PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นาจิบ ผู้นำมาเลเซียปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในไทย!!!!!

นาจิบ ผู้นำมาเลเซียปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในไทย!!!!!
วอนหยุดต่อสู้เพื่อเอกราช แนะแค่ปกครองตนเองเป็นจริงมากกว่า 


นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัก ปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในไทย พม่า และฟิลิปปินส์ วอนหยุดต่อสู้เพื่อแยกตัวเป็นเอกราช แนะเรียกร้องแค่ปกครองตนเอง ชี้เป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า

นาจิบได้กล่าวระหว่างแสดงปาฐกถานำในเวทีการประชุมนานาชาติ "อิสลามกับยุคใหม่ของประเทศอาเซียน" ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันอังคาร ว่า

"ชุมชนชาวมุสลิมในไทย พม่า และฟิลิปปินส์ ควรเข้าใจว่า พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลของแต่ละประเทศ และมีส่วนร่วมในการสร้างความกินดีอยู่ดีของสังคม"

"พวกเขาควรลืมเรื่องรัฐเอกราชของชาวมุสลิมไปเสีย เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ควรมีการปกครองตนเองในความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่เอกราช" ผู้นำมาเลเซียกล่าว

เขาบอกว่า ชุมชนเหล่านั้นควรได้รับสิทธิปกครองตนเองและการคุ้มครองอัตลักษณ์ทางศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม รวมทั้งขยายโอกาสด้านสังคมเศรษฐกิจ

"ชาวมุสลิมต้องเข้าใจถึงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อคนที่ไม่ใช่มุสลิม ต้องมีการอยู่ร่วมกันโดยสันติ เพราะสิ่งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ" นาจิบกล่าว

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้ย้ำถึงพันธกรณีของมาเลเซีย ที่จะแสวงหาทางออกอย่างสันติในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในภูมิภาคนี้

"นับเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของมาเลเซีย ที่ได้ช่วยเป็นตัวกลางในการลงนามกรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (เอ็มไอแอลเอฟ)"

"เรากำลังช่วยรัฐบาลไทยในการสร้างความมั่นคง และยกระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านความร่วมมือสองฝ่าย" เขากล่าว

อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า มาเลเซียมีบทบาทเพียงช่วยไกล่เกลี่ยในกระบวนการสันติภาพเท่านั้น และจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ

เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มาเลเซียเป็นตัวกลางในการจัดทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างเอ็มไอแอลเอฟกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ซึ่งได้จัดตั้งเขตปกครองตนเองบังซาโมโรขึ้นในภาคใต้ของฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ติดต่อมาเลเซีย ขอให้เป็นเจ้าภาพจัดการพูดคุยสันติภาพกับบรรดากลุ่มกบฏในภาคใต้ของไทย ซึ่งนำไปสู่การลงนามในเอกสารฉันทามติทั่วไป เพื่อปูทางสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพต่อไป.

เครดิต sathitm
นาจิบ ผู้นำมาเลเซียปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในไทย!!!!!
วอนหยุดต่อสู้เพื่อเอกราช  แนะแค่ปกครองตนเองเป็นจริงมากกว่า 
 

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัก ปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในไทย พม่า และฟิลิปปินส์ วอนหยุดต่อสู้เพื่อแยกตัวเป็นเอกราช แนะเรียกร้องแค่ปกครองตนเอง ชี้เป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า
 
นาจิบได้กล่าวระหว่างแสดงปาฐกถานำในเวทีการประชุมนานาชาติ "อิสลามกับยุคใหม่ของประเทศอาเซียน" ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันอังคาร ว่า 

"ชุมชนชาวมุสลิมในไทย พม่า และฟิลิปปินส์ ควรเข้าใจว่า พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลของแต่ละประเทศ และมีส่วนร่วมในการสร้างความกินดีอยู่ดีของสังคม"
 
"พวกเขาควรลืมเรื่องรัฐเอกราชของชาวมุสลิมไปเสีย เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ควรมีการปกครองตนเองในความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่เอกราช" ผู้นำมาเลเซียกล่าว
 
เขาบอกว่า ชุมชนเหล่านั้นควรได้รับสิทธิปกครองตนเองและการคุ้มครองอัตลักษณ์ทางศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม รวมทั้งขยายโอกาสด้านสังคมเศรษฐกิจ
 
"ชาวมุสลิมต้องเข้าใจถึงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อคนที่ไม่ใช่มุสลิม ต้องมีการอยู่ร่วมกันโดยสันติ เพราะสิ่งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ" นาจิบกล่าว
 
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้ย้ำถึงพันธกรณีของมาเลเซีย ที่จะแสวงหาทางออกอย่างสันติในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ 

"นับเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจของมาเลเซีย ที่ได้ช่วยเป็นตัวกลางในการลงนามกรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (เอ็มไอแอลเอฟ)"
 
"เรากำลังช่วยรัฐบาลไทยในการสร้างความมั่นคง และยกระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านความร่วมมือสองฝ่าย" เขากล่าว 

อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า มาเลเซียมีบทบาทเพียงช่วยไกล่เกลี่ยในกระบวนการสันติภาพเท่านั้น และจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ
 
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มาเลเซียเป็นตัวกลางในการจัดทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างเอ็มไอแอลเอฟกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ซึ่งได้จัดตั้งเขตปกครองตนเองบังซาโมโรขึ้นในภาคใต้ของฟิลิปปินส์
 
นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ติดต่อมาเลเซีย ขอให้เป็นเจ้าภาพจัดการพูดคุยสันติภาพกับบรรดากลุ่มกบฏในภาคใต้ของไทย ซึ่งนำไปสู่การลงนามในเอกสารฉันทามติทั่วไป เพื่อปูทางสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพต่อไป.

เครดิต  sathitm

ไม่มีความคิดเห็น: