ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
-----------------------------------------------
ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ธีรยุทธ บุญมี เป็นตัวแทนนักศึกษาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่สวนจิตรลดา
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กุมมวลชนกุมไมค์ปราศรัยอยู่บนรถกระจายเสียง
40 ปีผ่านไป ทั้งสองคนกลับมาปาฐกถากันคนละเวที
อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี เก่งในเรื่องการใช้ถ้อยคำ ที่จะทำให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้น
อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เก่งในการใช้ถ้อยคำ ที่เหมาะนำไปรวมเล่มอ่านข้ามปี
ทั้งสองท่านมีดีไปคนละแบบ
และเป็นสองในหลายแบบของ 14 ตุลา ที่ไม่ได้มีอยู่หน้าเดียว
14 ตุลาจึงเป็นหนังสือเล่มใหญ่ ที่คนรุ่นใหม่อาจเห็นแต่ภาพปก
ครั้นเปิดไปข้างในกลับเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย
แม้ในหมู่นักศึกษาเองก็ยังมีทั้งฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษ์
จึงไม่น่าแปลกที่เดือนตุลาปีนี้ จะมีการจัดงานจากคนทั้งสองปีก
เป็นสองปีกที่พยายามนำพาประเทศไทยให้โผบินไปข้างหน้าด้วยสองวิธีคิดใหญ่
ทำให้นกแอร์ลำนี้บินไปได้ไม่ราบรื่นนัก หรืออาจจะมีหยุดพักเป็นช่วงๆ
ถ้าตัดลีลาแห่งถ้อยคำออกเสีย
อาจารย์ธีรยุทธพยายามชี้ให้เห็นความไม่มีธรรมาภิบาลของระบอบทักษิณ
อาจารย์เสกสรรค์พยายามชี้ให้เห็นความไม่เป็นประชาธิปไตยของการโค่นทักษิณ
ผู้เป็นตัวแทนของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ซึ่งจับมือกับชนชั้นล่างและชนชั้นกลางใหม่ผ่านนโยบาย
จนกลายเป็นคู่ต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่าที่อาจารย์ธีรยุทธเรียกว่า พลังอนุรักษ์
ความแตกต่างในการมองปัญหานั้นมีแต่ประเด็นที่ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันก็คือ เรื่องการรัฐประหาร
อาจารย์เสกสรรค์สรุปชัดเจนว่า
“ความผิดพลาดใหญ่หลวงของรัฐประหารปี 49 นั้น มิได้เป็นเรื่องของหลักการเท่านั้นหากยังเป็นเรื่องการประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ด้วย พวกเขามองข้ามการมีอยู่ของมวลชนมหาศาลที่ประกอบกันเป็นชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมือง มองไม่เห็นการมีอยู่ของปัญญาชนและชนชั้นกลางเก่าบางส่วนที่ผูกพันและหวงแหนระบอบประชาธิปไตย มองไม่เห็นศักยภาพในการตอบโต้ของชนชั้นนำใหม่ที่โตมากับทุนนิยมโลกาภิวัตน์เรื่องจึงไม่จบลงง่ายๆ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 50 ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้นความขัดแย้งเรื่องประชาธิปไตยได้ลุกลามลงสู่ระดับมวลชน
และหมิ่นเหม่ต่อการก่อรูปเป็นสงครามกลางเมือง”
สงครามกลางเมืองนี่แหละ ที่นักคิด และปัญญาชนทุกคนหวั่นเกรงมากที่สุด
ในขณะที่อาจารย์ธีรยุทธฟันธงว่า
“รัฐประหารไม่อาจเกิดขึ้นได้แล้วในประเทศไทยเพราะจะมีคนต่อต้านมากขึ้น ไม่มีคนสนับสนุน
ถึงแม้รัฐประหารโดยใช้กำลัง พลังอนุรักษ์ก็ไม่มีทั้งบุคลากร วิสัยทัศน์ กระบวนทัศน์ที่ถูกต้อง
ที่จะนำพารัฐไทยต่อไปได้”
อาจารย์ธีรยุทธสรุปว่า
พลังอนุรักษ์ต้อง remodernize ตัวเองใหม่
ในขณะที่อาจารย์เสกสรรค์เตือนให้ฝ่ายก้าวหน้าเข้าใจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอันเป็นเนื้อดินในจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ที่ประชาธิปไตยอันเป็นของใหม่ต้องฝังราก
อาจารย์ธีรยุทธตั้งคำถามสำคัญต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนั้นว่าการเน้นสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของความมั่นคงทางการเมืองเป็นใจกลางของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และเป็นใจกลางของคุณธรรมอย่างล้นเกินนั้น คล้ายการสุ่มเสี่ยง เพราะนี่เป็นลักษณะเฉพาะของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันจึงควรคำนึงถึงความต่อเนื่องเชิงสถาบันว่า พระมหากษัตริย์องค์ถัดๆ ไป ซึ่งเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจะสามารถดำเนินภารกิจและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้หรือไม่
“ถ้าไม่ได้จะส่งผลสะท้อนกลับอย่างไร”
นี่เป็นหนึ่งในหลากหลายประเด็นใหญ่ จากสองนักคิดไทย ผู้เป็นหนึ่งในหลากหลายหน้า
ของหนังสือที่ชื่อว่า 40 ปี 14 ตุลาคม
ลองหาอ่าน หาชมฉบับเต็มกันเองนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น