PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปิดขุมข่ายธุรกิจ"ม่วงนวล"

ขุมธุรกิจ“อัครพงศ์ปรีชา-ม่วงนวล”คดี“พงศ์พัฒน์” 

เขียนวันที่ 
วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา 20:15 น.
เขียนโดย
isranews

เปิดขุมข่ายธุรกิจ สุดาทิพย์ - ณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา – พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผู้ถูกกล่าวหาคดีอ้างสถาบันเบื้องสูงแสวงหา ปย. -บุกรุกแผ้วถางป่า เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เจ้าของร้านอาหาร – รีสอร์ต 

PIC-akrapongpreecha-27-11-57 1

กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลในข้อหาแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เชื่อมโยงกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีต ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เพิ่มอีก 5 ราย วันที่ 26 พ.ย.57 ได้แก่ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้

(อ่านประกอบ :พลิกปูมหลังลึก 5 ผู้ต้องหา คดีอ้างสถาบันเบื้องสูงเครือข่าย“พงศ์พัฒน์” )

ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล (นามสกุลเดิมอัครพงศ์ปรีชา) พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล สามี ผู้ต้องหาคดีบุกรุกแผ้วถางป่า เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างน้อย 2 แห่ง คือ 

1.บริษัท ศิรินทิพย์ จำกัด จดทะเบียนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด วันที่ 23 มี.ค.49 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ที่ตั้งเลขที่ 999 ชั้น 4 คอนคอร์ส เอฟ หมู่ที่ 1 ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ. สมุทรปราการ ผู้ถือหุ้น 7 คน 3 ใน 7 คน คือ นางสุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา 899 หุ้น นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 300 หุ้น นายโกวิท ม่วงนวล (ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น มิได้ใส่ยศตำรวจ) และ บุคคลในครอบครัวคนใกล้ชิดอีก 4 คน รวม 2,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท 
แจ้งผลประกอบการปี 2556 มีรายได้ 27,272,433 บาท กำไรสุทธิ 565,455 บาท ปี 2555 รายได้ 26,058,858 บาท กำไรสุทธิ 360,919 บาท 

และได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด เมื่อ 25 ส.ค.57 

PIC-อครพงศปรชา-1

ก่อนหน้านี้วันที่ 18 ก.พ.52 สื่อมวลชนฉบับหนึ่งรายงานว่า พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ให้สัมภาษณ์ว่าครอบครัวเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านอนันตธารา ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ร้านดังกล่าวตั้งชื่อตามคำนำหน้าของพี่น้องของภรรยา โดยเป็นการร่วมหุ้นระหว่าง ครอบครัวของภรรยาคือ ปณิดา ณรงค์ และ สุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา 

2.ธุรกิจรีสอร์ตในพื้นที่ หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ. สวนผึ้ง จ. ราชบุรี 

จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อ 5 ก.ย.57 เว็บไซต์สื่อมวลชน แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร http://btknewsonline.blogspot.com/2014/09/thank-you-party.html) ได้รายงานว่า เมื่อ 4 ก.ย.57 มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์และ เกษียณอายุราชการของ ร.ต.ท.ธรรมรัตน์ อภิพัฒน์ธนาโชติ รอง สว.( ป ) ส.ทล. 1 กก.2 นฐ. ที่รีสอร์ตแห่งนี้ มี นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ นายก อบจ.สมุทรสาคร พ ต.อ. โกวิท ม่วงนวล พร้อมภรรยา นาง สุดาทิพย์ ม่วงนวล ร่วมงาน โดยระบุข้อความว่า พ ต.อ. โกวิท ม่วงนวล เอื้อเฟื้อสถานที่ (ดูภาพประกอบ) 

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-1 2

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-2

PIC-ธรกจอครพงศปรชา-3 1

นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า นางสุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา เคยลงประกาศเปิดรับสมัคร พนักงานต้อนรับ/การตลาด/บัญชี จำนวน 5 ตำแหน่ง ผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.โกวิท และ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนให้ประกันตัวไปแล้วโดยให้เหตุผลว่าข้อกล่าวหาของบุคคลทั้งสองมีโทษสถานเบา 

สำหรับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา และ นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา ยังไม่พบชื่อถือหุ้นธุรกิจ 

เท่ากับจนถึงขณะนี้มีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น 

ครั้งแรก ออกหมายจับเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 57 จำนวน 10 ราย 1.พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ 2.พล.ต.ท.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. 3.พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน 4.พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ 5.พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล 6.ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา 7.ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง 8.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง 9.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช 10.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล

ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 57 อีก 2 ราย คือ นายชอบ ชินนะประภา และนางปิยพรรณ ชินนะประภา และครั้งที่สาม ล่าสุด 26 พ.ย.57 จำนวน 5 ราย 

บิ๊กอ๊อดยังมีคนเกี่ยวข้องคดีอีกมาก

ฟีดข่าติดตาม

บิ๊กอ๊อด’โชว์บัญชีส่วย จ่อถอดยศ‘พงศ์พัฒน์’ เด้ง3พตอ.ของบก.รน.


“สมยศ” แถลงโชว์บัญชีส่วยน้ำมันเถื่อน “เสี่ยโจ้” พัวพัน ตำรวจน้ำกับเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วย แย้มมีบันทึกรายการ “รองโส-ผู้กำกับโยะ” เกี่ยวข้อง มียอดสูง 12 ล้านบาท “ประวุฒิ” สั่งเด้งเข้ากรุทันที 3 พ.ต.อ. สังกัด บก.รน. จ่อถอดยศ “พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” กับพวกหมิ่นสถาบันอย่างน้อย 7 คน นครบาลออกหมายจับเพิ่มแก๊งทวงหนี้อีก 5 คน พฤติกรรมอุ้มข่มขู่เจ้าหนี้ลดยอดหลายสิบล้านบาท บังคับพาเข้าบ้านย่านทวีวัฒนา อ้างเป็น “พระอนุชา” เจรจาทวงหนี้ กรมศิลปากรรับของกลางวัตถุโบราณกว่า 20,000 ชิ้นไปตรวจสอบแล้ว ขอเวลา 2 เดือน ชี้ชัดเป็นของจริงหรือของปลอม คะเนบางชิ้นเก่าแก่อายุราว 1,200 ปี


การขยายผลเครือข่ายร่วมกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.รวมถึงขบวนการใช้ตำแหน่งหน้าที่แอบอ้างสถาบันงาบผลประโยชน์กองมหาศาลจากส่วยของธุรกิจผิดกฎหมาย ซื้อขายเก้าอี้แต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่ถูกมองว่า สามารถสร้างมูลค่าขุมทรัพย์นับพันล้านบาทแก่อดีตผู้นำสอบสวนกลาง ยังเป็นที่จับตาของสังคมอย่างต่อเนื่อง


@@ผบ.ตร.เผยโพยส่วย “เสี่ยโจ้”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 28 พ.ย. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แถลงความคืบหน้า เกี่ยวกับส่วยน้ำมันเถื่อนที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.กับพวกว่า ได้รับ ข้อมูลบัญชีส่วย และบัญชีที่มีการจดบันทึกของผู้ต้องหาที่หลบหนีว่า มีการจ่ายเงินให้ใครบ้าง บัญชีเหล่านี้เป็นบัญชีที่ฝ่ายความมั่นคงตรวจยึดมาได้จากบ้าน “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว มีรายละเอียดในการใช้จ่ายเงินทอง มีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ มีการบันทึกถึงผู้การอะไร ผู้กำกับอะไร มีที่เป็นชื่อเล่นอย่างรายการของรองโส รายการของผู้กำกับโยะ และยังรวมถึงหน่วยงานอื่น เช่น ผอ.ปราบปรามทางทะเลหลายหน่วยเข้ามาเอี่ยว

พล.ต.อ.สมยศเผยว่า ทำให้เห็นหลายหน่วยงานเข้ามามีผลประโยชน์และเกี่ยวข้องกับขบวนการน้ำมันเถื่อน ขอเรียนว่า ตนจะรับผิดชอบในส่วนของตำรวจที่ปรากฏชื่ออยู่ในบัญชีนี้ สำหรับชื่อเล่นที่เอ่ยชื่อมา เชื่อว่าใน บก.รน.คงจะทราบดีว่าเป็นใคร ดังนั้น ขอยืนยันว่า ตนมีบัญชีรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องของการค้าน้ำมันเถื่อนจริงไม่ใช่การอุปโลกน์ขึ้นมา แต่รายละเอียดไม่สามารถให้สื่อมวลชนดูได้ ตนจะดำเนินการทำขึ้นมาอีก 2 ชุดส่งมอบให้พนักงานสอบสวนในคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ คือ บก.ป.ที่ดำเนินการด้านสืบสวน และ บช.น.ที่ดำเนินการด้านสอบสวน ใครก็แล้วแต่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องรับผลประโยชน์เกี่ยวกับขบวนการผิดกฎหมาย สมควรที่จะได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย


@@ยอดเงินสูงถึง 12 ล้านบาท

ผบ.ตร.เผยอีกว่า จากการตรวจสอบพบยอดเงินสูงที่สุดอยู่ที่ 12 ล้านบาท มีบันทึกครั้งละ 2 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาบางบันทึกไม่ทราบว่า เป็นของหน่วยงานไหน เช่น คจช. ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายจากการหาข่าวในหน่วยงานต่างๆ เช่น ค่าส่งข่าวในศาล ค่าตั๋วเครื่องบิน อั่งเปา เห็นได้ว่า มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้ หรือที่มีชายฝั่งติดทะเล ทุกอย่างต้องมีการดำเนินการสอบสวนต่อไป ถ้าหน่วยงานไหนมีการร้องขอมาจะดำเนินการส่งบัญชีเหล่านี้ไปให้ ตนยังได้รับการประสานจากทาง ปปง.ให้เร่งรัดคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการน้ำมันเถื่อน แต่ที่ผ่านมาปรากฏว่าหยุดนิ่ง ไม่มีการดำเนินการต่อ ทำให้ ปปง.ไม่สามารถทำงานได้ต่อ ตนจึงได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบสวนดำเนินการเร่งรัดโดยเร็ว และรายงานให้ทราบทุก 15 วัน ตรงนี้ตนไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมเรื่องถึงไม่เดิน ไม่มีความคืบหน้า ผู้ที่รับผิดชอบจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ถ้ายังอยู่เฉยๆ ตนก็ต้องทำอะไรสักอย่าง


@@“ประวุฒิ” ติวเข้มลูกน้อง

ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.ผบช.ก. เป็นประธานประชุมมอบนโยบายแก่ตำรวจในสังกัด บช.ก. ที่ห้องประชุมชั้น 4 บช.ก. ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการพูดคุยในกระบวนการทำงานในสังกัด บช.ก. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการจับผิดใคร ว่ากันตามพยานหลักฐาน ต้องการให้ทุกคนตั้งใจทำงานกอบกู้ภาพลักษณ์ของ บช.ก. จากนี้จะเน้นการปราบปรามกลุ่มมือปืนรับจ้าง บุคคลที่ถูกออกหมายจับ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ป่าไม้ และแก๊งชาวต่างประเทศที่เข้ามากระทำความผิดใน ประเทศไทย โดยจะมีการประเมินผลงานของแต่ละ บก.ในสังกัดในรอบ 1 เดือนว่า มีผลงานเป็นอย่างไร และการประเมินจะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งของ ผบก. แต่ละหน่วยงานด้วย พร้อมยกเลิกชุดเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด


@@เด้ง 3 พ.ต.อ.ตำรวจน้ำ

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผกก. 5 บก.รน. พ.ต.อ.ธนชาติ ศุภวุฒิ ผกก.7 บก.รน. และ พ.ต.อ.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้บังคับการเรือ (สบ 4) กลุ่มงานเรือตรวจการณ์ฯ บก.รน.มาปฏิบัติราชการที่ศปก.บช.ก. เนื่องจากการสอบสวนเบื้องต้น พบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ และเพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใส


@@จ่อถอดยศ “พงศ์พัฒน์” กับพวก

“ขณะเดียวกันยังเตรียมพิจารณาถอดยศ พล.ต.ท.พงศพัฒน์และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับข้อหาหมิ่นสถาบัน และข้อหาอื่นๆ อย่างน้อย 7 คน แต่ต้องรอพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมจะออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง และมีพฤติการณ์ทวงหนี้อีกอย่างน้อย 3 คน ทั้งหมดมีพฤติกรรมควบคุมตัวผู้เสียหายไปไว้ย่านพุทธมณฑล สำหรับทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์พบมีการนำเงินสดบางส่วนออกนอกประเทศไปร่วมลงทุน เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามเส้นทางการเงิน และตรวจสอบทรัพย์สินที่ยังอยู่ภายในประเทศอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวนภายใน 30 วัน เพื่อส่ง ป.ป.ช. แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการโอนย้ายไปเป็นคดีพิเศษ” รรท.ผบช.ก.กล่าวพร้อมยืนยันว่า ตำรวจสอบสวนกลางยังมีขวัญกำลังใจที่ดี และจะกลับมาทำงานเพื่อประชาชนกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา


@@“ศรีวราห์” แจงคดีแก๊งทวงหนี้

ที่ บช.น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. แถลงถึงความคืบหน้าคดีจับกุมนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ กลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ทวงหนี้หน่วงเหนี่ยวกักขังและกรรโชกทรัพย์ โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดแล้วเรียบร้อยแล้ว พนักงาน สอบสวนมีการแจ้งดำเนินคดีเพิ่มเติม ข้อหาตามมาตรา 112 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ และคดีพกพาอาวุธปืน จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาทุกข้อหา


@@มีหมายจับเพิ่มล่าอีก 5 คน

พล.ต.ท.ศรีวราห์อธิบายต่อว่า พฤติกรรมผู้ต้องหาเป็นอย่างไร มีการแอบอ้างสถาบันหรือไม่ และมีความเชื่อมโยง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์อย่างไร ตนเปิดเผยไม่ได้ เพราะอยู่ในสำนวนคดี แต่สั่งการทุก สน.ในสังกัดนครบาลตรวจสอบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเคยก่อคดีมาแล้วอีกหรือไม่ ถ้าพบก็ให้รายงานให้ทราบโดยด่วน จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในท้องที่ สน.วัดพระยาไกร มี 8 คน นำโดย นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และนายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมกับพวกอีก 5 คน พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 5 คนที่ยังหลบหนีแล้วอยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี


@@อุ้มขู่เจ้าหนี้ให้ลดยอด

ด้าน พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา 2 คดี ท้องที่ สน.พระโขนง และท้องที่ สน.วัดพระยาไกร โดยมีนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และนายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมก่อเหตุทั้ง 2 คดี รายละเอียดของคดีท้องที่ สน.วัดพระยาไกร เหตุเกิดเดือน มิ.ย.57 ผู้เสียหายเป็นเจ้าหนี้มูลค่า 100 กว่าล้านบาท กลุ่มผู้ต้องหาไปเจรจาและข่มขู่ผู้เสียหายบังคับให้ลดหนี้ลงเหลือประมาณ 20 ล้านบาท ก่อนพยายามจะไปอุ้มผู้เสียหาย แต่เหยื่อขัดขืน ส่วนคดีท้องที่ สน.พระโขนง กลุ่มผู้ต้องหาไปทวงหนี้ผู้เสียหายมูลค่า 30 ล้านบาทข่มขู่และกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย มีพฤติกรรมรับจ้างทวงหนี้ และบังคับให้ลดหนี้ จากนั้นหักรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะร้อยละ 20-30 ส่วนมีข้าราชการไปเกี่ยวข้องหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบให้ชัดเจน


@@พาค้นบ้านก่อนส่งฝากขัง

ต่อมาเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน และฝ่ายสืบสวน ควบคุมตัวนายชากานต์ ภาคภูมิ ไปค้นบ้านย่านท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. หาหลักฐานเพิ่มเติม จากนั้นควบคุมตัวกลับมาที่ บช.น. ทำแผนประกอบคำรับสารภาพชี้ยืนยันของกลาง ปืน 9 มม. พร้อมกระสุนปืนลูกซองและรถตู้โตโยต้าอัลพาร์ดในการก่อเหตุ ก่อนนำตัวส่งศาลจังหวัดพระโขนงเพื่อฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา กับพวก 3 คน ในข้อหากรรโชกทรัพย์ทวงหนี้, ข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธและทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย หรือเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ร่วมกันมีอาวุธปืน และพาอาวุธปืนไปในเมือง โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และหมิ่นสถาบันเบื้องสูง


@@อ้างพระอนุชาออกโรงเจรจา

วันเดียวกัน ศาลจังหวัดพระโขนงได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยระบุคำร้องพนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2557 เวลา 07.30 น. นายชากานต์ ผู้ต้องหาที่ 5 พร้อมกับพวกรวม 5 คน มาดักรอนายวิทยา ปัญญาทวีกูล ผู้เสียหาย ที่หน้าบ้านพักเลขที่ 869/8 ซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม. ใช้ปืนขู่บังคับไปที่บ้านหลังหนึ่งย่านพุทธมณฑลสาย 3 แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม. พบกับนายณัฐพล ผู้ต้องหาที่ 1 แนะนำตัวเองเป็นพระอนุชาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ แล้วบังคับให้ติดต่อบุคคลที่รู้จักไปเจรจาเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่กับนาย ป. ผู้เสียหายพยายามติดต่อบุคคลผู้ใกล้ชิดให้ไปพบพวกผู้ต้องหาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใกล้วัดศรีเอี่ยม ถนนบางนา-ตราด แต่บุคคลนั้นไม่ยอมออกมาพบผู้ต้องหา จึงควบคุมตัวนายวิทยาไว้ กระทั่งวันที่ 21 มี.ค.57 เวลา 01.05 น. ได้พานายวิทยาออกจากบ้านแล้วปล่อยตัวไป


@@มีสิบเอกทหารร่วมทีม

ระหว่างนั้น พวกผู้ต้องหาลักเอาบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ รวมทั้งเงินสดประมาณ 2,000 บาท ที่เป็นทรัพย์สินของนายวิทยาไปด้วย ภายหลังนายวิทยาเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง กระทั่งขอศาลจังหวัดพระโขนงออกหมายจับผู้ต้องหา ชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องหาที่ 4-5 ให้การปฏิเสธชั้นจับกุม แต่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ออกหมายจับเพิ่มเติม ประกอบด้วย นายชลัช โพธิราช นายวิทยา เทศขุนทด ส.อ.ณธกร ยาศรี ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี และนายณัฐนันท์ ทานะเวชล่าสุดทหารบางคนถูกต้นสังกัดควบคุมตัวไว้แล้ว


@@ปลุกขวัญ บก.ป.อย่าวิตก

ที่ บก.ป.เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. มอบหมายให้ พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.ประชุมข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรของกองปราบทุกนายกว่า 200 คน เพื่อสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนการทำงาน พ.ต.อ.กรไชย กล่าวในที่ประชุมว่า ขอให้ตำรวจทุกนายตั้งใจทำงาน อย่าไปพะวงกับกระแสข่าวที่ออกมาว่าจะมีรายชื่อเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจะวิตกว่าจะมีการโยกย้ายล้างบาง ขอให้ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ ผู้บังคับบัญชาเข้าใจปัญหา เมื่อมีการสั่งการมอบหมายให้ทำงานอะไร ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องทำตาม เพราะเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำแล้วเกินเลยไปเป็นอีกเรื่อง ใครทำอะไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ อย่าไปท้อแท้ หมดกำลังใจ ถ้าหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงจริง ให้คิดว่าเราไม่เหมาะจะทำงานที่นี่ แต่อาจจะเหมาะกับการทำงานที่อื่นมากกว่า


@@รมว.ยธ.รับดีเอสไอพัวพัน

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยธ. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบบุคคลและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เชื่อมโยงในการกระทำผิดร่วมกับกลุ่มอดีต ผบช.ก.ในส่วนการรับสินบนน้ำมันเถื่อนว่า ได้รับรายชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกี่ยวข้องกับนายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ เจียรเสริมสิน นักธุรกิจภาคใต้แล้ว เบื้องต้นให้อธิบดีดีเอสไอตรวจสอบตามขั้นตอน แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้ ดีเอสไอได้ข้อมูลการติดต่อทางโทรศัพท์ของเสี่ยโจ้แล้ว มีรายชื่อบุคคลที่ติดต่อเยอะ มีความหนาพอสมควร มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และพลเรือน ตนจะนัดหมายพบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. นำรายชื่อมาเปรียบเทียบกันว่า มีชื่อใดที่ตรงกันบ้าง พร้อมประสานให้ ปปง.ติดตามเส้นทางทรัพย์สินเพิ่มเติมด้วย


@@กรมศิลป์ตรวจวัตถุโบราณ

ที่หอสมุดแห่งชาติ นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร แถลงข่าวการตรวจสอบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และของมีค่า ของกลางที่ยึดจากเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ว่า ในชั้นแรกพบมีของกลางทั้งส่วนที่เป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ แยกตามวัสดุ มีทั้ง ไม้ หิน โลหะ ภาพวาด และเครื่องถ้วยอีกจำนวนหนึ่ง ทำบัญชีเบื้องต้นไว้ 20,000 กว่าชิ้น ขั้นตอนต่อไปจะส่งเจ้าหน้าที่ไปคัดแยกสิ่งของให้ชัดเจนว่า อะไรเป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพราะมีกฎหมายควบคุมที่แตกต่างกัน จากนั้นจะจัดทำบัญชี ทะเบียนแต่ละชิ้น โดยจะเริ่มคัดแยกวันที่ 1 ธ.ค.นี้ เน้นตรวจพิสูจน์ ชิ้นหลักๆ ของสำคัญชิ้นใหญ่ก่อน และประเมินมูลค่าภายหลัง


@@ขอเวลา 2 เดือนชี้ชัด

อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า เนื่องจากมีของมีค่าจำนวนมาก ต้องใช้คณะกรรมการตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ รวมถึงบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมทำงาน ใช้ความชำนาญ ประสบการณ์ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาแยกแยะบ่งชี้ว่า ชิ้นไหนเป็นของจริง หรือของปลอม ต้องขอเวลาในการพิสูจน์ความชัดเจน ส่งเรื่องให้ตำรวจไปขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้หากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจะนำโบราณวัตถุไปจัดเก็บรักษาเป็นสมบัติแผ่นดิน ที่คลังโบราณวัตถุกลาง อ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ส่วนศิลปวัตถุจะขอให้ตำรวจเก็บไว้ก่อน เพราะมีจำนวนมากเป็นของล้ำค่า


@@คะเนบางชิ้นอายุ 1,200 ปี

“โบราณวัตถุบางชิ้นที่คนทั่วไปไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ และควรอยู่ในศาสนสถาน เช่น เทวรูปหินทราย สันนิษฐานว่า เป็นศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 12 อายุประมาณ 1,200 ปี และพระพุทธรูปไม้ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ส่วนเทวรูปหินทรายที่มีโค้งยึด หากเป็นของจริงจะเป็นมรดกที่มีความเก่าแก่มาก มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 ต้องอยู่ในเทวสถาน หรือปราสาทหินแน่นอน มีทั้ง ในเมืองไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปราสาทหิน เมืองไทย ไม่มีการนำของจริงมาไว้จะเก็บในพิพิธ-ภัณฑสถานแห่งชาติ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบว่าสูญหาย ดังนั้นคาดว่าจะมาจากที่อื่น จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องให้ผู้ครอบครองมาชี้แจง” นายบวรเวทกล่าว


@@บุกโกดังยึดไม้จำนวนมาก

เย็นวันเดียวกัน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.สำราญ ยินดีอารมณ์ ผบก.ภ.จ.นนทบุรี และนายอรรถพล เจริญชันษา ผอ.ป้องกันรักษาป่าและป้องกันไฟป่า กรมป่าไม้ นำกำลังหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นโกดัง เลขที่ 16/21 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สถานที่ซุกซ่อนไม้แปรรูปที่ตามแนวการสืบสวนพัวพัน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.นำมาเก็บไว้จำนวนมาก พบไม้สักไม้ประดู่ และไม้มะค่า 4,500 แผ่น อยู่ในโกดัง และตู้คอนเทนเนอร์ รวมมูลค่า 7,700,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีไม้แกะสลักเทวรูปถูกฝังดินอีกหลายชิ้น พล.ต.ท.ศรีวราห์เปิดเผยว่า ตรวจยึดไม้ทั้งหมดไว้ตรวจสอบหาแหล่งที่มาว่าได้มาอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากไม้ทั้งหมดเป็นไม้แปรรูปแผ่นใหญ่หายาก มีราคาแพง เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเป็นผู้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


อะไรคือเรื่องจริงกรณีจับกำนันเป๊าะของพงษ์พัฒน์

ฟีดข่าว

ติดตาม

เฮ้อ.. มาย้อนดู คดีจับกำนันเป๊าะ ...นี่มันปาหี่ชัดๆ ทุกวันนี้ กำนันเป๊าะ ยังไม่ติดคุกเลย
.....
‘จับกำนันเป๊าะ รวบอำนาจภาคตะวันออก’ อะไรคือเรื่องจริง..


แม้กำนันเป๊าะจะโดนจับเรียบร้อย แต่เรื่องราวของจริงคงไม่ราบเรียบหรือจบง่ายอย่างที่เห็นแน่ๆ ระดับพ่อของรัฐมนตรีในครม.ที่ถือว่าทรงอำนาจในปัจจุบัน ตำรวจใหญ่มาจากไหน คงต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องตามติดกันต่อไปว่า หากนี่คือมาตรฐานตำรวจไทย...คดีอื่นล่ะ! ไปถึงไหน

ใครสั่งจับ “เป๊าะ” เพราะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา จึงไม่แปลกที่จะมีคนสงสัย จนวิพากษ์วิจารณ์ออกมาถึง 3 แนวทางที่คนละเรื่องกันเลย ของเบื้องหลังคดีนี้

ทางที่ 1 เชื่อว่ามีใบสั่งจากฝ่ายการเมืองซีกชินวัตร ให้ดำเนินการบีบสนธยา ตีหัวเข้าพรรคเพื่อไทย แบบเมื่อครั้งปี 2547 ตอนเริ่มคดีกำนันเป๊าะและก็สำเร็จโดยสนธยานำกลุ่มชลบุรีออกจากพรรคชาติไทยมาเข้าบ้านไทยรักไทย ลงสมัครในนามทรท.แม้ชนะเลือกตั้ง ในรัฐบาลทักษิณ 2 ก็ยินดีไม่รับตำแหน่งใดๆ ในครม.แบบเจี๋ยมเจี้ยม เหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดเช่นเดียวกับนายวัฒนา อัศวเหม เมื่อครั้งขึ้นศาลคดีคลองด่าน พยานซีกนายวัฒนาโอดครวญเผยความจริงที่วัฒนาถูกบีบจากทักษิณให้เข้าร่วมพรรคไทยรักไทย โดยเครื่องมือใช้บีบคือ คดีคลองด่าน รอบนี้ก็ดันเห็นกลิ่นแปลกๆแล้วจากหนังสือพิมพ์หัวแดงจัดทั้งสองเล่มที่วิจารณ์ทำนองได้เวลาปรับครม.เอาเก้าอี้คืนจากพลังชล และชาติไทยพัฒนา แบบรู้งาน หรือเตี๊ยมกันมายังไงยังงั้น

ทางที่ 2 เชื่อว่าเป็นการปูทางสู่การฟอกความผิดให้จบกระบวนการในขณะที่ลูกชายยังมีอำนาจในรัฐบาลที่เห็นกฎหมายเป็นแค่อุปกรณ์ทำงาน กลุ่มที่คิดเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำลงไปอีก เมื่อหลังถูกจับกุมก็เข้าไปพักตัวต่อที่รพ. แทนที่จะเป็นห้องขัง ล่าสุดมีการส่งตัวกำนันเป๊าะไปขังที่เรือนจำกลางชลบุรีบ้านเกิด ที่มีอิทธิพลตระกูลคุณปลื้มแทรกทุกอณูในจังหวัด ด้วยข้ออ้างว่า เป็นเรือนจำความมั่นคงสูง ย้ำเพิ่มด้วยการเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษ ให้ลดโทษจากจำคุก 30 ปีมาเหลือน้อยที่สุด ทางนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงแต่ต้องดูกันต่อไปถึงกระบวนการช่วยเหลือของคนในรัฐบาล และถ้าทำเช่นนี้ได้ อีกไม่นานคงจะพบการฟอกความผิดให้บรรดานักโทษเสื้อแดงทั้งหลายในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ขณะนี้หลบนี้อยู่ตามของชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

ทางที่ 3 เชื่อว่าเป็นความห่ามโดยส่วนตัวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) แกนนำชุดจับกุม โดย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ มีประวัติกล้าไม่กลัว และเนื่องจากเป็นคนนอกสายตาผบ.ตร. และร.ต.อ.เฉลิม รองนายกฯ ในทำนองไม่มีอะไรจะเสีย แต่ครั้นจะบอกว่าเหตุใดจึงไม่มีการระแคะระคายไปถึงผู้ใหญ่ให้รู้มาก่อนเลยหรือ ก็ยังฟังดูขัดหูอยู่ หากแนวทางนี้เป็นจริง น่าจะมีปมซ้อนสำคัญอีกปมก็คือ การขัดแย้งภายในระดับผู้ใหญ่ในสตช.เป็นแน่ โดยเฉพาะ รองเฉลิมฯ กับผบ.ตร. จึงทำให้เกิดช่องพลาดขึ้นมาเช่นนี้

หากแต่ไม่ว่าแนวทางใดใน 3 ทางคือเรื่องจริง และไม่ว่าคุณทักษิณจะเป็นคนวางแผนหรือไม่ แต่หลังจากนี้ คุณทักษิณคงนอนหลับไม่สนิทแน่นอน เพราะจบงานนี้ ฝ่ายภาคประชาชนที่จับตาการทำงานของตำรวจ คงเตรียมเช็คบิลตำรวจไทยเรื่องสองมาตรฐานกับคดีวีไอพีสำคัญคดีอื่นแน่นอน

แน่นอนว่ากำนันเป๊าะเป็นนักโทษที่มีความผิด ควรได้รับการลงโทษและต้องชื่นชมนายตำรวจใจกล้าผู้นี้ หากแต่ ผบ.ตร.หรือ
นายตำรวจที่มีอำนาจทั้งหลาย เลือกใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อจัดการตามใจชอบ เลือกปฏิบัติเช่นนี้ หรือไม่ ต้องออกมาตอบคำถามประชาชนและใช้ฝีมือความสามารถจับนักโทษวีไอพีมาลงโทษให้ได้ เพื่อยืนยันความชื่อสัตย์ต่อประเทศชาติของตนเอง โดยเฉพาะพล.ต.ท.คำรณวิทย์ธูปกระจ่าง ผบช.น.เหตุใดจึงไม่จับกุมตัว!คุณทักษิณ ทั้งที่ออกมายอมรับว่าได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายครั้ง กลับได้รับการตอบแทนจากผู้บังคับบัญชาให้ขึ้นเป็นผบช.น จนแต่งตั้งแล้วก็ออกมายืนยันอีกว่า เดินทางไปพบทักษิณอีกเพื่อให้ประดับยศให้

จับนักการเมืองยากแต่ก็จับได้ ถ้าเป็นสมัยยุคก่อนปฏิรูปการเมือง คือก่อน พ.ศ.2535 พฤษภาทมิฬ นับว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยและจะมีได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองคนนั้นหมดอำนาจไปแล้ว ซึ่งก็เป็นความผิดที่ตัดสินเพียงแค่ยึดทรัพย์บางส่วน สาเหตุที่นักการเมืองขณะดำรงตำแหน่งมักรอดพ้นจากคดีทุจริตต่างๆ นอกจากความใกล้ชิดและสัมพันธ์ในเชิงต่อรองกับฝ่ายอำนาจต่างๆ เช่น เจ้าหน้าที่จับกุมของรัฐอย่างตำรวจหรืออัยการ ที่ทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง เหลือเพียงศาลเท่านั้นที่เป็นอิสระ อีกประการก็คือ นักการเมืองอยู่ในสถานะผู้เขียนกฎหมาย อันรวมถึงกฎหมายทุจริตด้วย จึงไม่เคยปรากฏกฎหมายเอาความผิดจากนักการเมืองโดยตรงที่มีลักษณะพิเศษต่างจากข้าราชการจนมาถึงยุครัฐธรรมนูญ 2550 ที่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และเชื่อว่าหาก รธน.ฉบับนี้เขียนโดยนักการเมืองย่อมไม่มีบทบัญญัติทำนองนี้แน่นอน นั่นคือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กระนั้นก็ตาม หากเรื่องทุจริตใครไปถึงชั้นศาลได้ก็นับว่าพลาดจริงๆ อย่างเช่น คดีของเสธ.หนั่น ในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน แม้จะเป็นที่ฮือฮาแต่โทษก็เพียงการพักหรือเว้นว่างทางการเมือง 5 ปี และคดีประเภทนี้ ดูจะลดความศักดิ์สิทธิ์ลงเมื่อตอนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ โดนคดีนี้เช่นเดียวกัน แต่รอด ด้วยวาทะเด็ดว่าบกพร่องโดยสุจริต ส่วนคดีของนักการเมืองอันรวมถึงกลุ่มทุน ที่เป็นคดีทุจริตจริงๆและถือว่าพลาดให้โดนดำเนินคดี แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม

กลุ่ม 1 คดีที่ผู้ต้องหาหนีคดีตั้งแต่ต้น หวังหมดอายุความ

ด้วยความรู้ไวว่า โดนแน่นอน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามผู้ต้องหาที่เป็นนักการเมือง หรือกลุ่มทุนใกล้ชิดนักการเมือง ก็หลบหนีไปต่างประเทศและไม่ยอมไปขึ้นศาลตั้งแต่ต้น ซึ่งหากครบกำหนดตามอายุความโดยไม่โดนจับก็จะรอดพ้นจากความผิด อย่างกรณีนายวัฒนา อัศวเหม คดีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย จ.สมุทรปราการได้หลบหนีออกจากประเทศตั้งแต่ปี 2551 เช่นเดียวกับ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่เคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์ หนีคดีไปต่างประเทศจนคดีหมดอายุความจึงกลับมา ปิ่น จักกะพาก อดีตกก.ผู้จัดการใหญ่บริษัท เอกธนกิจ จำกัด(มหาชน)ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ 2,127 ล้านบาท ได้กลับมาเมืองไทยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังคดีหมดอายุความเมื่อเดือน ก.พ.2555 ยกเว้น ราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ บีบีซี. ที่พยายามทำให้เข้าเงื่อนไขคือหมดอายุความ จนทางการไทยต้องใช้เวลากว่าสิบปีจึงสามารถจับตัวมาดำเนินคดีในประเทศได้ ซึ่งเฉียดฉิวก่อนหมดอายุความฟ้องศาล

กลุ่ม 2 นักการเมืองที่สู้คดีก่อนจะถูกลงโทษ

นายรักเกียรติ สุขธนะที่เคยต้องโทษจำคุกคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข แต่เมื่อแพ้คดีก็เข้ารับโทษที่เรือนจำกลางอุดรธานีโดยดี จนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 ได้รับลดโทษเหลือโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน 17 วัน หลังพ้นโทษก็บวชเป็นพระจนถึงทุกวันนี้

แต่คนนี้สิ! พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาเมื่อตุลาคม 2551 ตัดสินจำคุก เป็นเวลา 2 ปี ในคดีประมูลซื้อทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาฯ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 772 ล้านบาท คดีนี้มีความแรงขึ้นไปอีกชั้นด้วยการสู้คดีของคุณทักษิณ ด้วยถุงขนม 2 ล้าน อันถือเป็นพฤติกรรมที่ย่ามใจในอำนาจและอาจบ่งบอกสะท้อนถึงการรอดพ้นคดีต่างๆ ในอดีตหรือไม่ กับการใช้เงินในการสู้คดี แต่ในที่สุดที่ศาลไม่รับเงินจนเป็นเรื่องเป็นราวออกมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนหนุนหลังอยู่ ได้ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศแล้วถือโอกาสหลบหนีคดี โดยไม่ยอมมารายงานตัวตามกำหนดวันที่ 11 ส.ค. 2551 แต่ศาลก็ได้ตัดสินคดีไปแล้วตามที่กล่าวในตอนแรก ศาลที่ว่าก็คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการแก้บทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายถ้าจะมีใครโยง กำนันเป๊าะกับ คุณทักษิณ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ต้องเทียบเคียงแต่อย่างใด เนื่องจากมันคือ
เรื่องเดียวกันตั้งแต่ต้น เพราะกำนันเป๊าะกว่าจะขึ้นเป็นใหญ่ในภาคตะวันออกได้ก็เที่ยวไล่ปราบเจ้าพ่อทั่วภาคตะวันออกกว่าตนเองจะได้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวครอบคลุมทุกสัมปทานในภาคตะวันออกรวมทั้งงานรับเหมาต่างๆ ของทางราชการ ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามีรายเดียวเท่านั้นที่ผูกขาดก็คือ บริษัท บางแสนมหานคร แต่ต้นเหตุที่ทำให้กำนันเป๊าะหมดอำนาจกลับมาจากคดีฆ่ากำนันยูรซึ่งอาจถือว่าเป็นความขัดแย้งระดับเล็กน้อยเท่านั้น ของกำนันเป๊าะกับศัตรูเมื่อเทียบกับคู่ขัดแย้งอื่นๆ ฉันใดฉันนั้น กระบวนการไล่บี้กำนันเป๊าะก็ไม่ธรรมดาตั้งแต่ต้น เหตุเพราะคนที่ปราบนั้นชื่อทักษิณ และอ้างว่าใช้นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล แทนคำว่าเลือกปฏิบัติในครั้งนั้นมีเป้าหมายในอดีตที่แท้จริงนอกจากคุมพื้นที่การเมืองภาคตะวันออกเสียเอง กับธุรกิจยักษ์ใหญ่แถวจอมเทียนสัตหีบ หรือไม่

มาพ.ศ.นี้ ก็เช่นกัน ไม่ว่าใครคือคนทำแต่หลังจบงานนี้การเมืองชลบุรีจาก3ขั้วจะเหลือ2ขั้วทันที และจริงหรือไม่ที่พี่ชายนายกฯกำลังเล็งผลประโยชน์ก้อนใหม่ที่แหลมฉบัง แต่ประเด็นก็มีจุดเปลี่ยนอยู่ที่ว่าตอนนี้คุณทักษิณก็มีคดีติดตัวแล้ว และยุทธการจับกุมกำนันเป๊าะรอบล่าสุดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตำรวจดีมีจริง เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่า “กรรมย่อมหนีไม่พ้น”

“คนผู้หนึ่งตอนหนีเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเฟ้นทางราบเรียบ มักเข้าใจว่าหากหลบหนีตามเส้นทางกันดาร บุคคลอื่นยากไล่ล่าตามทัน”

(โกวเล้ง จากเรื่อง จับอิดนึ้ง)

รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ
รูปภาพของ แก้มยุ้ย รักเธอจริงๆนะ

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สถานการณ์28พ.ย.57

Jab28Nov14
//////////
พงศพัฒน์
ผกก.สน.พระโขนง เผย เตรียมเบิกตัว 5 ผู้ต้องหาเอี่ยว อดีต ผบช.ก. ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระโขนงบ่ายวันนี้
พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในวันนี้ (28 พ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง เตรียมเบิกตัว 5 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุแอบอ้างสถาบันฯ มีการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีต ผบช.ก. ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระโขนงในช่วงบ่ายวันนี้ (28 พ.ย.)
หลังเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย มาทำการสืบสวนสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพิ่มเติม และได้คุมตัวกลับไปฝากขังที่ สน.ท่องหล่อ 1 ราย สน.ลุมพินี 1 ราย สน.ท่าเรือ 1 ราย สน.บางโพงพาง 1 ราย และ สน.วัดพระยาไกร อีก 1 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีการคุมตัวไปฝากขังที่ศาลแขวงพระโขนงไม่เกิน 13.00 น. ของวันนี้แน่นอน
-----------------
บรรยากาศก่อนฝากขัง 5 ผู้ต้องหา เอี่ยว อดีต ผบช.ก. ที่ ศาล จ.พระโขนง เป็นไปอย่างเรียบร้อย ด้าน ตร. เผย แยกคุม 5 ผู้ต้องหาไว้คนละ สน.
ความเคลื่อนไหวที่ศาลจังหวัดพระโขนงเป็นไปอย่างเรียบร้อย มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักปักหลักติดตามความเคลื่อนไหวกันอย่างใกล้ชิด หลังเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ประกอบด้วย นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ มาขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนงฝากขังในวันนี้ เวลา 13.30 น.

ด้าน พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยว่า ผู้ต้องหา ทั้ง 5 คน หลังจากถูกควบคุมตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อหา คือ
ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่มีเหตุอันควรและพกพาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้ต้องหา ทั้ง 5 ราย ได้ถูกควบคุมตัวแยกตาม สน. ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย สน.ทองหล่อ สน.ลุมพินี สน.ท่าเรือ สน.บางโพงพาง และ สน.วัดพระยาไกร

จากนั้น ในช่วงบ่ายวันนี้ พนักงานสอบสวนแต่ละ สน. จะคุมตัว 5 ผู้ต้องหา มาขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนงฝากขังในผลัดแรก เป็นจำนวน 12 วัน
--------------
ผบ.ตร. โชว์รายชื่อ ตร.พันส่วยน้ำมันเถื่อน มี DSI สั่งสอบ พบจ่ายส่วยสูงถึง 12 ล้าน ยันเอาผิด ด้าน ปปง. ยันพร้อมเร่งสืบกรณีนี้โดยเร็ว

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำเอกสารบัญชีรายชื่อข้าราชการตำรวจ/ หน่วยงาน/ กลุ่มบุคคล จำนวน 2 เล่ม มีความหนากว่า 100 หน้า ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจากการ
เรียกรับผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันเถื่อนจังหวัดภาคใต้ ที่ยึดได้จากบ้านพักของ นายสหชัย เจียรเสริมศิลป์ หรือ เสี่ยโจ้ ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางในภาคใต้ และเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีอยู่ในขณะนี้
โดยในเอกสารมีรายชื่อทั้งชื่อจริงและชื่อย่อ รวมถึงการแจกแจงรายละเอียดการจ่ายเงินให้กับบุคคลและหน่วยงาน ระบุ เช่น ผอ.ปราบปรามทางทะเล/ ผกก.โย๊ะ/ รอง ผกก.โส ตลอดจนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นต้น ทั้งนี้ ผบ.ตร. ยืนยันว่า จะตรวจสอบในส่วนของข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าอยู่ในสังกัดกองบังคับการตำรวจน้ำ มีการจ่ายส่วยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มียอดเงินที่เรียกเก็บสูงสุดถึงครั้งละ 12 ล้านบาท นอกจากนี้ ผบ.ตร. ระบุ จะสั่งการให้ตรวจสอบย้อนหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากพบว่ามีผู้บังคับบัญชาคนก่อนหน้านี้เกี่ยวข้อง จะดำเนินการทางวินัยและอาญา ส่วนเอกสารบัญชีรายชื่อจะสำเนาเพิ่ม 2 ชุด เพื่อส่งมอบให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล สรุปสำนวนคดี และกองบังคับการปราบปราบ เพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป

ส่วนกรณีที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เคยขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการสืบสวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่เกิดความล่าช้า ยืนยันว่า จะเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว พร้อมให้รายงานผลให้ทราบทุก 15 วัน
------------
ระทึก! ไฟไหม้โรงงานพลาสติกขนาดใหญ่ ย่านพระราม 2 บึ้มสนั่น ไม่มีคนเจ็บหรือเสียชีวิต - เจ้าหน้าที่เร่งดับ
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เกิดเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตพลาสติกขนาดใหญ่ในบริเวณพระราม 2 ซอย 44 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยขณะนี้ เปลวไฟได้โหมลุกลามเผาโรงงานดังกล่าวอย่างรุนแรง พร้อมกับมีเสียงระเบิดออกมาเป็นระยะ ซึ่ง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังเร่งเข้าทำการดับเปลวไฟที่กำลังลุกโหมกระหน่ำอยู่
ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอย่างใด หากเพลิงได้สงบลงแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะทำการสืบหาเบาะแสการเกิดเพลิงไหม้และทำการคำนวณความเสียหายทั้งหมดอีกครั้ง
------------
ผบก.น.5 เผย ศาลออกหมายจับเพิ่ม 5 รายเอี่ยวเครือข่าย อดีต ผบช.ก. เจ้าหน้าที่เร่งติดตาม

พ.ต.อ.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.) ศาลอาญารัชดาภิเษก อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 5 ราย หลังมีพฤติกรรมขู่กรรโชก โดยใช้อาวุธกับเจ้าหนี้เพื่อให้ลดจำนวนหนี้จาก 100 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท โดยผู้เสียหายได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับนั้น เป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา/ นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา/ นายชากานต์ ภาคภูมิ เครือข่ายของ อดีต ผบช.ก. ที่ก่อเหตุในพื้นที่ สน.พระโขนง และถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบ
-------------------
ตร. นำ 5 ผู้ต้องหา เอี่ยว อดีต ผบช.ก. มาฝากขังที่ ศาล จ.พระโขนง แล้ว ค้านการประกันตัว ผู้ต้องหารับสารภาพทั้งหมด
ความเคลื่อนไหวที่ศาลจังหวัดพระโขนง พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ สน.ลุมพินี และ สน.ท่าเรือ ควบคุมตัว นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ผู้
ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มาขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรก เป็นเวลา 12 วัน เมื่อเวลา 12.20 น. ด้าน นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ พนักงานสอบสวน สน.บางโพงพาง และ สน.วัดพระยาไกร ได้คุมตัวผู้ต้องหามาฝากขังเวลา 12.31 น.

ด้านข้อหาของผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ข้อหา ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ร่วมกันลักทรัพย์, หมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยพนักงานสอบสวนขัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และผู้ต้องหา ทั้ง 5 รายให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา

สำหรับบรรยากาศ มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักปักหลักติดตามความเคลื่อนไหวบริเวณด้านหน้าอย่างใกล้ชิด
-----------
ผบก.น.5 เผย ออกหมายจับเพิ่มอีก 5 ราย คดีพงศ์พัฒน์และพวก หลังพบขู่กรรมโชกทรัพย์

พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 เปิดเผยว่า ศาลอาญารัชดาภิเษก อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 5 ราย หลังมีพฤติกรรมขู่กรรโชก โดยใช้อาวุธกับเจ้าหนี้เพื่อให้ลดจำนวนหนี้ จาก 100 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท โดยผู้เสียหายได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับนั้น เป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกับ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายชากานต์ ภาคภูมิ เครือข่ายของ อดีต ผบช.ก. ที่ก่อเหตุในพื้นที่ สน.พระโขนง และถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบ
--------------
โฆษก ตร. มีคำสั่งให้ 3 ผกก.ตร.น้ำ เอี่ยวส่วยน้ำมันเถื่อนมาปฏิบัติ ราชการที่ ศปก.ตร. - จ่อถอดยศ "พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์" กับพวก

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผู้กำกับการ 5/ พ.ต.อ.สมชาติ ศุภวุฒิ ผู้กำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ และ พ.ต.อ.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้บังคับการเรือจังหวัดชลบุรี ให้มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เนื่องจากสอบสวนเบื้องต้นพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ภาคใต้ และเพื่อให้การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างโปร่งใส

พร้อมยอมรับว่า เตรียมพิจารณาถอดยศ พล.ต.ท.พงศพัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายตำรวจที่เกี่ยวข้องและมีการจับกุมดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบัน และข้อหาอื่น ๆ อย่างน้อย 7 คน แต่ต้องรอพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมเตรียมพิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องและมีพฤติการณ์เดียวแก๊งทวงหนี้เดียวกับผู้ต้องหา 5 ราย ที่ถูกนำตัวฝากขังต่อศาลในวันนี้อีกอย่างน้อย 3 คน ซึ่งทั้งหมดมีพฤติกรรมควบคุมตัวผู้เสียหายไปไว้ย่านพุทธมณฑล เพื่อข่มขู่ทวงหนี้
---------------
คืบเหตุไฟไหม้โรงงานย่านพระราม 2 ชี้เพลิงยังไม่สงบ แต่คุมเพลิงในวงจำกัดแล้ว คาดสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร เจ้าหน้าที่เร่งดับ
พ.ต.ท.สุทศ รุ่งโรจน์ สารวัตรป้องกันปราบปราม สน.บางมด เปิดเผยถึงคืบหน้า หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตพลาสติกขนาดใหญ่ของ บริษัท ไทยโพลี พลาสแพ็ค จำกัด ในบริเวณพระราม 2 ซอย 44 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ ซึ่งทำได้เพียงแค่สกัดเพลิงไว้ให้อยู่ในวงจำกัดเพียงเท่านั้น หากเมื่อใดเปลวเพลิงได้สงบลงแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งเข้าทำการตรวจสอบถึงความเสียหายอีกครั้งและจากผลกระทบในเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ส่งผลทำให้บ้านเรือนของประชาชนบริเวณใกล้เคียงเสียหายไปแล้ว 2หลัง

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ คาดว่า สาเหตุเบื้องต้นของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ น่าจะมาจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ได้ทยอยเข้ามาในพื้นที่ เพื่อทำการเร่งดับเปลวเพลิงให้ได้โดยไว
--------------
โฆษก ตร. เผย "พงศ์พัฒน์" นำเงินลงทุนต่างประเทศ ชี้ เร่งสอบเส้นทางเงิน เชื่อ ยังซุกอีก สรุปสำนวนส่ง ป.ป.ช. เอาผิด 30 วัน

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์  อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พบว่า มีการนำเงินสดบางส่วนออกนอกประเทศไปเพื่อร่วมลงทุน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามเส้นทางทางการเงิน และทรัพย์สินที่ยังอยู่ภายในประเทศ ซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ทางพนักงานสอบสวนจะเร่งสรุปสำนวนคดีภายใน 30 วัน เพื่อส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบ พร้อมระบุยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการโอนย้ายคดีดังกล่าวไปเป็นคดีพิเศษแต่อย่างใด

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวยอมรับว่า กรณี พ.ต.อ.ชาตรี รุ่งดำรงค์ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ที่ยื่นใบลาออกจากราชการ ถือว่า เป็นสิทธิส่วนตัว สามารถทำได้ และหากจะกลับเข้ารับราชการอีกก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น เชื่อได้ว่าสาเหตุที่ลาออกครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวก ถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน แต่ส่วนตัวของ พ.ต.อ.ชาตรี ยังไม่พบความผิด หรือเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว
-------------
อธิบดีกรมศิลปากร เผย มีการตั้งกรรมการตรวจวัตถุโบราณของ อดีต ผบช.ก. ขึ้นมา 1 ชุด ชี้เริ่มคัดแยกวันที่ 1 ธ.ค.นี้ คาดเสร็จภายใน 1 - 2 เดือน
นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร แถลงผลการร่วมตรวจสอบและประชุมหารือเกี่ยวกับวัตถุโบราณต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้จากการกระทำความผิดของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ กับพวก ว่า เบื้องต้น จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมา 1 ชุด เพื่อทำการตรวจสอบคัดแยกวัตถุโบราณทั้ง 2 หมื่นชิ้น ว่า เป็นศิลปะวัตถุ และโบราณวัตถุมากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นจะมีการตรวจสอบหาวัตถุที่บุคคลสามารถครอบครองได้ และครอบครองไม่ได้ออกจากกัน เพื่อง่ายต่อการหาแหล่งที่มาของวัตถุแต่ละชิ้น รวมทั้งมีข้อกฎหมายที่ใช้ควบคุมโบราณวัตถุแต่ละประเภทแตกต่างกัน ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะเริ่มทำการคัดแยก ในวันที่ 1 ธันวาคม นี้ เป็นต้นไป และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 - 2 เดือน นี้

ด้านมูลค่าของวัตถุทั้งหมด ยังไม่สามารถระบุได้ต้องรอให้กรรมการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะราคาของวัตถุโบราณแต่ละชิ้นจะขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้ซื้อด้วย และหากพบว่าวัตถุโบราณชิ้นใดเป็นของต่างประเทศ ก็จะมอบคืนแก่ประเทศนั้นไป ด้านการนำเข้ามาในประเทศ หรือการได้มาด้วยการฟอกเงินนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไป

สำหรับโบราณวัตถุ ทางเจ้าหน้าที่จะได้เก็บไว้ที่กรมศิลปากร จนกว่าคดีจะสิ้นสุด ด้าน ศิลปะวัตถุ จะมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยหาที่เก็บต่อไป
-----------------
ผบก.น.5 เผย ผู้เสียหาย เข้าแจ้งความคดี 5 ผู้ต้องหาเอี่ยว อดีต ผบช.ก. แล้ว ด้านศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมหมดแล้ว

พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา 2 คดี ท้องที่ สน.พระโขนง และท้องที่ สน.วัดพระยาไกร โดยมี นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมก่อเหตุทั้ง 2 คดี รายละเอียดของคดี ท้องที่ สน.วัดพระยาไกร เหตุเกิดเดือน มิ.ย. 57 ผู้เสียหายเป็นเจ้าหนี้มูลค่า 100 กว่าล้านบาท กลุ่มผู้ต้องหาก็ไปเจรจาและข่มขู่ผู้เสียหายบังคับให้ลดหนี้ลงเหลือประมาณ 20 ล้านบาท ผู้ต้องหาพยายามจะไปอุ้มแต่ผู้เสียหายขัดขืน ส่วนคดีท้องที่ สน.พระโขนง กลุ่มผู้ต้องหาไปทวงหนี้ผู้เสียหายมูลค่า 30 ล้านบาท โดยข่มขู่และกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมรับจ้างทวงหนี้ และบังคับให้ลดหนี้ จากนั้น ก็หักรายได้เป็นเปอร์เซ็นต์ อาจจะร้อยละ 20-30 ส่วนผู้ต้องหามีข้าราชการไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบให้ชัดเจน

พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข ผกก.สน.วัดพระยาไกร กล่าวถึงศาลขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมว่า หลังจากศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว แต่ฐานความผิดในข้อหามาตรา 112 คดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากปฏิวัติรัฐประหาร พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร จึงต้องไปขออำนาจศาลทหารกรุงเทพ ออกหมายจับผู้ต้องหา ส่วน นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และ นายชากานต์ ภาคภูมิ พนักงานสอบสวนได้ประสาน สน.พระโขนง อายัดตัวไว้ดำเนินคดีต่อไปผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่ออกหมายจับเพิ่มเติมนั้น 1 ใน 5 เป็นทหารยศจ่า ล่าสุด ต้นสังกัดควบคุมตัวเอาไว้แล้ว
----------
ตร.แถลง คืบหน้ากรณีจับกุม 5 ผู้ต้องหาเอี่ยว อดีต ผบช.ก. เผย ผู้ต้องหารับสารภาพทุกกรณี ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาครบทุกคนแล้ว

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. แถลงถึงความคืบหน้าคดีจับกุม นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ กลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันฯ เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ทวงหนี้หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดแล้วเรียบร้อยแล้ว พนักงานสอบสวน มีการแจ้งดำเนินคดีเพิ่มเติม ข้อหาหมิ่นสถาบัน (ม.112) และคดีพกพาอาวุธปืน จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาทุกข้อหา รวมทั้งเคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวในท้องที่ สน.วัดพระไกร ด้วย

ซึ่งทั้ง 2 คดีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกรรโชก โดยใช้กำลังและอาวุธ จำนวนเงินก็สูงพอสมควร ส่วนพฤติกรรมผู้ต้องหาเป็นอย่างไร มีการแอบอ้างสถาบันหรือไม่ และมีความเชื่อมโยงกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ อย่างไรนั้น ขอไม่ได้เพราะอยู่ในสำนวนคดี ตนได้สั่งการทุก สน.ในสังกัดนครบาล ตรวจสอบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเคยก่อคดีมาแล้วอีกหรือไม่ ถ้าพบก็ให้รายงานให้ทราบโดยด่วน

ซึ่ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวด้วยว่า จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในท้องที่ สน.วัดพระยาไกร มีจำนวน 8 คน โดยมี นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ร่วมพวกอีก 5 คนก่อเหตุ พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี
----------------
รรท.ผบช.ก. เรียกประชุม ผกก. - ผบก.สอบสวนกลาง สั่งการ 1 เดือน ทำงานกู้ชื่อเสียงหน่วย ระบุ ขวัญและกำลังใจยังดี

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เรียกประชุมตำรวจจากทุกกองบังคับการในสังกัด บช.ก. ตั้งแต่ระดับผู้กำกับการถึงผู้บังคับการ เข้าร่วมประมาณ 160 นาย หลัง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายตำรวจระดับสูงในสอบสวนกลาง ถูกให้ออกจากราชการ และอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหาแอบอ้างสถาบันฯ แสวงหาผลประโยชน์มิชอบ เรียกรับส่วย ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ในการประชุมมอบนโนบายได้พูดเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แต่ไม่ได้แจงในรายละเอียดการดำเนินคดี โดยได้ย้ำว่าหลังจากนี้ไป บช.ก. ต้องทำงานเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของสอบสวนกลาง ที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต ซึ่ง กองปราบปราม มีชื่อจับกุมทำคดีที่ไม่มีใครทำได้มาตลอด แต่หลัง ๆ ผ่อนลงไป จากนี้ไปให้ทุกกองบังคับการไปเขียนแผนการดำเนินงาน (action plan) ในระยะเวลา 1 เดือน คือ ภายในเดือนธันวาคม นี้ จะดำเนินการอย่างไรบ้าง ทั้งด้านการดำเนินการจับกุม ป้องปราบ คืนความสุขให้ประชาชน ซึ่ง บช.ก. ไม่ได้ทำในระยะที่ผ่านมาพร้อมทั้งให้ไปติดตามการทำงานการปราบปรามมือปืนรับจ้าง การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งรัสเซีย แก๊งโคลัมเบีย แก๊งเอทีเอ็ม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งค้าทรัพยากรธรรมชาติ ค้าน้ำมัน โดยให้ประชาชนแจ้งเบาะแสมาได้ผ่านสายด่วน โทร.1599
------------------
//////
สนช.ถอดถอน
---------
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เตรียมพิจารณาวาระถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" วันนี้ ปมทุจริตโครงการรับจำนำข้าว 10.00 น.

บรรยากาศการรักษาความปลอดภัยที่รัฐสภา เช้านี้เป็นไปอย่างเข้มงวด เนื่องจาก มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในเวลา 10.00 น. โดยมีระเบียบวาระการประชุมเรื่องด่วน พิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีทุจริตโครงการจำนำข้าว ทั้งนี้ จะพิจารณา 2 เรื่องหลัก คือ การกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดีของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา และการพิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหา (ถ้ามี) ซึ่งเป็นตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ข้อ 155
-----------
"ยิ่งลักษณ์" ส่งทีมทนายขอเพิ่มพยานหลักฐาน ย้ำ ไม่ผิด ขอหารือเจ้าตัวก่อน 9 ม.ค. มาเองหรือไม่
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมชี้แจงแทนต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หลังจากได้ยื่นหนังสือขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน จำนวน 72 ฉบับ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่หลักฐานใหม่ เคยยื่นให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว แต่ไม่ได้นำเข้าพิจารณาในกระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ทั้งนี้ ไม่กังวลที่ประชุมจะไม่อนุญาตเหมือนกรณี นายนิคม ไวยรัชพานิช พร้อมมั่นใจว่า หาก สนช. ได้เห็นพยานเอกสารจะเห็นว่าการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ไม่ได้ปล่อยให้เกิดการทุจริต จึงเชื่อว่าที่ประชุมจะให้ความเป็นธรรมกับอดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนการที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มาด้วยตัวเองวันนี้ เนื่องจากเป็นเพียงการชี้แจงขอเพิ่มพยานหลักฐานเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากในวันที่ 9 มกราคม 2558 สนช. นัดเป็นวันแถลงเปิดสำนวนคดี ต้องกลับไปหารืออีกครั้ง ว่าจะมาหรือไม่
---------
ที่ประชุม สนช. เคาะวันแถลงเปิดสำนวนคดีถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" 9 ม.ค. 58 "พรเพชร" แจงข้อโต้แย้ง ยัน มีอำนาจตาม รธน.

บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่วาระการพิจารณาถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามวิป สนช. ให้วันที่ 9 มกราคม 2558 เป็นวันแถลงเปิดสำนวนคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ ประธานได้ชี้แจงข้อโต้แย้งที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นมา 2 ประเด็น คือ สนช. กระทำโดยปราศจากอำนาจหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่า มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ที่กำหนดให้ สนช. มีหน้าที่เสมือนวุฒิสภา จึงมีอำนาจถอดถอน และ สนช. เลือกปฏิบัติหรือไม่ เมื่อเทียบเคียงกับสำนวนของนายนิคม ไวยรัชพานิช และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นสำนวนที่ ป.ป.ช. ส่งเรื่องมาก่อนมีรัฐธรรมนูญชั่วคราว แต่เมื่อมี สนช. ก็ได้ส่งสำนวนกลับไป ป.ป.ช. พิจารณาความผิดซึ่งยังคงยืนยันความผิดเดิม ส่วนสำนวน นางสาวยิ่งลักษณ์ ส่งเรื่องมาหลังมี สนช. แล้ว จึงไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ เพียงทำตามรัฐธรรมนูญ
------------
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาทนายความ "ยิ่งลักษณ์" ขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน 72 รายการ

การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ล่าสุด อยู่ในช่วงการพิจารณาขออนุญาตเพิ่มเติมพยานหลักฐานของทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยประธานที่ประชุม
ได้นำหลักฐาน 72 รายการ ของทีมทนายความแจกให้สมาชิกตรวจดู ด้าน นายสมชาย แสวงการ ระบุ ภายหลังตรวจสอบเอกสาร ขอให้จัดเอกสารเป็น 8 กลุ่ม จาก 72 รายการ เนื่องจากเป็นเอกสาร เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาของสมาชิก ซึ่งจะหมายถึงการลงมติต้องลงมติ 8 ครั้ง ในการเห็นชอบแต่ละรายการ โดยที่ประชุมไม่มีความเห็นแย้งและอนุญาตให้ใช้หลักเกณฑ์ของ นายสมชาย ทั้งนี้ ที่ประชุมให้ทีมทนายความได้เข้าชี้แจง โดย นายนรวิชช์ หล้าแหล่ง ยอมรับว่า หลักฐานทั้ง 72 ราย เป็นหลักฐานเก่าที่เคยยืนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว แต่ไม่ได้มีการหยิบยกมาพิจารณา เพราะในคำวินิจฉัยไม่ได้มีเหตุผลในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้ครบ ซึ่งในหลักฐานมีรายละเอียดต่าง ๆ แล้ว
--------------------
"แก้วสรร" ยื่นหนังสือ "สุรชัย" เปิดเพจลงชื่อผู้ไม่ยอมรับความเสียหายรับจำนำข้าว ก่อนเสนอนายกฯ ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง

กลุ่มไทยสปริง นำโดย นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วย นายขวัญสรวง อติโพธิ ยื่นหนังสือต่อ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 เพื่อมุ่งรณรงค์รวบรวมชื่อผู้ไม่ยอมรับความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวสมัย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ทั้งนี้ นายแก้วสรร ยังระบุว่า อยากให้เข้าถึงประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่เห็นด้วยมาร่วมลงชื่อจนถึงวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งได้ทำเพจเฟซบุ๊ก สนับสนุนนายกตู่ เรียกร้องค่าเสียหายจำนำข้าว จากรัฐบาลปู (สตป.) โดยใช้ชื่อว่า "ตู่ฟ้องปู"  และจะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดส่งถึงนายกรัฐมนตรี ต่อไป

นอกจากนี้ ยืนยันว่า ขอใช้สิทธิ์แสดงความคิดเห็นของประชาชน เนื่องจากไม่ยอมให้รัฐโยนความเสียหายจากการทำงาน โดยไม่รับผิดชอบของนักการเมืองมาตกเป็นภาระภาษีของประชาชนอีกต่อไป ย้ำว่าการรณรงค์ของ สตป. นั้น จะกระทำเพียงในเพจเฟซบุ๊กเท่านั้น โดยจะไม่มีการชุมนุมอย่างเด็ดขาด
----------------
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติไม่ให้ "ยิ่งลักษณ์" เพิ่มพยานหลักฐานคดีถอดถอน
บรรยากาศการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ล่าสุด นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานการประชุม สั่งปิดการประชุมแล้ว ภายหลังพิจารณาสำนวนถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทีมทนายความได้ขออนุญาตเพิ่มเติมพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหา 72 รายการ ซึ่งทนายความระบุว่าแม้ไม่ใช่หลักฐานใหม่ แต่ ป.ป.ช. ไม่ได้หยิบยกมาพิจารณา จึงติดใจในประเด็นนี้

ด้าน นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ชี้แจงว่า เอกสารหลักฐานที่ขอเพิ่มเติมนั้นรวมอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช. 28 รายการแล้ว พร้อมเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่เคยเดินทางมาชี้แจงกับ ป.ป.ช. แม้แต่ครั้งเดียว จากนั้น ประธานการประชุมจึงให้ทีมทนายความชึ้แจงต่อในส่วนเอกสารที่ไม่มีในสำนวน จำนวน 44 รายการ และขอมติที่ประชุม จนท้ายที่สุดมีมติไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมพยานหลักฐานตามที่ทนายความร้องขอ
-----------------
"ทนายยิ่งลักษณ์" ระบุ ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ยัน อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แถลงเปิดคดีด้วยตนเองหรือไม่ ยังไม่ชัด
นายนรวิทย์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมสภานิติบัญญัติแห่ง (สนช.) ว่า ตนและทีมทนายความได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ในการวินิจฉัยครั้งนี้ถือว่าสำคัญที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษ์ และเอกสารที่นำมาชี้แจง ยืนยันได้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว แต่ดำเนินดังกล่าวได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีแล้ว

นอกจากนี้ ยืนยันว่า ไม่ขอยืดเวลาในการแถลงเปิดสำนวนคดี ซึ่งก็คือวันที่ 9 ม.ค. 2558 เวลา 10.00 น. ส่วน น.ส.ยิ่งลักษ์ จะมีชี้แจงด้วยตนเองหรือไม่นั้น ขอหารือกันก่อนอย่างไรก็ตาม ในการมาชี้แจงวันนี้ก็เพื่อต้องการให้ สนช. ได้พิจารณาหลักฐานที่ส่งไปทาง ป.ป.ช. แต่ไม่ได้นำมาพิจารณาเท่านั้น
------------------
"ยรรยง" อดีต รมช.พาณิชย์ เปิดตัวหนังสือ "ฟังชาวนาบ้าง" สะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับชาวนา และนโยบายของรัฐ

นายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวหนังสือ "ฟังชาวนาบ้าง" ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป โดยมีแขกรับเชิญ อาทิ นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ ผู้จัดรายการเรื่องการเกษตร นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญในหนังสือ เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับชาวนา รวมทั้งนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ กลไกตลาด อุปสรรคและปัญหาแท้จริงของชาวนาไทย โดยเฉพาะนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชาวนาส่วนใหญ่เห็นว่าคุ้มค่ากับต้นทุนการผลิต ชาวนามีรายได้เหลือพอที่จะจุนเจือครอบครัว แต่กลับถูกโจมตีว่าบิดเบือนกลไกการตลาด มีการทุจริต ทำให้ภาครัฐเสียงบประมาณจำนวนมาก จนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง และต้องยุติโครงการลง
////////////
สปช./
"สุวพันธุ์" เผย 1 ธ.ค. วิปรัฐ พิจารณา กม. ผ่านความเห็นชอบ ครม. เชื่อ หลังมี รธน. ไม่ก่อขัดแย้ง
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ว่า จะมีการพิจารณากฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ซึ่งส่งมาให้วิปพิจารณากลั่นกรอง โดยรายละเอียดยังไม่ทราบว่ามีฉบับใดบ้าง ส่วนกฎหมายที่ออกมาจะขาดความละเอียดหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า การประชุม ครม. ครั้งที่ผ่านมา สำนักงานกฤษฎีกา นำเสนอแผนงานกฎหมายทั้งปี ให้ ครม. พิจารณาแล้ว ส่วนเป้าหมายการพิจารณากฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในแต่ละเดือนนั้น โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละฉบับใช้เวลาประมาณ 30 วัน ซึ่งการพิจารณากฎหมายนั้น วิปทั้งสองส่วนจะช่วยกันกลั่นกรอง ซึ่งในส่วนของรัฐบาลจะดำเนินการไปตามแผนงานกฎหมาย ที่ ครม. ให้ความเห็นชอบ

ทั้งนี้ ที่มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเป็นห่วง ว่า หากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ออกมาบังคับใช้แล้วจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นนั้น นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า คงไม่น่าจะเกิดขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพราะสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)จะเปิดเวทีในวันที่ 1 ธ.ค. ให้ทุกฝ่ายร่วมแสดงความคิดเห็น ส่วนความชัดเจนการเสนอให้มีการลงประชามติ หรือไม่ลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญ นั้น ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องของ สปช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว
--------------
"พล.อ.ประวิตร" ไร้กดดัน ยัน รบ. ไม่อยู่นาน อาจใช้ ม.44 ดูเลือกตั้งท้องถิ่น ขณะปัดตอบคุย "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ยังคงมีหลายฝ่ายกดดันต้องการให้เกิดการเลือกตั้งภายใน 1 ปี ว่า ไม่มีความกดดัน เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นโรดแมปที่ คสช. ตั้งไว้ และรัฐบาลเองก็ไม่อยากอยู่นาน เพียงแต่ต้องการทำให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ และให้ทุกฝ่ายใช้กติกาที่ช่วยกันคิดช่วยกันทำ

ทั้งนี้ เมื่อถามว่า คสช.จะใช้ ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเข้ามาดูแลเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เกิดปัญหาติดขัดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็อาจต้องใช้ แต่ไม่ใช้เพราะเกิดความขัดแย้ง เพียงแต่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งหรือคัดสรรก็คงต้องให้คณะกรรมการอยู่ไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นจะต้องมีอย่างแน่นอน และขึ้นอยู่กับว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า คสช. จะไปคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี บอกเพียงว่า สปช. เปิดโอกาส ถ้าอยากจะเสนออะไรก็มาคุยกัน
----------------
สมาคมสื่อ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง กมธ.ปฏิรูป ขอประสาน กสทช. ระงับพิจารณาและประกาศบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต
น.ส.พิมพ์ชญา ทิพยะธรรมรัตน์ มาในนามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ยื่นหนังสือต่อ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ รองประธานกรรมาธิการปฏิรูปสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกขอให้ประสานงานไปยัง กสทช. ให้ระงับพิจารณาและประกาศบังคับใช้ เรื่องมาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับใบอนุญาต ผู้ผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนออกไปก่อน และรอให้ สปช. ดำเนินการการปฏิรูปให้ชัดเจน รวมไปถึงการปฏิรูปสื่อให้แล้วเสร็จ ค่อยนำร่างประกาศฉบับดังกล่าวมาพิจารณาว่าจะดำเนินการว่าจะประกาศหรือไม่

ทั้งนี้ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ เห็นว่า การร่างประกาศดังกล่าว อาจระเมิดต่อ รธน. ปี 2557 และอาจขัดแย้งกับอำนาจหน้าที่ของ กสทช. เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการปฏิรูปประเทศตามเจตนารมณ์ของ รธน. การปกครองชั่วคราว ปี 57 ดังนั้น จึงเสนอแนวทางการปฏิรูปสื่อฯ ในรูปแบบ สื่อมวลชนในอนาคต รวมถึง การกำกับดูแล จริยธรรม และแก้ปัญหาการแทรงแซงจากภาคทุนและภาครัฐอีกด้วย
----------------
พรรคความหวังใหม่ ส่งตัวแทนยื่นหนังสือเสนอความเห็น ต่อ สปช. เรียกร้องความสามัคคี ร่วมกันเปลี่ยนแปลง ปชต.

นายชิงชัย มงคลธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้มอบให้ตัวแทนพรคคยื่นหนังสือ ต่อ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ประสานเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และองค์กรอื่น ๆ โดยได้เสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญอันเกิดประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชาติ

ทั้งนี้ มีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเห็นการร่วมมือกันแก้ปัญหา ดังนี้ เรียกร้องความสามัคคีแห่งชาติ ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบประชาธิปไตย ให้รัฐบาลนำนโยบาย 66/2523 ซึ่งเป็นนโยบายแห่งชาติมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมาเป็นนโยบายการสร้างประชาธิปไตย และขอพระราชกฤษฎีการักษาคามมั่นคงแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาชาติในภาวะไม่ปกติด้วยมาตรการทางการบริหาร

///////////////
เปิดบช.
ป.ป.ช. เปิดเผย บัญชีทรัพย์สิน 28 สนช. วันนี้ - 12 ธ.ค. 57 หลังได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเพิ่มเมื่อ 27 ก.ย.

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 28 ราย ที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่ห้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ อาคาร 1 สำนักงาน ป.ป.ช. ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม การเปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิก สนช.ครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจเข้าตรวจสอบได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 12 ธ.ค. นี้
-------------
ป.ป.ช. เปิดบัญชี สนช.ใหม่ 28 ราย พบ "ฉัตรชัย" รวยสุด 1,499 ล้าน ขณะ "โกศล" มีทรัพย์สินน้อยที่สุด 2.34 ล้าน

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 28 ราย ที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 2 และ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ พบว่า สมาชิก สนช. ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด ในการเปิดรายการบัญชีทรัพย์สินในครั้งนี้ คือ นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีทรัพย์สิน จำนวน 1,499,763,556.99 บาท โดยไม่มีหนี้สิน
รองลงมาคือ นายอนุมัติ อาหมัด อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสงขลา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 337,842,955.27 บาท หนี้สิน จำนวน 35,350 บาท นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา แบบสรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 230,166,450.56 บาท มีหนี้สิน จำนวน 312,466.48 ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด ในการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินในครั้งนี้ คือ นายโกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ อดีตนายกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 2,347,659.01 บาท โดยไม่มีหนี้สิน
----------------
บัญชีทรัพย์สิน สนช. ใหม่ "พล.อ.โปฎก" รวย 156 ล้าน ไม่มีหนี้สิน ด้าน "พล.ต.อภิรัชต์" 152 ล้าน ขณะ "พล.ท.พิศณุ" มี 5 ล้าน
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีการแต่งตั้งเพิ่มเติม จำนวน 28 ราย ทั้งนี้ พบว่า

พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แจ้งว่า มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 5,330,021 บาท มีหนี้สิน จำนวน 12,828,456 บาท พล.อ.โปฎก บุนนาค ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผู้ช่วย ผบ.ทบ.) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 156,554,347.84 บาท โดยไม่มีหนี้สิน

พล.ท.จเรศักดิ์ อานุภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 2,347,659.01 บาท โดยไม่มีหนี้สิน
พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 120,873,389.28 บาท มีหนี้สิน จำนวน 2,827,200 บาท
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 152,654413.71 บาท มีหนี้สิน จำนวน 11,316,842.31 บาท
--------------
"วัชระ" ร้อง ป.ป.ช. หลัง "อดุลย์" ไม่ถอดยศ "ทักษิณ" ขอตรวจสอบ "ยิ่งลักษณ์-สุรนันทน์" ใช้งบโรดโชว์สร้างอนาคต ปท.

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าให้ปากคำในกรณีร้องเรียน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า มีพฤติการณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไม่ดำเนินการถอดยศตำรวจของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สำนักงานคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

พร้อมกันนี้ นายวัชระ ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรับมนตรี และ นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และข้าราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการโรดโชว์ สร้างอนาคตประเทศไทย 2020 โดยตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนิงานและใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่ไม่มีการเปิดประมูลราคา

นอกจากนี้ งบประมาณตามร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในการดำเนินตามโครงการเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เนื่องจากงบประมาณดังกล่าวเพียงพอแค่ระยะทางในเส้นทางกรุงเทพ
มหานคร-นครราชสีมา เท่านั้น ไม่ถึงจังหวัดหนองคาย อีกทั้งยังให้ข้าราชการตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักเป็นผู้ลงนามอนุมัติแทนเลขาธิการนายกฯ
-----------------------
"ประสาร" ยื่นหนังสือ ป.ป.ช. สอบ "ธาริต" อ้าง แจ้งข้อมูลเท็จ อาศัยความเป็น จนท.รัฐ ให้ได้มาซึ่งที่ดินโดยมิชอบ

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เดินทางมายื่นหนังสือกับ นายประจวบ สวัสดิประสงค์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการตรวจสอบ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่ามีพฤติการณ์อาศัยความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐให้ได้มาซึ่งที่ดินโดยมิชอบ ร่วมกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากกรณีที่ นายธาริต ดำรงตำแหน่งอัยการนครศรีธรรมราช ได้แจ้งต่อนิคมช่วยเหลือตัวเองลำตะคอง ว่าประกอบอาชีพเกษตรเพื่อขอใบ น.ค.3 ที่ดินหลวง 2 แปลง คือ ที่ดินเขตบ้านมอทรายทอง ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กว่า 30 ไร่ ซึ่งเวลาต่อมาที่ดินดังกล่าวถูกพัฒนาเป็นรีสอร์ทและบุกรุกที่ดินหลวง และพื้นที่บริเวณ ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จำนวน 725 ไร่ ซึ่งได้พัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จะดำเนินการตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. และมีข้อมูลหลักฐานเพียงพอหรือไม่ เพื่อสรุปส่งให้คณะกรรมการพิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการรับ
ผิดชอบดำเนินการต่อไป
///////////////
นายกฯ

นายกฯ เผย เลือกตั้งกลางปี 59 แค่ความคิด รมว.คลัง ขณะ คกก.ปราบทุจริต อยู่ระหว่างพิจารณา รอถกมาเลย์แก้ใต้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช.กล่วถึงกรณีที่นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า การเลือกตั้งอาจต้องเลื่อนออกไปเป็นช่วงกลางปี2559ว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของนายสมหมาย ซึ่งส่วนตัวยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามโร้ดแม็พ โดยต้องรอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงกฏหมายลูกต่างๆ

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการที่รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตขึ้นว่า ขณะนี้กำลังมีการพิจารณา ซึ่งส่วนตัวจะเป็นประธานคณะกรมการชุดนี้ด้วย ส่วนการแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติสุขเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เบื้องต้นได้อนุมัติในหลักการไปแล้ว โดยมีการเตรียมรายชื่อบุคคลที่จะเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยทั้งทหารและพลเรือน ซึ่งจะต้องรอหารือกับทางมาเลเซียอีกครั้ง
--------------
นายกฯ ยัน รบ. เร่งหาแนวทางแก้ปัญหา ราคาสลากแพง ชี้ ต้องใช้เวลา ยุบทันทีก็ไม่ได้ ปชช.เดือดร้อนจำนวนมาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาราคาสลากกินแบ่งรัฐบาล นั้น ขณะนี้รัฐบาลกำลังหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวและต้องใช้เวลา เพราะถ้าหากยุบระบบการจัดทำสลากทั้งหมด จะทำให้มีประชาชนเดือดร้อนจำนวนมาก

ส่วนกรณีที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ฮิวแมนไรท์วอทช์ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่ ซึ่งมีกฎ มีระเบียบระบุไว้ชัดเจน พร้อมย้ำว่า การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ต้องเกิดจากใจคนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม อยากให้สื่อมวลชนให้ความเป็นธรรมบ้าง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนประเทศลาว และเวียดนาม เมื่อวันที่ 26 - 28 ที่ผ่านมาว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย  โดยมีการหารือเรื่อง การลงนามสัญญา MOU ด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม รวมทั้งติดตามความคืบหน้าเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เพื่อเตรียมสานงานต่อจากเดิม และคิดหาโครงการใหม่ ๆ เพื่อดำเนินการ โดยในปีหน้า ความร่วมมือจะเน้นการทำงานด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เป็นหลัก
----------------
นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ ชี้ ต้องมีการสร้างคนให้สอดคล้องความต้องการของประเทศและของโลก ขอทุกฝ่ายเคารพกติกา เร่งเดินหน้าประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินทางมาที่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ผู้เรียนอาชีวศึกษา คือผู้ทรงคุณค่าของสังคมในงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทย ที่ Exhibition Hall 7 - 8 โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องมีการสร้างคนให้สอดคล้องความต้องการของประเทศและของโลก พร้อมขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในกรอบกติกา ย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าประเทศและแก้ปัญหาให้ไปสู่ประชาคมโลกให้ได้

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า วันนี้ต้องเลิกขัดแย้ง เลิกทะเลาะกัน และต้องลดความเหลื่อมล้ำความยากจน สร้างความเข้าใจ ต้องเดินหน้าประเทศไปพร้อมกับขจัดความขัดแย้งภายในประเทศให้ได้


ทั้งนี้ การเป็นทวิภาคจะต้องมีความพร้อมในการเตรียมคน ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน นักศึกษา ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งอาชีวะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงอยากให้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำออกไปแข่งขันกับต่างประเทศได้ และรุ่นพี่จะต้องบอกรุ่นน้องให้เลิกทะเลาะเบาะแว้งกันด้วย