ว "คุณหญิงจารุวรรณ" - ลูกน้อง ผิด ม. 157-83 จัดสัมมนาต่างจังหวัดไม่ชอบ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า วันนี้ อัยการ ได้ยื่นฟ้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญาแล้ว ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 สืบเนื่องจากกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กับพวกอีก 1 คนว่า ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้จัดสัมมนาที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2546 ไม่ชอบ โดยไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่เพื่อให้บุคคลที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนาไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สามารถเบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ ทั้งนี้เมื่อยื่นฟ้องคดีในวันนี้แล้ว คุณหญิงจารุวรรณ กับพวก ก็ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลก็ได้อนุญาตให้ประกันตัวไปแล้ว โดยศาลจะได้กำหนดนัดพิจารณาต่อไป 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าว ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณ และนาย คัมภีร์ สมใจ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล ตำแหน่งขณะเกิดเหตุเมื่อปี 2546 ว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการจัดสัมมนาที่ จ.น่าน ซึ่งอัยการสูงสุดได้ให้ตั้งคณะทำงานร่วม อัยการ และ ป.ป.ช. รวบรวมพยานหลักฐานพร้อมสรุปความเห็นเสนอ โดยคณะทำงานร่วม เสนอความเห็นต่อนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งอัยการสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งให้ฟ้องคดีอาญา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายคัมภีร์ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 ตามข้อยุติของคณะทำงานร่วม โดยคดีนี้คณะทำงานร่วมอัยการและ ป.ป.ช.ได้ใช้เวลา 1 ปี รวบรวมพยานหลักฐานจนครบถ้วนแล้วจึงส่งให้อัยการสูงสุด เมื่อเดือน ส.ค. 2557 หลังจากมีการแจ้งข้อไม่สมบูรณ์วันที่ 29 ส.ค. 2556 ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่อัยการสูงสุด มีคำสั่งให้ฟ้องแล้ว ก็ได้มอบหมายให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนยื่นฟ้องคดี

ว่าด้วยเงินมรดก พล.อ.ประยุทธ์


ทรัพย์สินประยุทธ์เคลียร์ในส่วนของเงินมรดกพ่อขายที่ดินได้เงิน 540 (ที่ดินพ่อซื้อมาเกิน 10 ปีตั้งแต่สมัยลูกชายยังไม่เป็นใหญ่ไม่มีข้อกังขาเพ่งดูจากภาพถ่ายของอิศราน่าจะหลายสิบไร่)
ประยุทธ์โอนคืนให้พ่อและน้อง 268 ล้านโดยบอกว่าเมื่อปี 56 140 ล้าน (นับรวมกัน 2 ครั้ง = 408 ล้านบาท)
ประยุทธ์มีน้อง 3 คนที่ปรีชาบอกว่าได้มรดก 80 ล้านจึงสอดคล้องกัน (แต่ปรีชาดันไปทำบัญชีมั่ว ๆ ) ที่จริงน่าจะปรีชาได้ฉะนั้นเกิน 80 ล้านด้วยซ้ำ (ถ้าเอา 4 หาร 540 ล้าน = 135 ล้าน)
ทีนี้มาคำนวณต่อ 408 ล้านบาทเท่ากับประยุทธ์เหลือให้เอง 132 ล้านบาท (ราว 1 ใน 4 ของ 540 ล้านก็สมควร) ตัว
แต่ประยุทธ์บอกว่าโอนเงินให้ลูก 198 ล้านบาทและยังเหลือทรัพย์สินตัวเอง 128 ล้านบาท
อ้าวโจทย์เลขไม่ลงตัวแฮะ 200 ล้านบาทไม่ได้กล่าวหานะ หรือไม่ก็บวกเลขผิดหรือสับสนตัวเลข



นายกฯ แจงสั้น บัญชีปปช.มีหนี้จากซื้อกองทุน ลั่น ปมไม่กลัวข้อสงสัย ชี้แจงได้


นายกฯ แจงสั้นบัญชีปปช. มีหนี้จากซื้อกองทุนลั่นปมไม่กลัวข้อสงสัยชี้แจงได้
พล. อ. ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอบคำถามนักข่าวสั้น ๆ นายกฯ กล่าวว่าไม่รู้จำไม่ได้น่าจะเป็นการซื้อกองทุน แต่ไม่ได้เป็นการไปลงทุนอะไรเพราะไม่ใช่นักธุรกิจ
"อย่าถามเรื่องนี้เลย แต่ผมก็ไม่ได้กลัวอะไรอยู่แล้วและผมก็คงต้องไปตอบกับฝ่ายกฎหมายยืนยันผมทำให้ดีที่สุดไม่ได้มีเจตนาอะไรทั้งสิ้นก็ขอให้ลดปัญหาอะไรลงไปบ้าง"

เปิดหนังสือ“ประยุทธ์”รับเงินขายที่ดินมรดกพ่อ 9 โฉนด 540 ล้าน

เปิดหนังสือ“ประยุทธ์”รับเงินขายที่ดินมรดกพ่อ 9 โฉนด 540 ล้าน

เขียนวันที่
วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2557 เวลา 10:15 น
เขียนโดย
เพิ่มขนาดตัวอักษร
"พล. อ. ประยุทธ์" ได้รับเงินขายที่ดินโฉนด 9 "บิดา" 540 ล้านเข้าบัญชีธนาคารแบ่งให้พ่อและน้อง 267 ล้านมอบให้ลูก 198 ล้านได้รับเงินจากน้องสร้างบ้านให้พ่อ 6 ล้านรวยเบ็ดเสร็จ 128 ล้าน
Pic-ประยุทธ 31-10-57-1
พล. อ. ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 9 โฉนดในช่วงปี 2556 จำนวนทั้งสิ้น 540 ล้านบาท 267,999,594 บาทมอบเงินให้ลูก 198,500,000 บาทอุปการะเลี้ยงดูบิดา (ปลูกบ้าน) 5.4 ล้านบาทมีทรัพย์สินทั้งสิ้นกว่า 128 ล้านบาท
  พล. อ. ประยุทธ์ (ป.ป.ช. ) กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 แจ้งว่า
พ. อ. ประพัฒน์จันทร์โอชาอายุ 89 ปีได้มอบเงินจำนวน 540 ล้านบาทกับพล. อ. ประยุทธ์จันทร์โอชาเนื่องจากเป็นบุตรชาย มีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการดูแลเงินจำนวนนี้ ให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องของผู้รับ
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -4
ขณะที่พล. อ. ประยุทธ์ได้แจ้งต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ว่าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารีสัมพันธ์ 056-2-471xx-x ชื่อบัญชีพล. อ. ประยุทธ์โดยโอนมาจากบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 134-2-329xx-x ชื่อบัญชีพ. อ. ประพัฒน์จำนวนเงิน 540 ล้านบาท ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 จริง
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -5
สำหรับที่ดินทั้ง 9 โฉนดนั้นพ. อ. ประพัฒน์ได้ขายให้กับ บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวนเงิน 600 ล้านบาท โฉนดที่ดินได้มาเกิน 10 ปี บางบอนกรุงเทพฯโดยที่ดินทั้งหมดอยู่ในแขวงบางบอนเขต
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -6
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -7
สำหรับพล. อ. ประยุทธ์มีพี่น้องทั้งหมด 3 คนคือพล. อ. ปรีชาจันทร์โอชา, นายประคัลภ์จันทร์โอชาและพล. อ. ต. ประกายเพชรจันทร์โอชา
ประยุทธ์แจ้งว่าสมรสกับนางนราพรจันทร์โอชาทั้งนี้พล. อ. มีรายได้ทั้งหมด 25,838,007 บาทเป็นของพล. อ. ประยุทธ์ 25,484,471 บาท (เงินเดือน / เงินประจำตำแหน่ง 11,403,174 บาท, ดอกเบี้ยเงินฝาก 14,589,610 บาท, กำไรจากเงินกองทุนและ หลักทรัพย์ 2,453,687 บาท, ธนาคารทหารไทยฯ 1,038,000 บาท, 6 ล้านบาท) ของ 353,535 บาท (เงินบำนาญ 301,664 บาท, ดอกเบี้ยเงินฝาก 51,871 บาท) นางนราพร  
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -1
มีรายจ่ายทั้งหมด 478,476,594 บาท เป็นของพล. อ. ประยุทธ์ 478,010,594 บาท (ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 8.5 แสนบาท, ผ่อนเงินกู้ 216,000 บาท, อุปการะเลี้ยงดูบิดา (ปลูกบ้าน) 5.4 ล้านบาท, เงินบริจาค 4.5 หมื่นบาท, เงินคืนกองกลางให้พ่อ และน้อง 267,999,594 บาท, มอบเงินให้ลูก 198,500,000 บาท)
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -2
ภาพบนจอภาพทรพยสนบกต -3
มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 128,664,535 บาท เป็นของพล. อ. ประยุทธ์ 102,317,152 บาท (เงินฝาก 6 บัญชี 58,967,022 บาท, เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท, ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท, โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท, ยานพาหนะ 4 คัน 11.8 ล้านบาท, ทรัพย์สิน อื่นฯ 4 รายการ 4,193,000 บาท)
ของนางนราพร 26,347,382 บาท (เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท, ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท, โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท, ยานพาหนะ 1 คัน 3.5 ล้านบาท, ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท )
มีหนี้สินทั้งสิ้น 654,745 บาท เป็นของพล. อ. ประยุทธ์ 327,372 บาทของนางนราพร 327,372 บาท
มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 128,009,790 บาท 
พล. อ. ประยุทธ์ระบุอีกว่าปัจจุบันเป็นหัวหน้าคสช (ผบ.ทบ. ) กรรมการธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) รอง ผบ.ทบ. , เสนาธิการทหารบก, กรรมการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แม่ทัพภาคที่ 1 กรรมการการไฟฟ้านครหลวง, สมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ขณะที่นางนราพร ปัจจุบันเป็นกรรมการมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, รองประธานมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม, ประธานกรรมการส่งเสริมกิจการสถาบันดนตรีกัลยานิวัฒนา

คุ้ยบัญชีทรัพย์ ประยุทธ์

คุ้ยบัญชี “นายกฯ ตู่” ทหารก็รวยได้ 128 ล้านแค่สิวๆ พบซุกอีกเฉียด 500 ล้าน ระบุเป็นกงสีต้องโอนให้พี่น้อง 268 ล้าน พร้อมโอนให้ลูกอีกเกือบ 200 ล้านสมบัติเพียบ “ปืน-เครื่องประดับ-ของขลัง” แถมสะสมนาฬิการะดับไฮเอนด์นับสิบเรือน รวมมูลค่ากว่า 4 ล้าน


สำหรับบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา มีการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่น่าสนใจ โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีทรัพย์สิน 102,317,152.64 บาท, นางนราพร ภริยา มีทรัพย์สิน 26,347,382.76 บาท รวม 128,664,535.40 บาท หนี้สิน 654,745.06 บาท รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 128,009,790.34 บาท

พล.อ.ประยุทธ์แจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 25,484,471.92 บาท มีรายจ่าย 6,511,000 บาท ในจำนวนนี้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา (ปลูกบ้าน) 5,400,000 บาท

มีรายจ่ายอื่นๆ รวม 466,499,594.92 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินรายจ่าย คืนเงินกองกลางให้พ่อและน้อง 267,999,594.52 บาท โดย พล.อ.ประยุทธ์หมายเหตุในส่วนนี้ว่า มีการแบ่งเงินกองกลางไปแล้วครั้งแรกเป็นเงิน 140 ล้านบาท เมื่อ 10 พ.ค. 2556 รวมเงินกองกลางแบ่งพี่น้องประมาณ 407.9 ล้านบาท คาดว่าน่าจะเป็นเงินจากการขายที่ดินของพ่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) น้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ เคยระบุว่าได้รับส่วนแบ่งจากการขายที่ดินของพ่อเป็นเงินจำนวน 80 ล้านบาท 

อีกส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุในรายจ่ายอื่นๆ เป็นการมอบเงินให้ลูกจำนวน 198,500,000 บาท 

สำหรับนางนราพร มีรายได้ทั้งสิ้น 353,535.70 บาท และมีรายจ่าย 466,000 บาท

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ระบุในรายการทรัพย์สินอื่นๆ หลายรายการ ดังนี้ เครื่องประดับประจำตัว แหวน เครื่องราง จำนวน 8 หน่วย นาฬิกา จำนวน 9 หน่วย สร้อยคอทองคำพร้อมพระ 2 หน่วย อาวุธปืน 9 หน่วย และเครื่องประดับ แหวน ต่างหู สร้อย นาฬิกา 26 หน่วย

ในส่วนของนาฬิกาที่ปรากฎในรายการทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์และภริยา ล้วนแล้วแต่เป็นนาฬิกาชื่อดังมีมูลค่าหลักแสนบาทหลายเรือน เช่น นาฬิกา Radiomir Panerai เรือนทองขาว หน้าปัดดำ สายหนังดำ ระบุมูลค่า 200,000 บาท, นาฬิกา Seiko เรือนทองชมพู จับเวลา สายหนังดำ ระบุมูลค่า 250,000 บาท

นาฬิกา Patek Phillippe เรือนกลมทองขาว หน้าปัดขาว สายหนังดำ ระบุมูลค่า 900,000 บาท, นาฬิกา Patek Phillippe เรือนสี่เหลี่ยมมน หน้าปัดขาว สายยางดำ ระบุมูลค่า 600,000 บาท, นาฬิกา Rolex Oyster หน้าปัดมุก สายสองกษัตริย์ ระบุมูลค่า 350,000 บาท, นาฬิกา Rolex เรือนทอง หน้าหิน สายหนังดำ ระบุมูลค่า 150,000 บาท, นาฬิกา Rolex เรือนเหล็ก หน้าปักมุก สายหนังดำ ระบุมูลค่า 250,000 บาท, 

นาฬิกา Radiomir Panerai เรือนดำ สายหนังดำ ระบุมูลค่า 150,000 บาท, นาฬิกา Breitling เรือนเหล็ก หน้าปัดกลม สายเหล็ก ระบุมูลค่า 150,000 บาท ส่วนนางนราพร ระบุครอบครองนาฬิกา Patek Phillippe จำนวน 2 เรือน ระบุมูลค่าเรือนละ 300,000 บาท และนาฬิกา Cartier วงรีล้อมเพชร 1 เรือน ระบุมูลค่า 300,000 บาท รวม 12 เรือน มูลค่า 3,900,000 บาท 

ที่มา :ผู้จัดการออนไลน์

เปิดกรุ ครม.ประยุทธ์

ปปช. เปิดกรุครม. "ประยุทธ์ 1" "หม่อมอุ๋ย" รวยสุด 1,378 บาท "พล.ร.อ.ณรงค์" จนสุด 6 ล้านบาท ส่วน นายกฯ ประยุทธ์ รวย 128 ล้านบาท แต่เงินกู้เยอะ 327 ล้าน......รมต.ทหารที่รวยสุด บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ รองนายกฯ/รมว.กต.185,948,607.07 ล้าน พล.อ.ประยุทธ์128 พล.อ.ดาว์พงษ์93 พล.อ.ประวิตร 87 ล่าน พล.อ.ไพบูลย์51 พล.อ.อนุพงษ์ 37 พล.อ.ฉัตรชัย33 พล.อ.อ.ประจิน27 พล.ร.อ.ณรงค์ รั้งท้าย 6 ล้าน

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผย สรุปรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 4 ก.ย.


โดยผู้ที่มีทรัพย์สินฯ มากที่สุด 5 อันดับ คือ หม่อมปรีดียาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินทั้งหมด 1,378,394,902 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 1,018,478,318 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 359,916,584 บาท ไม่มีหนี้สิน รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,378,394,902 บาท
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินทั้งหมด 1,315,332,228 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 1,258,903,119 บาท ทรัพย์สินของคู่สมรส 56,429,109 บาท ไม่มีหนี้สิน รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,315,332,228 บาท


นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สินทั้งหมด 836,535,249 บาท ทรัพย์สินของผู้ยื่น 179,800,507 บาท ทรัพย์สินของคู่สมรส 656,734,741 บาท รวมหนี้สินทั้งหมด 6,011,459 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 830,523,789 บาท


นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา มีทรัพย์สินทั้งหมด 306,547,420 บาท ทรัพย์สินของผู้ยื่น 145,091,905 บาท ทรัพย์สินของคู่สมรส 161,236,638 บาท หนี้สินทั้งหมด 1,352,223 บาท หนี้สินผู้ยื่น 1,152,045 บาท หนี้สินคู่สมรส 200,177 บาท โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 305,195,196 บาท


นายณรงค์ชัย อัครเศรนณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีทรัพย์สินทั้งหมด 283,710,881 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 206,297,610 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 77,413,270 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยรวมแล้วมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 283,710,881


ส่วนบุคคลที่มีทรัพย์สินน้อยสุด คือ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา มีทรัพย์สินทั้งหมด 9,872,320 บาท มีหนี้สินทั้งหมด 2,923,942 บาท โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6,948,378 บาท

บัญชีทรัพย์สินของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินทั้งหมด 128,664,535 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 102,317,152 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 26,347,382 บาท รวมหนี้สินทั้งหมด 654,745 บาท โดยแยกเป็นหนี้สินผู้ยื่น 327,372 บาท หนี้สินคู่สมรส 327,372 บาท โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี่สิน 128,009,790 บาท


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ มีทรัพย์สินทั้งหมด 87,373,757 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 87,373,757 บาท,

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกฯ มีทรัพย์สินทั้งหมด 88,674,649 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 18,244,494 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 70,430,154 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยมีทรัพย์ สินมากกว่าหนี้สิน 88,674,649 บาท
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทรัพย์สินทั้งหมด 186,033,607 บาท ทรัพย์สินผู้ยื่น 145,036,895 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 40,996,711 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยรวมแล้วมีทรัยพ์สินมากกว่าหนี้สิน 186,033,607 บาท
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินทั้งหมด 117,947,795 บาท ทรัพย์สินของผู้ยื่น 78,975,643 บาท ทรัพย์สินของคู่สมรส 38,972,152 บาท มีหนี้สินทั้งหมด 1,100,450 บาท หนี้สินของผู้ยื่น 110,450 บาท หนี้สินคู่สมรส 1,000,000 บาท โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 116,847,346 บาท

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กำหนดจัดพิธีรับพระบรมราชโองการฯ ในวันจันทร์ที่ 3 พ.ย.นี้

โปรดเกล้าฯ "เทียนฉาย" เป็น ประธาน สปช. พร้อม รองปธ.สปช.แล้ว
เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเทียนฉาย กีระนันทน์ เป็นประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ คนที่ 1 และนางสาวทัศนา บุญทอง เป็นรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ คนที่2 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 30 ตค.2557
มีรายงานว่า จะมีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการฯ ในวันที่ 3 พ.ย. นี้ เวลา 08.00 น. ที่ รัฐสภา
///
หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งประธานและรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว ในวันนี้ 30 ตค.2557
.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กำหนดจัดพิธีรับพระบรมราชโองการฯ ในวันจันทร์ที่ 3 พ.ย.นี้ เวลา 08.00 น. ณ บริเวณห้องโถง อาคารรัฐสภา 1
//////////
.

บุกสภา! 14 องค์กร ร้อง สนช.ชะลอร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม

เครือข่ายประกันสังคม 14 องค์กร ยื่นหนังสื่อถึง สนช.เพื่อขอให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม

วันนี้ (30 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายประกันสังคมเพื่อคนทำงาน 14 องค์กร ประกอบด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย , องค์การแรงงานแห่งประเทศไทย , สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ , มูลนิธิเพื่อนหญิง , สมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวเพื่อยื่นหนังสือต่อ สภานิติบัญญัติ (สนช.) เพื่อเรียกร้องชะลอลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ประกันสังคม โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองปธ.สนช.คนที่ 1 รับหนังสือ
ทั้งนี้เครือข่ายได้ขอให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่งตั้งอนุกรรมการหรือคณะทำงานสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปด้านแรงงานและประกันสังคม ที่ประกอบด้วย ผู้แทน ผู้ประกันตัว ฝ่ายนายจ้าง และหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้รอบด้านกว่าปัจจุบัน

รู้จักทุนใหญ่ใน สปท. “ปรีดา แพรนด้า กรุ๊ป” ท่อน้ำเลี้ยง พธม.-พรรค กมม.-สยามสามัคคี 10ปี พัวพันม็อบล้ม ปชต.

รู้จักทุนใหญ่ใน สปท. “ปรีดา แพรนด้า กรุ๊ป” ท่อน้ำเลี้ยง พธม.-พรรค กมม.-สยามสามัคคี 10ปี พัวพันม็อบล้ม ปชต.

“สภากระจก” สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) หรือ Thailand Reform Institute (TRI) ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น ด้วยรายชื่อ “กรรมการ” และ “ที่ปรึกษา”

ไม่ว่าจะเป็น  อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต  ที่ปรึกษาอาวุโส พรรคประชาธิปัตย์ , สังศิต พิริยะรังสรรค์  สปช.ที่มีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สปช. ใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ , สุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำ พธม.และ กปปส., พิภพ ธงไชย อดีตแกนนำ พธม. , นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อดีต ส.ว.อุบลราชธานี สาย พธม., บรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการ คตส. ที่แต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร 2549 และแกนนำกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์  , สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตแกนนำ กปปส.ใกล้ชิด สุเทพ เทือกสุบรรณ

ค่อนข้างจะชัดเจนว่า แต่ละคน ล้วนแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่เคยร่วมมีส่วนมีส่วนร่วมในการระดมพล จัดชุมนุม สร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้กับประเทศไทยและสังคมไทย มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ทั้งในการชุมนุมของกลุ่ม พธม.ก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การชุมนุมของกลุ่ม พธม.ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล บุกสนามบินดอนเมืองและยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ปี 2551 ไปจนถึงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.และ คปท.ก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ซึ่งหนึ่งใน ”กรรมการ สปท.” นั้น ปรากฏชื่อ “ปรีดา เตียสุวรรณ์” ประธานกรรมการบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด  ซึ่งความสนิทสนมอย่างยิ่ง กับ อานันท์ ปันยารชุน  และ ประเวศ วะสี  และเคยเป็นหนึ่งใน “แกนนำกลุ่มเพื่อนอานันท์” และสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่ง “อานันท์ ปันยารชุน” เป็น ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540

โดย “ปรีดา เตียสุวรรณ์” นับเป็นนักธุรกิจผู้กว้างขวางในหมู่นักเคลื่อนไหวสาย พธม. กระทั่งในอดีตได้รับการกล่านขานกันว่า นี่คือ “นายทุน” คนสำคัญ คนหนึ่งของกลุ่ม พธม.ในการโค่มล้มประชาธิปไตย ในปี 2548-2549

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า “ปรีดา เตียสุวรรณ์” คือ นายทุนผู้บริจาคเงินเข้า “พรรคการเมืองใหม่” ของกลุ่ม พธม. จำนวนมากคนหนึ่ง ในช่วงปี 2553 ก่อนที่การเลือกตั้ง 2554 พรรคการเมืองใหม่ จะล้ม
เหลวไม่เป็นท่า

จากนั้นในช่วงปี 2555 “ปรีดา เตียสุบรรณ์”  มีชื่อปรากฎเป็นแกนนำกลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย และร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มสยามสามัคคี ที่นำโดย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม แกนนำ
กลุ่ม 40 ส.ว.

หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ปรีดา เตียสุวรรณ์” เสนอตัวเข้าร่วมกระบวนการของคณะรัฐประหาร โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิก สปช.ด้านเศรษฐกิจ จากการผลักดันของ มูลนิธิเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับ “บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)” ซึ่ง “ปรีดา เตียสุวรรณ์ เป็นประธานกรรมการบริษัทนั้น ตั้งอยู่ที่ 28 ซอยบางนา-ตราด 28 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ทุนจดทะเบียน
  410,000,000.00 บาท ประกอบธุรกิจ ผลิต จัดจำหน่าย และค้าปลีกเครื่องประดับ

กรรมการบริษัทประกอบด้วย

1. นาย ปรีดา เตียสุวรรณ์    ประธานกรรมการ
2. นาง สุนันทา เตียสุวรรณ์    กรรมการ
3. นาย ปราโมทย์ เตียสุวรรณ์ กรรมการ
4. นาง ปราณี คุณประเสริฐ    กรรมการ
5. นาง ประพีร์ สรไกรกิติกูล    กรรมการ
6. นาง พนิดา เตียสุวรรณ์    กรรมการ
7. น.ส. พิทยา เตียสุวรรณ์    กรรมการ
8. นาย วีระชัย ตันติกุล    กรรมการ
9. นาย จำนงค์ วัฒนเกส    กรรมการ
10. นาง รวิฐา พงศ์นุชิต    กรรมการ

นอกจากนี้ยังมีบริษัทต่างๆ ในเครือของ “แพรนด้า กรุ๊ป” อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น บริษัท แพรนด้าดีไซน์ จำกัด , บริษัท แพรนด้าดีไซน์ (2521) จำกัด , บริษัท แพรนด้า อินเตอร์เจมส์ จำกัด , บริษัท แพรนด้า ลอดจิ้ง จำกัด และ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทองรูปพรรณและอัญมณี)
//////////////////
วันที่ จันทร์ พฤศจิกายน 2553

เปิดตัวนายทุนพรรคการเมืองใหม่ ที่แท้ ปรีดา เตียสุวรรณ์ คนกันเอง


มติชนออนไลน์ค้นมาฝาก

หากพลิกข้อมูลเงินบริจาคพรรคการเมืองใหม่ (จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2552)  ซึ่งเปิดเผยโดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2552 -กันยายน 2553 จะพบข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะถึงแม้ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค  นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นเลขาธิการพรรค แต่ทั้งสองล้วนมิใช่ผู้สนับสนุนรายใหญ่ (ตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป) ประเภทท็อป 5

หากเป็นนายปรีดา เตียสุวรรณ์  นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กลุ่มบริษัท ดี.พี.ปาล์มออยล์ จำกัด  และ นายไพรอนันต์ วิจิตรไพบูลย์

นายปรีดา เตียสุวรรณ์  บริจาค จำนวน 800,000 บาท เมื่อเดือน ม.ค.2553
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์  จำนวน  500,000  บาท   เมื่อเดือน ก.ย.2552
บริษัท ดี.พี.ปาล์มออยล์ จำกัด  จำนวน 500,000  บาท  เมื่อเดือน พ.ย.2552
นายไพรอนันต์ วิจิตรไพบูลย์  จำนวน 429,08 บาท  เมื่อเดือน ก.พ. 2553
บริษัท สุปรีโฮลดิง จำกัด (นายปิติพงษ์ เตียสุวรรณ์ เป็นเจ้าของ) จำนวน 200,000 บาท  เมื่อเดือน พ.ย. 2552

ส่วนผู้บริจาครองลงไป แต่มากกกว่า 1 แสนบาท จำนวน 18 ราย ดังนี้
นางดรุณี โชติสุภา 153,000 บาท
นางสาวสุวันนี ไวศรีแสง 190,000 บาท
นายสมศักดิ์  โกศัยสุข 190,000 บาท
นายประทีป  ชื่นอารมย์ 125,000 บาท
นางสาวราศี วัฒนะ 121,000 บาท
นางสาวละมัย ชลานันต์ 100,000 บาท
น.ส.บุญลอย ไตรอุดม 100,000  บาท
ม.ล.ทองทิพย์ ทองแถม 100,000 บาท
น.ส.นงค์นุต โพธิ์ศรี 100,000 บาท
น.ส.วนิดา เหลืองนาวา 100,000 บาท
น.ส.ชะลอ บุญญโชติ 100,000 บาท
พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ 100,000  บาท
นางสาวปิยะพร ไตรสุรัตน์ 100,000 บาท
นายพิเชฎฐ พัฒนโชติ 100,000 บาท
นายสราวุธ นิยมทรัพย์ 100,000  บาท
นายสุริยะใส กตะศิลา 100,000 บาท
นายสำราญ รอดเพชร 100,000 บาท
นายเทิดภูมิ ใจดี 100,000 บาท
 
ทั้งนี้ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.แพรนด้าจิวเวลรี่  ทุนจดทะเบียน 410 ล้านบาท ปี 2552 รายได้  2827 ล้านบาท กำไรสุทธิ 357.9 ล้านบาท   สินทรัพย์ 4,069.5 ล้านบาท บริษัทใน
เครือ 5 แห่ง คือ บริษัท แพรนด้า โฮลดิ้ง จำกัด  ,บริษัท คริสตอลไลน์ จำกัด  , บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  ,บริษัท แพรนด้า ลอดจิ้ง จำกัด  และ บริษัท ฟอร์เวิร์ด ฟรีแลนด์ จำกัด

ส่วนบริษัท ดี.พี.ปาล์มออยล์ จำกัด  ประกอบธุรกิจ ผลิตน้ำมันปาล์ม จดทะเบียนวันที่ 3 ตุลาคม 2521 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 25 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 9 ซอยศูนย์วิจัย 5 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวง
บางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ สหไทยน้ำมันพืช จำกัด ถือหุ้น 79.8%  นายเจี้ยนเต๋อ จาง 20% (จีน)
นายยศ เด่นไพศาล นางสาวเด่นดาว เด่นไพศาล นายเด่นพันธุ์ เด่นไพศาล นางสาวมาลี งามอภิชาติ นายเด่นพงษ์ เด่นไพศาล เป็นกรรมการ ผลประกอบการปี 2552 รายได้ 28.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.1
ล้านบาท ปี 2552 รายได้ 8.8 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1 ล้านบาท

บริษัทในเครือบริษัท สหไทยน้ำมันพืช จำกัด   ทุนจดทะเบียน 45 ล้านบาท
บริษัท ดี.พี. ปาล์ม ไบโอเอ็นเนอร์จี จำกัด  ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
บริษัท สห ดี.พี. น้ำมันปาล์ม จำกัด  ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
บริษัท เจริญสุขวิลเลจ จำกัด   (อสังหาริมทรัพย์) ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
บริษัท ดี แอนด์ เอ เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท        
 
พรรคการเมืองใหม่ก่อตั้งโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดตัวเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2552 และจดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2552 ใช้ตัวย่อว่า ก.ม.ม. (N.P.S.P.)

สีประจำพรรคการเมืองใหม่ คือ สีเหลือง-เขียว

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นหัวหน้าพรรค นางภินันทน์ โชติรสเศรณี เป็นรองหัวหน้าพรรค (พันธมิตรฯ จากภาคตะวันตก) นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นเลขาธิการพรรค นายพิชิต ไชยมงคล เป็นรองเลขาธิการพรรค นางลักขณา ดิษยะศริน เป็นเหรัญญิกพรรค นางภาณุมาศ พรหมสูตร เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ เป็นโฆษกพรรค

ประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ หลังจากพลาดเลือกตั้งซ่อม เก้าอี้ส.ส.กรุงเทพฯครั้งก่อน ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. (ถ้าพรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัคร) แม้แต่ศึกเลือกตั้งใหญ่หากมีการยุบสภา

กลุ่มทุนเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนหลักอยู่หรือไม่?

โดย Canไทเมือง
///////////////////

"ปรีดา เตียสุวรรณ์"   เจ้าพ่อแพรนด้า จิวเวลรี่    เป็นพ่อค้าที่เป็นมากกว่าพ่อค้า เพราะเป็นพ่อค้าปัญญาชน"คบหา  "อานันท์ ปันยารชุน"   อดีตนายกฯ   "หมอประเวศ วะสี" ราษฎรอาวุโส  เป็นกรรมการจัดงาน 100 ปี ป๋วย อึ้งภากรณ์


 ปรีดา อ่าน หนังสือพิมพ์ มติชน เป็นฉบับแรกทุกเช้า จนถึงปัจจุบัน
 

เป็นนักธุรกิจที่พูดเรื่อง "ซีเอสอาร์" กับ "สุลักษณ์  ศิวลักษณ์" เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
 

จนกลุ่มทุนงง..ว่า อะไรของมัน "ซีเอสอาร์"  อั้วทำธุรกิจ ไม่ใช่ ทำบุญ
 

เป็นนักธุรกิจที่มีหัวใจติดดิน   ต่อสู้กับภาคประชาชน เป็นนายทุนเอ็นจีโอที่พูดเรื่องสิทธิชุมชน


เป็นนักธุรกิจที่อยู่เบื้องหลัง รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ปี 2540
 
และ"ปรีดา เตียสุวรรณ์"  เคยร่วมขบวนการ"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"  ขับไล่ "ทักษิณ" มาแล้ว
 
"ปรีดา"   เป็นพันธมิตรฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการปิดสนามบินดอนเมือง  ยึดทำเนียบรัฐบาล  และปิดสนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ


เป็น "ปรีดา" ที่ขนอาหาร ข้าวปลาไปเลี้ยงดูพันธมิตรฯ   แต่เขายืนยันว่า เขาไม่ใช่นายทุนของพันธมิตรฯ


วันนี้ ปรีดา  เคลื่อนไหวในนามกลุ่มสยามสามัคคี ไม่นิยมความรุนแรง การชุมนุมทางการเมืองที่ไร้สติ เขาไม่เอาด้วย
 

วันนี้ "ปรีดา" ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชนออนไลน์"
 

เขาพูดเรื่อง ทำไมจุดเสื่อมของพันธมิตรฯ และพูดเรื่องการชุมนุมของพันธมิตรฯ 10 มีนาคม
 

และที่สำคัญ เขาพูดเรื่อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" และ"ทักษิณ ชินวัตร"


รวมถึงจุดยืนเรื่อง "มาตรา 112"   เป็นครั้งแรก


ต่อไปนี้คือ บทสัมภาษณ์ นายปรีดา  เตียสุวรรณ์ กรรมการบริษัท และประธาน บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) ฉบับสมบูรณ์

Q  อ.บรรเจิด สิงคะเนติ กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ วิเคราะห์การเมืองปัจจุบัน เป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับทุนนิยมผูกขาด เห็นด้วยไหม ?

ถ้ามองในภาพกว้าง ๆ คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมมองอย่างสังคมวิทยา ไม่ได้มองแบบกฎหมาย คือ เกือบ 80 ปีที่แล้วที่เราเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลังจาก นั้นทหารมีอำนาจครอบคลุมมา

อย่างน้อย 50-60 ปี ทหารเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของประเทศนี้อะไรต่าง ๆ แต่ระยะ 20 ปีหลังฝ่ายทุนนิยมเป็นผู้ที่เริ่มมีบทบาทถึง


ปัจจุบันนี้ ฝ่ายทุนเป็นฝ่ายที่ดูประหนึ่งว่ามีอำนาจครอบคลุมประเทศนี้ และบริหารประเทศนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดความแตกต่างมี ตอนที่ทหารมีอำนาจประมาณ 60 ปี ทหารก็ยังต้องฟังเสียงของ

ประชาชน มันต่างกับฝ่ายทุนที่เป็นอยู่ คือ ครั้งแรกที่ฝ่ายทหารเรียนรู้ว่า ทหารไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ คือ วันที่ 14 ตุลาคม 2516 มันเป็นการเคลื่อนไหวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของ

ประเทศไทย

และในท้ายที่สุดเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยป๋าเปรม(พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) ในท้ายที่สุดก็มาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่เต็มใบ ที่มีทุนเป็นผู้กำหนดชะตาอยู่ แต่ข้อดีของการที่มีทุนกำหนด

ชะตาสังคมไทย เขาจะใช้พลังของประชาชนมา เขาต้องฟังประชาชน ต้องใช้พลังประชาชนมาคุ้มหัวเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฝ่ายทุน หรือบางคนเรียกว่า “ทุนสามานย์” คุณก็ยังต้องฟังเสียงของ

ประชาชน แน่นอนที่เราบอกว่า เป็น”ทุนสามานย์”เพราะว่า วิธีการให้ได้เสียงจากประชาชน
 
 แต่ในปัจจุบันยังเป็นเรื่องของการใช้ระบอบประชานิยมอยู่เต็มที่เลยระบอบประชานิยมซึ่งมิได้มีความคิดในการที่จะดูแล ความก้าวหน้าความสุขมวลรวมของประเทศ หรือคุณภาพชีวิตของ

ประชาชนในระยะยาวเลย เป็นการหากิน หาเสียงแบบสั้น ๆ เพื่อให้ได้มาเป็นผู้บริหารใน 4 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้าให้ได้เสียงที่จะเลือกฉันกลับเข้ามา ซึ่งแน่นอนอันนี้เป็นอันตราย เพราะการบริหาร

ประเทศคุณไม่สามารถใช้ประชานิยมในระยะยาวได้ การบริหารประเทศเหมือนยังกับการบริหารครอบครัว เวลาลูกอยากจะกินขนม ก็ให้เงินไปซื้อขนม แต่เงินไม่ใช่จะมีตลอดไป เงินไม่ได้ตกลงมา

จากท้องฟ้า และเวลาลูกกินอาหาร กินมากเกินไปฟันก็ผุ ตัวก็อ้วน สุขภาพก็ไม่ดี

เราต้องมีความสามารถบอกลูกว่า ไม่ได้ เงินจะขาด และมันไม่ดีสำหรับลูก เราต้องมีรากฐานอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ลูกจะเสียคนไปเรื่อย ๆ และ เงินที่พ่อแม่หามาได้จะไม่มีพอ

ตอนนี้คนไทยเป็นหนี้ขึ้นไปที่ 50% แล้ว แต่โชคดีที่พวกเรายังสามารถจัดอยู่ในกระบวนการรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้กลายเป็นหนี้ไม่ให้เกิน  60% อันนี้ถือเป็นอานิสงส์ที่ระบุในรัฐธรรมนูญปี 2540  ที่

จะกำหนดไว้ไม่ให้สร้างหนี้มาก แต่ตราบที่เรายังบริหารกันแบบประชานิยมตามใจลูก เพื่อให้ลูกสนับสนุนฉันอย่างนี้ไปต่าง ๆ นานา อีกหน่อยประเทศจะพินาศ

พินาศอย่างไรดูปี 2540 เป็นหลัก เศรษฐกิจพังราบไปจะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน และท้ายที่สุดใครที่จะรับผลกรรมนั้นประชาชนไทย ไม่ใช่นักการเมือง เพราะนักการเมืองสามารถที่จะเอาเงินของตัว

เองขนไปอยู่ที่สิงคโปร์

ขอให้ดูบทเรียนตอนปี 2540 ก่อนที่ค่าเงินบาทจะทะลักตกจาก 1 ดอลลาร์เท่ากับ 25 บาท นักการเมืองนำเงินไปเก็บไว้ที่สิงคโปร์ และนำเงินกลับเข้ามาตอน 1 ดอลลาร์เท่ากับ 50 บาท นักการเมือง

ได้กำไรเท่าตัว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 เดือน วิธีการอย่างนี้ที่ไหนในโลกจะมี แล้วคนที่รับกรรมคือ ใคร คือ มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา ที่เราไม่สามารถไปอยู่ข้างนอกได้


แล้วเรารับกรรมอย่างไร เมื่อค่าเงินบาทตกลงไป 50 บาทต่อดอลลาร์ ราคาสินค้าแพงขึ้นมหาศาล เราต้องมานั่งจ่ายกับสิ่งเหล่านั้น ค่าที่ดิน บ้านที่เรามีอยู่ ราคาตก เพราะเศรษฐกิจล่มสลาย เราเจอ 2 เด้ง

3 เด้ง และทั้งหมดที่เราเจอ 2 เด้ง 3 เด้ง ในทางตรงกันข้ามนักการเมืองได้กำไร 2 เด้ง 3 เด้ง คือ ได้กำไร จากค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลง 100% เสร็จแล้วนำเงินที่เพิ่มขึ้นมากลับมาซื้อที่ดินราคาถูก

เพราะเศรษฐกิจแย่ อสังหาริมทรัพย์ที่ขายราคาถูก สามารถไปจ้างแรงงานที่ถูกลง เพราะคนว่างงานมาก

Qนี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่คุณปรีดาก้าวเข้ามาต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ผมยอมรับว่าเมื่อปี 2540 เป็นบทเรียน ผมก็มองเห็น ปัญหาของประเทศในเรื่องรัฐธรรมนูญเก่า และในท้ายที่สุดรัฐธรรมนูญเก่าทำให้เกิดเหตุการณ์อย่าง 14 ตุลาคม  2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 และเห

ตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมก็รู้แจ้งเห็นชัด ผมก็ดูมาตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม และผมก็มาถึงข้อสรุปว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬมันไม่
ได้อะไร มันต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ และผมได้เข้าไปร่วมเปลี่ยนรัฐธรรมนูญในปี 2539 นั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมเข้าไปดู
และการล่มสลายของเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นตัวที่ชัดเจนเลยว่า ถ้าเราปล่อยให้นักการเมืองบริหารประเทศแบบประชานิยม หากินระยะสั้นสังคมเราจะเจอปัญหาอย่างนี้ตลอดไป


บริษัท  แพรนด้า จิวเวลรี่ต้องขายหุ้นให้กับฝรั่งไป 25% ในราคาถูกมหาศาล เพื่อที่จะประคองกิจการให้อยู่รอดได้ ผู้ถือหุ้นเดิมต้องขายหุ้นออกไปหมด เพื่อจะประคองกิจการให้อยู่รอดได้ เพื่อจะ

รักษาคนงานของเรา อันนี้ผมรู้เช่นเห็นชาติเลย ผมรู้ว่า ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจแบบปี 2540 ก็จะกลับมาอีก จึงต้องร่วมต่อสู้อีกครั้ง


Qแต่เมื่อต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรเองฯก็มีจุดอ่อนมาก

ก็เหมือนธรรมดาทั่วไป เหมือนองค์กรทั่วไป ก็ช้ำไปบ้าง

Qวันนี้กลุ่มพันธมิตรก็อ่อนแรงอ่อนล้าไปพอควร

ก็อ่อนล้าไประดับหนึ่ง ก็เหมือนองค์กรภาคประชาชนทั่วไป เป็นการรวมตัวโดยไม่มีข้อบังคับกันไม่มีใครเป็นนาย ไม่มีใครเป็นบ่าว ไม่มีการจ่ายเงิน ไม่มีการรับเงิน  เพราะฉะนั้นไม่ใครจะคุมใครได้

เช่น กรณีการไปปิดสนามบิน มันไม่ใช่ความคิดของแกนนำ ผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมก็ไม่เห็นด้วย คน 100 คนมีรถประมาณ 100 คัน

ครั้งนั้นมีการชี้ว่า แกนนำ คือ พลตรีจำลอง ศรีเมืองว่า “ขี้ขลาด” คนอย่างมหาจำลองขี้ขลาดเป็นไปได้หรือ เวลาอยู่ในเหตุการณ์สู้กันแล้ว อารมณ์มันไปแล้ว “น้องโบว์”(น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ

ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 7 ตุลาคม 2551 ) ตายคาตา มันก็เกิดเลือดขึ้นหน้า
มันก็ไม่ฟังกันแล้ว แม้กระทั่งตอนชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลไม่ต้องการจะเข้าไป แต่นักการเมืองฉลาด ประตูเหล็กเขาเปิดกลอนไว้เลย พวกผู้ชุมนุมที่อยู่ข้างหน้าร้อนจัดพิงไปพิงมาประตูมันเปิด

ก็เข้าไปนั่งที่สนามหญ้าเย็น ๆ เรามีคำสั่งคุยกันชัดเจนว่า เราไม่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เราจะอยู่ตรงสะพาน

หลังจากนั้นอยู่ตรงทำเนียบรัฐบาลก็โดนยิง น้องโบว์ก็ตายคาที่ตรงนั้น มันก็อยู่ไม่ได้เพราะเป็นที่เปิด เขาก็ต้องตามรัฐบาลไปที่สนามบินดอนเมือง เพราะมีที่กั้น  รัฐบาลขึ้นเฮลิปคอปเตอร์หนีไป ก็มี

คนเลือดขึ้นหน้าบอกเอาล่ะ เมื่อทำไม่ได้ เราจะไปปิดล้อมที่สนามบินสุวรรรภูมิ แต่จะอยู่ด้านนอก ผู้โดยสารก็เดินทางไป แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของแกนนำ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ไป แกนนำต้อง

ตามไป หัวหน้าตามไปที่หลังทั้งนั้น


Qจุดอ่อนหรือจุดบกพร่องของพันธมิตรคืออะไร

ผมอาจจะผิด ผมยังไม่มีเวลาวิจัย แต่ผมยินดีจะพูด ผมไม่แคร์ ประการแรกผมคิดว่าการที่คุณจะเป็นองค์กรที่ร่วมกันทำจากอุดมการณ์ ถ้ามันไม่ได้เป็นองค์กรที่บริหาร แล้วมีสัดส่วน มีตำแหน่งว่าใคร

เป็นหัวหน้า ใครเป็นลูกน้องชัดเจน ใครเป็นผู้บังคับบัญชาต่าง ๆ ชัดเจน คุณไม่มีทางรักษามันเอาไว้ได้ในระยะยาว เพราะมันไม่มี
ใครที่จะต้องมานั่งฟังใครอย่างจริง ๆ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Chain of command”  มันไม่มีผู้ที่จะมาจัดระบบ อย่างในบริษัทเราพอสั่งกันได้ ฉันเป็นหัวหน้า เธอเป็นลูกน้อง


Qสั่งกันไม่ได้  ต่างคนมีวิธีการ และยุทธวิธีของตัวเอง

แน่นอนคุยกันในระดับหนึ่งมันก็ฟังกัน แต่เวลามันมีจุดหนึ่ง เช่น น้องโบว์ถูกยิงเสียชีวิตคาที มันทนไม่ได้ มันจะเอาคืน ใจมันไปมันทนไม่ได้ นั่นคือประการแรก  เพราะฉะนั้นก็เป็นประการสำคัญ

ที่สุด ในระยะยาวมันคุมกันไม่ได้ นี่คือ ปัญหาหนัก เพราะฉะนั้นเขาจะถูกตำหนิ และแน่นอนเวลาถูกตำหนิจะตำหนิไปที่แกนนำ นั่นคือ ตัวตนที่เห็นชัด แต่ถามจริง ๆ แกนนำจะไปควบคุมฝูงชนได้

อย่างไร คุณเรียกว่า “ม็อบ” แล้ว “ม็อบ”มันคุมกันได้ที่ไหน


Q แกนนำสำคัญของพันธมิตรฯ คือสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นจุดอ่อนของพันธมิตรฯอย่างที่ถูกวิจารณ์หรือไม่

แน่นอนคุณสนธิมีประวัติในการที่จะเคยเป็นเพื่อนคุณทักษิณ เคยทำงานกับคุณทักษิณ อันนั้นเป็นข้อเสียเปรียบของคุณสนธิอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เวลาทำงานกันทุกอย่างตรงไปตรงมา ในแง่

ที่ว่า มีการประชุมกัน เหตุผลที่ดีทั้งหลายในที่ประชุม มันก็มาตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วคุณจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณสนธิ  พลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณพิภพ ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข อ.สม

เกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หรือคุณสุริยะใส กตะศิลาก็ต้องว่า กันไปตามสิ่งที่มันถูกต้อง เพราะมาประชุมกัน ถึงแม้ คุณจะมีความสัมพันธ์พิเศษ มีเบื้องหลัง พวกนี้ต้องออกไปข้างหลังหมด มันไม่เกี่ยวกัน

เพราะฉะนั้นเวลาที่ตกลงกันระหว่างแกนนำ มันต้องตั้งอยู่ในเหตุผลและเงื่อนไขอยู่ดี มันไม่มีลักษณะที่ว่า เช่น เราจะไปบุกสนามบิน เพราะมันผิด คุณจะไปจับประเทศเป็นตัวประกันหรือ ไปปิดที่

เดินทาง ไปจำกัดเสรีภาพของคนที่จะให้เคลื่อนตัวต่าง ๆ


Q เสียงวิจารณ์จากกลุ่มปัญญาชนว่า พันธมิตรเป็นขวาตกขอบไป แล้วคุณปรีดา ซึ่งดูมีความคิดเป็นเสรีนิยม เข้าไปอยู่กลุ่มขวาจัดตกขอบได้อย่างไร

เฉกเช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมก็อยู่”สามัคคีธรรม”ซึ่งผมก็ยังเห็นด้วยว่า มาตรา 112 มันก็ต้องถูกแก้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวนปีที่น่าจะลดทอนลงมาบ้าง ก็ทำ

ให้ผมต้องเลือกทางที่จะไปเหมือนกัน ทั้งที่ผมก็ไม่ได้เห็นทุกอย่างไปในทางเดียวกัน แต่ตอนนี้เราต้องรวมตัวกัน เพราะเราเห็นปัญหา  หลักของประเทศนี้ คือ คุณทักษิณ เราเห็นเหมือนกัน ทำให้เรา

ขจัดสิ่งเรื่องอื่นก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า


Q คุณปรีดายังเห็นว่าคุณทักษิณยังเป็นภัยของประเทศอยู่หรือเปล่า

ยังเป็นอยู่

Qอะไรคือ อันตรายที่สุดของคุณทักษิณ

คุณทักษิณจัดกระบวนการการเมืองขึ้นมา พรรคการเมืองขึ้นมา และเข้าสู่การให้ได้คะแนนเสียงมา ผ่านนโยบายประชานิยมล้วน ๆ ผมพูดเรื่องนี้มาอย่างน้อย 11-12 ปี แล้วว่า เป็นอันตรายต่อประเทศ

มาก และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เศรษฐกิจล่มสลายปี 2540 ประเทศพังราบไปก็ตาม การกระทำแบบประชานิยม หรือพวกมากลากไป หรือ
การสืบทอดอำนาจของจอมพลถนอม กิตติขจร  , จอมพลประภาส  จารุเสถียร นำมาซึ่งการรวมกลุ่มของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จำนวน 1 ล้านคนที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยภายใน 3 ชั่วโมง


Qไม่ใช่พวกคุณปรีดาหรือที่เขียนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ทำให้คุณทักษิณสามารถรวบอำนาจ


ใช่ เพราะเราต้องการให้ฝ่ายบริหารแข็งแรง เราเห็นปัญหา เราเห็นปัญหา จำได้ว่าตอนนั้นสส.ปากที่พูดอยู่ตลอดเวลาเขย่าอยู่ตลอดเวลา ทำให้ฝ่ายบริหารแทบจะทำ อะไรไม่ได้ ถ้าจำได้ตอนนั้นมี

รัฐบาลประชาธิปัตย์ แม้กระทั่งรัฐบาลของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธก็โดนบุคคลคนเดียวกันนี้สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งป๋าเปรม
เองในท้ายที่สุดก็ลาออกเลิก ก็มาจากสส.พวกนี้ที่เราเรียกว่า “ไอ้” “ไอ้”ทั้งหลาย

Q ก็เลยให้อำนาจฝ่ายบริหารเต็มที่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่จุดหนึ่งก็เป็นที่มาของทักษิณ

ถูกต้อง

Qคุณปรีดาต้องตามไปแก้

ใช่ครับ เพราะเส้นทางเขาใช้ประชานิยม ซึ่งในท้ายที่สุดจะนำกลับมาซึ่งความล่มสลายของเศรษฐกิจแบบปี 2540

Qกลุ่มสยามสามัคคีของคุณปรีดาทำอะไรบ้าง

รวมตัวกันและให้ความรู้ซึ่งกันและกัน

Qคุณปรีดาเคยเป็นทุนสนับสนุนให้กลุ่มพันธมิตร หรือกลุ่มพรรคการเมืองใหม่ในช่วงแรก ๆ ตอนนี้ยังเป็นทุนสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่

คำว่าให้ทุนผมต้องขอปฏิเสธ ทางพันธมิตร ถ้าผมจะช่วยเหลืออะไรบ้าง ผมก็ช่วยไปตามความจำเป็น เขาขัดสนเราก็ช่วยบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ข้าว ปลา  อาหารก็ช่วยกันไป ขาดนั้นขาดนี่ก็

ช่วยกันไป แต่มันไม่ใช่ผมคนเดียว แม้กระทั่งประชาชนที่มาร่วมชุมนุมก็ใส่เงินบริจาคในกล่อง ผมอาจจะมีมากกว่าคนธรรมดา ผมก็ช่วยมากหน่อยเท่านั้นเอง กรุณาอย่าบอกว่า ผมเป็นนายทุน อย่าง

นั้นทุกคนที่บริจาคเป็นนายทุนหมดด้วยกัน

Qทำด้วยใจกันมากกว่า

ก็อย่างนั้น

Qพันธมิตรจะจัดชุมนุมใหญ่ 10 มีนาคม 2555 คุณปรีดามองอย่างไร บางคนดูถูกว่า 1,000 คนก็เก่งแล้ว

ก็ไม่สำคัญ พันธมิตรทำไปก็ดีแล้ว ก็ยังมีคนศรัทธาในกลุ่มพันธมิตรอยู่ อย่างที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศกได้ว่าไว้ มันไม่สำคัญที่จำนวนคน แล้วความจริงมีอยู่ว่า ช่วงที่ตกต่ำสุดของ

พันธมิตรมันก็นั่งกันอยู่ไม่กี่คน แต่พลังเหล่านี้เป็นพลังที่ถูกต้อง ในที่สุดจะดึงคนกลับเข้ามา

Qพันธมิตรจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ในเงื่อนไขใด

อันนี้ผมตอบไม่ได้ แน่นอนศีลธรรมเป็นสิ่งสำคัญ กระบวนการการเคลื่อนตัวเหล่านี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม สิ่งที่นักการเมืองชุดปัจจุบันทำอยู่นั้นขาดซึ่ง ศีลธรรมนำมาขนมมาให้กับ

ประชาชน ความสุขชั่วคราว แต่ว่า จะไปสร้างปัญหาให้กับประชาชนในระยะยาว ขาดศีลธรรม ถ้าพันธมิตรเป็นตัวแทนของศีลธรรม “ สยามสามัคคี”เป็นตัวแทนของศีลธรรมเราก็จะเป็นกลุ่มก้อน

ที่มีพลังในการขับเคลื่อนตลอดไป แล้วมันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่พันธมิตร ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สยามสามัคคี  อาจจะมีกลุ่มอื่นขึ้นมาเยอะแยะไปหมด สิ่งเหล่านี้มันพิสูจน์มาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว


Qถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำอะไรที่ไม่ชอบกลุ่มพลังพวกนี้ก็พร้อมออกสู่ท้องถนนอีกครั้ง

 ง่ายมากกว่าตอนสมัยทหารคุมเมื่อ 60 ปี

Qคุณปรีดาเดินทางไปทั่วโลก เห็นธุรกิจของคุณทักษิณบ้างไหม

ผมก็ไม่เห็นอะไรที่เป็นหลักเป็นฐาน ไม่เห็นมีอะไรขึ้นมา ผมว่าหลายอย่างเป็นการพูดกันไปเอง เป็นการสร้างภาพ ถ้าจะทำธุรกิจอะไรที่ประเทศไหนต้องลงไปคลุก คลีที่นั่น บอกจะบินโฉบไปที

ผมฟังแล้วมันตลก เช่น เรื่องเหมืองเพชร เหมืองทอง ที่ผมมีประสบการณ์มา 40 ปีแล้ว  หากคุณไม่นั่งอยู่ตรงนั้น คนอื่นก็เอาไปแล้ว คนอื่นได้ แต่คุณออกเงิน ไม่ใช่ขับเครื่องบินไปแล้วบอกให้ส่งเพชร

ส่งทองมาให้มันไม่ได้ มันต้องลงไปคลุกคลี ผมไม่เคยเห็นอะไรเป็นแก่นสาร

Q มองพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร


ผมว่า การเมืองระบบ 2 พรรคมันเกิดขึ้นแล้ว ตัวของเพื่อไทยก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เราไม่รู้แน่ ความจริงถ้าจะแปลคำว่า ประชาธิปัตย์โดย ตรงเปรียบเหมือนพรรคเดโมแครต ถ้าโดยพื้น

เท่ากับกลุ่มแรงงาน หมายถึงจะเอียงซ้ายจะดูแลมวลชน และฝ่ายตรงข้าม คอนเซอร์เวทีฟ และฝ่ายตรงข้ามเดโมแครตคือ พรรครีพับลิกันก็จะดูแลธุรกิจ จะเอียงขวามากกว่าจะเป็นอย่างนี้ เราคง

อนุมานได้ว่า ในอนาคตประบบการเมืองไทยจะเป็นอย่างนั้น พรรคหนึ่งเอียงไปทางซ้าย อีกพรรค หนึ่งเอียงไปทางขวาหน่อยนะ

แต่ที่ประเทศไทยเป็นอยู่ อุดมการณ์ของทั้ง 2 พรรคต่างกันเยอะ มองจากประชาธิปัตย์ดูประหนึ่งว่า จะดูแลผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ต้องพูดว่า ซ้ายหรือ ขวา แต่พรรคเพื่อไทยดูแลผล

ประโยชน์ของคุณทักษิณ ความแตกต่างมันมหาศาลเหลือเกิน ประเทศจะบริหารลงตัวและร่วมกันบริหาร คือ คนค้านก็ค้าน คนทำก็ทำ
แต่การค้านต้องมีหลัก เพราะสิ่งที่ค้านคนทำ คุณค่าหรือค่านิยมของเขา มันไม่ได้ต่างอะไรกัน การพิจารณาคำว่าศีลธรรมเหมือนกัน เพียงแต่การแปลว่า ศีลธรรมนี้ควร เป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันต่างกัน

ระหว่างพรรคปีกซ้ายกับพรรคปีกขวา มันจะทำงานกันไปได้ เพราะเวลาเถียงกันมันไม่ได้เอาเป็นเอาตาย แต่ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ประเทศ


เราไม่ถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นผมดูแล้วที่คุณถามประชาธิปัตย์น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ในท้ายที่สุดผมดูแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ พรรคเพื่อไทยเหมือนจะเป็นพรรคหลัก มันเริ่มมาจากนายทุนใหญ่ต่าง ๆ

นานาผมว่าในที่สุดมันต้องพัฒนาขึ้นมาเป็นพรรคหลัก เสร็จแล้วพรรคนี้จะกลายเป็นพรรคที่เอียงซ้าย ดูประหนึ่งว่า ตอนนี้มันจะเอียงซ้าย

แต่เดโมแครตตามชื่อมันเอียงซ้าย แต่มันอนุรักษ์กว่า พอเห็น ๆ อยู่นะว่า โมเดลของเมืองไทยถ้าดูตามรอยเส้นตอนนี้ มันดูประหนึ่งว่า เจ้าเดโมแครตมันน่าจะดู เหมือนอย่างเป็นรีพับลิกันหรือคอน

เซอร์เวทีฟ และพรรคเพื่อไทยซึ่งอาจจะเปลี่ยนชื่อ ซึ่งเปลี่ยนมาหลายครั้ง แล้วมันจะเอียงซ้ายหน่อย แต่ไม่ใช่โมเดลอย่างปัจจุบัน ที่ทำเพื่อทักษิณ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ตีกันอยู่อย่างนี้ ตกลงกันไม่ได้ การ

บริหารประเทศไม่มีใครเอาใคร ใครทำโครงการนี้ หากพรรคใหม่มาเป็นรัฐบาลยกเลิก ซึ่งการบริหารประเทศเขาไม่ทำกัน ถ้าคุณจะแก้ก็แก้แต่ไม่ใช่เลิก คุณทำงานบริหารประเทศอย่างนั้นได้อย่างไร

ของใครของมัน ประชานิยมเต็มที่

Qมีหวังกับการเมืองไทยหรือไม่

ต้องมี อย่างน้อยสุดเราก็ออกมาจากระบอบทหารเต็มที่มา 60 ปีมาสู่ระบอบประชาธิปไตย จากครึ่งใบมาสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ประชาธิปไตยเต็มใบตอนนี้"ทุนสามานย์"จะมีบทบาทมากเกินไป

เราต้องให้ความรู้แก่ประชาชน และเราหวังว่า ประชาชนจะออกมาเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวในการรักษาอารมณ์ ไม่ใช่ไป ปิดสนามบิน ไปอย่างมีสติ

Q คุณคิดอย่างไรกับมาตรา 112

ผมว่าที่สุด สังคมไทยก็ต้องมาพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังว่า จะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เพราะมันได้กลายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมืองไปแล้ว  ผมเห็นด้วยกับอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์(นิติราษฎร์)

หลายประเด็น แต่ข้อเสนอบางเรื่องก็ซื่อไปหน่อย  ผมไม่เชื่อว่า คนพวกนี้รับเงินใครมาเคลื่อนไหว ผมไม่เชื่อ  ผมเชื่อว่า พวกเขาบริสุทธิ์ใจ แต่บางเรื่องไม่เหมาะ
//////////////////////
เปิดตัวคณะปฏิรูปประเทศ จำนวน 19 คน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ จำนวน 27 คน โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคกรรมการปฏิรูป และ นพ.

ประเวศ วะสี ประธานสมัชชาปฏิรูปร่วมกันแถลง

ทั้งนี้ความแตกต่างระหว่างคณะกรรมการปฏิรูป กับ สมัชชาปฏิรูป คือ สมัชชาปฏิรูปของหมอประเวศ จะเป็นผู้รวบรวม เก็บข้อมูลข้อคิดเห็น และสังเคราะห์ปัญหานำเสนอพร้อมข้อมูลข้อเท็จจริง

ต่อคณะกรรมการปฏิรูปของนายอานันท์ ปันยารชุน เป้นผู้ทำแผนปฏิบัติการหรือ แอคชั่นแพลนที่จะนำไปปฏิบัติและแก้ไขปัญหาเรื่องความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในอดีต โดยคณะ

กรรมการชุดนี้จะมีวาระในการดำเนินงาน 3 ปี ตามระเบียบของสำนักนายกฯ

นายอานันท์ กล่าวว่า สุดท้ายความสำเร็จ ของการทำงาน ขึ้นอยู่กับ ประชาชน เป็นผู้ให้การสนับสนุน เพราะแผนแอคชั่นแพลนที่จะทำขึ้นไม่ได้เสนอ ให้รัฐบาลใด หรือพรรคการเมืองใด นำไปหาเสียง

แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะมีการประชุมทุกวันจันทร์ และพฤหัส เวลา 13.00 น.ทุกสัปดาห์

ด้าน นพ.ประเวศ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะส่งเสริม สนับสนุน ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการจัดตั้ง สมัชชาจังหวัด ขึ้นทั่วประเทศ สมัชชาประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอ และ

สมัชชาแห่งชาติ ขึ้นมาทำงาน รวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นนโยบาย และที่สำคัญ คณะกรรมการชุดนี้ จะทำงาน คู่ขนานกับคณะ

กรรมการปฏิรูปฯของนายอานันท์ ในรูปแบบทำงานคนละเรื่องแต่เป็นเรื่องเดียวกัน ขอยืนยัน ว่า คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง แต่จะทำงาน มองไปข้างหน้าไม่ใช่แก้ปัญหาแต่จะ

เป็นการทำสิ่งใหม่ เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย แก้ปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในในสังคม ให้หมดสิ้นไป

รายนามคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ประกอบด้วย

1.นายกฤษณพงศ์  กีรติกร
2.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
3.นายชัยอนันต์ สมุทวณิช
4.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
5.นายนิธิ เอียวศรีวงศ์
6.นางบัญชา อ่อนดำ
7.นางปราณี ทินกร
8.นายพงศ์โพยม วาศภูติ
9.นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์
10.พระไพศาล วิสาโล
11.นางรัชนี ธงไชย
12.นาย วิชัย โชควิวัฒน์
13.นางวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์
14.นายศรีศักดิ วัลลิโภดม
15.นายสมชัย ฤชุพันธุ์
16.นางสมปอง เวียงจันทร์
17.น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา
18.นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์

รายนามคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ

1.นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย
2.ประธานที่ประชุม อธิการบดีแห่งประเทศไทย
3.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
4.ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
5.ประธานสมาคมธนาคารไทย
6.เลขาธิการคณะ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ปงระเทสไทย
7. นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์
8.นาย ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
9.ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา
10.นายณรงค์ เพชรประเสริฐ
11.นายต่อพงศ์ เสลานนท์
12.นางเตือนใจ ดีเทศน์
13.รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร
14.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
15. นางปรีดา คงแต้ม
16. นายปรีดา เตียสุวรรณ์
17.นางเปรมฤดี ชามภูนนท์
18.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป
19.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
20.นายมานิจ สุขสมจิตร
21.นาย รัชฏะ ศรีบุญรัตน์
22.นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข
23.นายวิชัย โชควิวัฒน์
24.นายสน รูปสูง
25.นายสมพร ใช้บางยาง
26.นางสาลี อ๋องสมหวัง
27.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ

ที่มา : โพสต์ทูเดย์
//////////////////
มุมหนึ่งชองชีวิต ปรีดา เตียสุวรรณ์
ผู้จัดการ พ.ศ.2547

แม้บทบาทชีวิตของ ปรีดา เตียสุวรรณ์ ด้านหนึ่งจะเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับระดับโลกอย่างแพรนด้า จิวเวลรี่ แต่คุณค่าของชีวิตในฐานะมนุษย์ร่วมสังคมได้ผลักดันให้เขาทำงานอย่างหนักใน

อีกมุมหนึ่งของประเทศ ที่ห่างไกล...เวียงแหง

เวียงแหงเป็นอำเภอในหุบเขาห่างไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ การเดินทางเข้าไปในพื้นที่เลี้ยวลด คดเคี้ยว และสูงต่ำตามสภาพภูมิประเทศ ที่นี่ชาวบ้านกำลังคัดค้านการสร้างเหมืองลิกไนต์แห่งใหม่

ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยหวั่นว่าจะเกิดผลกระทบอย่าง ในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ที่ผ่านมา แม้ปรีดามีภาระสำคัญในเรื่องขยายการลงทุนของบริษัทเข้าไปในประเทศจีน แต่เขายังมีเวลาพาผู้บริหารจากหลากหลายธุรกิจและสื่อมวลชน กลุ่มหนึ่งลงไป

สัมผัสชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ และสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน รวมทั้งศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้

การเดินทางครั้งนั้นนอกจากกลุ่มนักธุรกิจ ก็ยังมีนักเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น พิภพ ธงไชย หรือวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ร่วมเดินทางไปด้วย แม้คนกลุ่มนี้จะไม่ได้มีส่วนได้ ส่วนเสียโดยตรงกับการ

สร้างเหมือง แต่การเดินทางลงพื้นที่ก็สร้างกำลังใจให้ชาวบ้านได้มาก

ปรีดาเป็นประธานในกลุ่มเอเชียของ SVN (Social Venture Network) ประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการมาครบ 5 ปีเต็มเมื่อสิ้นปีที่แล้ว SVN มีการจัดสัมมนา

พูดคุยหรือเคลื่อนไหวทางสังคม ตลอดจนเดินทางลงพื้นที่เช่นที่เขื่อนปากมูล หรือป่าชุมชน รวมถึงมีการให้รางวัลกับหน่วยงานที่ทำคุณประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมในหลายทาง ซึ่งมีโครงข่ายอยู่ทั่ว

โลก

แม้คำว่า CSR (Corporate and Social Responsibility) จะเป็นที่รู้จักกันมานาน แต่บทบาทของธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคมให้เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงนั้นยาก บัญฑูร ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ

ใหญ่ของธนาคารกสิกรไทย เคยพูดไว้ว่า จริงๆ แล้ว นั่นเป็น "การให้ (philanthropy) มากกว่า CSR"

ภาพการทำงานหนักขององค์กร (SVN) ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้หลายคน ได้ทบทวนคำว่า "จริยธรรม" ของผู้บริหาร (Ethic of Leaders) ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจและทำให้สหประชาชาติหันมาตั้ง

โครงการ Global Contact สำหรับหน่วยธุรกิจที่จะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อโลก โดยมีข้อปฏิบัติ 9 ข้อ เช่น ในด้านแรงงาน ด้านสิ่งแวดล้อม หรือสิทธิมนุษยชน

"ตอนนี้ท่าน (โคฟี่ อันนัน) เชิญผมไปพบวันที่ 24-25 มิถุนายน เพื่อคุยเรื่องนี้" ปรีดาเล่าอย่างภูมิใจ เขามีความเห็นว่า

"การทำ CSR นั้นไม่ใช่มีแต่ต้นทุนเพิ่ม แต่ผลตอบแทนเพิ่มเช่นกัน มีงานวิจัยที่ระบุว่า บริษัทขายของดีขึ้นจากการที่บริษัทมีภาพลักษณ์ทางสังคม เป็นความจริงที่ต้องถกเถียงต่อ ว่าเวลาที่บริษัททำ

เรื่องทางด้านสังคมควรจะเอามาทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือควรจะเอามาทำในเชิงพาณิชย์หรือไม่ แต่การที่นำมาใช้เป็นมาร์เก็ตติ้ง เป็นเรื่องไม่ควร เพราะในที่สุดมันจะย้อนกลับ มาไม่ดี เพราะ

อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องจิตใจ จิตวิญญาณ จิตสำนึก มันไม่ควรเป็นเรื่องที่จะเอามาค้าขายกัน มนุษย์เราค้าขายทุกอย่างในสินค้าและบริการ แต่สิ่งที่ไม่ขายคือจิตวิญญาณ"

"ผมเคยทำหนังสือถึงนายกฯ เรื่องเขื่อนปากมูลด้วยนะ แต่ท่านไม่ได้ตอบอะไรมา ผมไม่รู้ว่าท่านอ่านหรือเปล่า วันหนึ่งท่านไปเปิดงานที่อิมแพค พอท่านเข้ามาในบูธแล้วถามหาผม บังเอิญผมไม่อยู่

ท่านก็เลยบอกว่า สงสัยไปชุมนุมคัดค้านอะไรอยู่ที่ไหนหรือเปล่า" ปรีดากล่าวติดตลก พร้อมบอกว่า อนาคตทางการเมืองไม่มีอยู่ในความคิดของเขา เพราะถือว่าการเมือง ภาคประชาชน คือสิ่งที่เขา

กำลังทำมาตลอด และจะทำต่อไป