สำรวจขนาดแบงก์รัฐโต 6.45 ล้านล้าน หนี้เสียพุ่งมากกว่าแบงก์พาณิชย์สองเท่า “เอสเอ็มอีแบงก์-ไอแบงก์” ต้องฟื้นฟู
หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือที่เรียกว่า “ซูเปอร์บอร์ด” ได้มีการปรับเปลี่ยนกรรมการในหลายๆรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมีรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่จะต้องมีการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน ซึ่งในนั้นมีสถาบันการเงินของรัฐ 2แห่ง คือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ “เอสเอ็มอีแบงก์” และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ “ไอแบงก์”
อย่างไรก็ตามจะด้วยนโยบายประชานิยมในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลหลายๆสมัย ที่ใช้สถาบันการเงินของรัฐเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบาย ส่งผลให้ขนาดของแบงก์รัฐบางแห่งขยายตัวอย่างรวดเร็วและบางแห่งมีปัญหาสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าวรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีขนาดใหญ่ 4 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินหรือแบงก์รัฐ ทั้ง 10 แห่ง จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) แล้วปรากฏว่ามีขนาดเล็กกว่ามาก โดยในปี 2555 สถาบันการเงินของรัฐ 7 แห่ง มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 6.44 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่ารัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินประมาณ 1.5 เท่า โดยมีเงินฝากรวม 5.12 ล้านล้านบาท เงินให้สินเชื่อรวม 4.89 ล้านล้านบาท มีหนี้สินรวม 5.96 ล้านล้านบาท ส่วนของเจ้าของ 4.78 แสนล้าน และกำไรสะสมรวม 259,410 ล้านบาท(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)
โดยสถาบันการเงินภาครัฐทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย 1. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ 3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 4. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ 5. ธนาคารออมสิน 6. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 7. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์
ส่วนอีก 3 แห่งไม่ได้ประกอบธุรกิจธนาคาร ประกอบด้วย 1) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย 2) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และ 3) สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
ด้านผลการดำเนินงานของแบงก์รัฐ พบว่ามีสัดส่วนหนี้เสียมากกว่าระบบธนาคารพาณิชย์เกือบ 2 เท่า โดยข้อมูลของกระทรวงการคลังพบว่าในปี 2555 มีหนี้เสียหรือ NPLs 4.4% ของสินเชื่อทั้งหมด ขณะที่หนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยในปี 2555 มีเพียง 2.3% เท่านั้น แต่เมื่อคิดเป็นเงินแล้ว แบงก์รัฐมีหนี้เสียเพียง 222,248 ล้านบาท น้อยกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีหนี้เสียมูลค่า 254,200 ล้านบาท จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เอสเอ็มอีแบงก์และไอแบงก์มีความเสี่ยงสูงสุด โดยมีหนี้เสียมากถึง 32% และ 20% ตามลำดับ นอกจากนี้ แบงก์รัฐเกือบทุกแห่งมีหนี้เสียสูงกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ โดยเฉลี่ยมากกว่า 2 เท่า (ไม่รวมเอสเอ็มอีแบงก์และไอแบงก์) ยกเว้นธนาคารออมสิน มีหนี้เสีย 1.06% ต่ำกว่าระบบธนาคารพาณิชย์เพียงแห่งเดียว
นอกจากเอสเอ็มอีแบงก์และไอแบงก์จะมีปัญหาหนี้เสียที่สูงมาก ทั้งสองแห่งยังมีปัญหาการกันสำรองเงินเป็นกองทุนเพื่อป้องกันความเสียหายจากสินทรัพย์เสี่ยงของแบงก์ หรืออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ทำให้แบงก์รัฐทั้งสองแห่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ธปท. กำหนดค่า BIS Ratio เอาไว้อย่างน้อย 8.5% หรือทุกๆ สินทรัพย์เสี่ยง 100 บาทจะต้องมีการกันสำรองไว้ 8.5 บาท แต่เอสเอ็มอีแบงก์และไอแบงก์กลับมี BIS Ratio 3.28% และ -2.69% ตามลำดับ ขณะที่ BIS Ratio ของระบบธนาคารพาณิชย์และแบงก์รัฐอื่นๆ มีค่า 16.3% และ 9.9% ตามลำดับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น