PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จอมพลเจ้าน้ำตา"ผิน"


data10Dec14จอมพลเจ้าน้ำตา

 เมื่อจอมพลผิน ชุณหะวัณ ตอนมียศพล.ท. เป็นหัวหน้าคณะทหารเข้ายึดอำนาจรัฐ ทำการรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เจ้าของฉายา ‘นายกสาลิกาลิ้นทอง’ พอเรียบร้อยเสร็จสรรพ

พล.ท.ผิน ออกแถลงข่าวกล่าวหารัฐบาลที่ตนเองเพิ่งคว่ำไปหยกๆ ว่า
     
        “เวลานี้คนไทยจะอดข้าวอยู่รอมร่อ แต่ข้าวถูกลักลอบออกนอกประเทศ จับไม่ได้สักที มาจับได้ยายมา แกเอาไปกระบุงหนึ่งจะเอาไปกิน ส่วนข้าวที่ไหลไปต่างประเทศตั้งหมื่นแสนกระสอบจับ

ไม่ได้
     
        สัญญาที่ทำกับต่างประเทศจะส่งข้าวให้เขาแล้วก็ขาดส่งเอามากๆ เป็นการเสียเครดิตของชาติ
     
        สิ่งเหล่านี้เป็นภาวะสุดทนทานได้ ผมทนดูเขาโกงกันไม่ไหว ดูซิคุณ เขารวยกันเป็นล้านๆ ผมเป็นนายพลนุ่งกางเกงปะก้น
     
        เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น เห็นรถยนต์ ‘บูอิค’ ซึ่งรัฐมนตรีนั่งทีไรก็เหมือนกับวิ่งอยู่บนอก”
     
        นั่นไงครับ!
     
        พล.ท.ผินฯหัวหน้าคณะรัฐประหารรุ่นเก๋า ท่านพูดได้อร่อยดีจริงๆว่า เห็นเขานั่งรถอเมริกันคันโตแล้ว เหมือนรถแล่นทับหน้าอกตัวเองเลย ว่าแล้วก็น้ำตาไหลพรากๆ
     
        ตอนหลังพวกนักหนังสือพิมพ์จึงตั้งฉายาให้ท่านว่า “นายพลเจ้าน้ำตา” พอได้ยศจอมพล ก็กลายเป็น “จอมพลเจ้าน้ำตา” ไป ดูไปแล้วก็ไม่ผิดอะไรกับพล.อ.สนธิฯ ที่ เห็นพวกทักษิณคอรัปชั่น

แล้วอยากร้องไห้ แถมยังบอกว่าว่าชาติจะเหลือแต่กระดูก
     
        โอ้โฮเฮะ...ดุเดือดขนาดนั้นเลย เรียกว่ามาฟอร์มเดียวกับจอมพลผิน ไม่มีผิดกันเลยแม้แต่น้อย หรือพูดให้ทันสมัยหน่อยก็อาจบอก ว่า
     
        คณะรัฐประหารนั้น ไม่ว่าชาติไทยหรือชาติใด มันก็ไอ้ ‘ส่ำเดียวกัน’ หรือพวกเดียวทั้งนั้น ดูอย่างประเทศ ฟิจิ ที่เพิ่งมีการปฏิวัติหยกๆก็เห็นได้ชัดเลย
     
       ถ้าป๋าผินมาเป็นนายทหารใหญ่ตอนนี้ คงไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นแล้ว เพราะหลวงท่านจัดรถยุโรป อย่างเบ๊นซ์คันโตๆ รุ่นล่าสุดคันละหลายล้านบาท ให้นายทหารใหญ่ และข้าราชการระดับสูง

กันอยู่แล้ว ไม่ใช่ของแปลกอะไรในยุคนี้
     
        เมื่อพล.ท.ผินทำรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว ท่านก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาลเอง แต่มอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลแทน โดยตัวท่านเองให้สัมภาษณ์ว่า
     
        คณะทหารไม่ต้องการตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี (ข้ออ้างนี่ก็เหมือนกันกับคณะรัฐประหารปัจจุบันอีกเหมือนกัน) แต่ให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.

๒๔๙๐ ที่คณะรัฐประหารมีมาเสร็จสรรพ จัดทำโดย พล.ท.หลวงกาจสงคราม ซึ่งร่างเอาซ่อนไว้ใต้ตุ่มแดง แล้วชักออกมาใช้เมื่อรัฐประหารเสร็จสรรพ ไม่ต้องมาสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ให้

เมื่อยตุ้มอย่างยุคนี้กันอีก
     
        หลวงกาจฯท่านเป็นบิดา พ.อ.การุณ เก่งระดมยิง นายทหารผู้บุกเบิกสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกสนามเป้า เลยได้ฉายาว่า “นายพลตุ่มแดง” ไป รัฐธรรมนูญก็ได้ชื่อว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับ

ใต้ตุ่ม” ในที่สุด
     
        นักการเมืองอย่างนายควง เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้เพียงแค่วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. 2491 ๒๔๙๑ ก็ลาออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ลาออกเพราะความเต็มใจ แต่ถูกคณะรัฐประหารชุดเดียวกับที่ตั้งท่าน

มา คือคณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ จี้บังคับให้ลาออกภายใน ๒๔ ชั่วโมง ท่านควงเห็นว่าอยู่ไปเดี๋ยวเปลืองตัวเปล่า ก็ยอมลาออกโดยดี
     
        นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้สู้อุตส่าห์ทำปฏิวัติกันมา แล้วให้คนอื่นเข้ามาบริหารแทน ความอยากเข้ามาเป็นใหญ่เสียเองซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ คณะรัฐประหารรุ่นเดอะนี่ก็เหมือนกัน ทนดูคนอื่น

เขานั่งเป็นนายกฯได้แค่ ๕ เดือน ในที่สุดก็เข้าบริหารประเทศเองโดยส่งเทียบเชิญ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
     
        ท่านจอมพลคนปีไก่ ทำกระบิดกระบวนให้คณะรัฐประหารอ้อนวอนพอเป็นพิธี แล้วก็ยอมรับตำแหน่ง แต่พูดเอาเชิงว่า
        จำใจที่ทนไม่ได้ที่เห็นประเทศชาติขาดผู้นำ ทั้งๆที่ใจจริงไม่อยาก (ฟอร์มประจำของการรัฐประหาร) ในที่สุดก็ยินยอมรับตำแหน่งแต่โดยดี ด้วยความปรีดาปราโมทย์
        ภายใต้การบริหารงานของจอมพล ป.แม้ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลหลายครั้ง แต่การปกครองในระบอบของท่านจอมพล ก็ยืนยาวมานานถึง ๘ ปี จนกระทั่งในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๐ จอมพล

สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นได้ทำการรัฐประหาร
        จอมพลตราไก่ต้องลี้ภัยไปพำนักยังประเทศเขมรเป็นเวลา ๒ เดือน และย้ายไปพำนักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย และได้กลับไปพำนักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม

ด้วยโรคหัวใจวาย ณ บ้านพักที่ตำบลซากามิโอโน ชานกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๗ สิริรวมอายุได้ ๖๗ ปี
       
        นายทหารที่ร่วมรัฐประหารกับพล.ท.ผิน (ยศวันรัฐประหาร) หรือผิน ชุณหะวัณ จอมพลคนเจ้าน้ำตา มีคนสำคัญ เช่น
        -พันเอกสฤษต์ ธนะรัชต์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑
       -พันโทประภาส จารุเสถียร ผู้บังคับกองพัน กรมทหารราบที่ ๑
       -พันโทถนอม กิตติขจร อาจารย์โรงเรียนนายร้อยทหารบก
     
       ไม่น่าเชื่อว่าทั้ง ๓ นายทหาร ต่อมาได้เป็นจอมพลหมดทุกท่าน และมีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน คือ ทั้งจอมพลสฤษดิ์กับจอมพลถนอม เป็นผู้นำการปฏิวัติรัฐประหาร ส่วนจอมพลประภาสนั้น แม้จะไม่

เคยเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารเหมือนอย่าง ๒ ท่าน แรก แต่ก็เชื่อกันว่า ท่านมีอำนาจมากกว่าจอมพลถนอมด้วยซ้ำไป
     
       ที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่ง คือจอมพลทั้ง ๓ ท่าน ที่เป็นผู้นำและคนสำคัญในการก่อรัฐประหาร ที่ลงท้าย......ถูกยึดทรัพย์หมดทุกราย!
     
       (มีบางคนเขาบอกว่า น่าจะเป็น ‘เวรกรรม’ ของพวกรัฐประหาร!!)
     
        ส่วนพล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ผู้นำการรัฐประหารครั้งนั้น ไม่ได้ถูกยึดทรัพย์อะไรกับเขา แต่เมื่อทำรัฐประหารแล้ว ไม่ต้องเป็นนายพลนุ่งกางเกงตูดปะอีกต่อไป เพราะเมื่อได้ติดยศเป็น ‘จอมพล’ ก็

ได้ลงหลักปักถ่อทางการเมือง ให้กับลูกหลานอย่างมั่นคง โดยพากันไปปลูกบ้านอยู่รวมกันในซอยราชครู พหลโยธิน อันเป็นจุดกำเนิดของ “ก๊กราชครู” ซึ่งเป็นก๊วนการเมืองสำคัญในเวลาต่อมา

และหลังการรัฐประหารลูกเขยทั้ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองด้วยกันทั้งคู่
     
       สำหรับบุตรชายของท่าน คือ ร.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะทำการรัฐประหาร) ได้เจริญก้าวหน้าทางทหาร แต่เมื่อทางฝ่ายก๊กราชครูหมดอำนาจลง เพราะการปฏิวัติของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เจ้า

ของฉายา ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง’ ชาติชายซึ่งตอนนั้นมียศเป็นนายพลจัตวา ถูกส่งไปเป็นเอกอัครราชทูตอาเจนติน่า เพราะจอมพลสฤษดิ์ไม่ไว้วางใจ ต่อมาได้ย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตออสเตรีย
     
       เมื่อหมดยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ไปแล้ว คุณชาติชายก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้ง ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของรัฐบาลจอมพลถนอม

กิตติขจร
     
       เมื่อมีเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ จอมพลถนอมฯต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ชาติชายได้ร่วมกับพี่เขยคือ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสารและญาติ ตั้งพรรคชาติไทยขึ้นมาดำเนินงาน

ทางการเมือง และบุญพาวาสนาส่ง ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในเวลาต่อมา
     
       อาจเป็นเพราะ ‘น้าชาติ’ ไม่ได้นุ่งการเกงตูดปะอย่างผู้บุพการี จึงชอบสูบซิการ์ฮาวานาร์ จิบไวน์ชั้นเลิศ ซิ่งรถมอร์เตอร์ไซด์ยี่ห้อ ‘ฮาร์เลย์-เดวิดสัน’ ราคาแพง ก่อนเป็นนายกฯก็ปรากฏกายกับ ‘

ตุ่น’ คู่หู ในสถานบันเทิงเป็นประจำ ตามแบบผู้มีรสนิยมอันวิไล เลยถูกเรียกขานว่าเป็น playboy เข้าไปอีก แต่เจ้าตัวก็ชอบ
     
        รัฐบาลของท่านก็ถูกกล่าวหา ว่า คอรัปชั่นวินาศสันตะโร ผู้คนรับกันไม่ได้ บอกว่าเป็น “บุพเฟ่แคบบิเนต์” ในที่สุดก็ถูกพวก รสช. ทำรัฐประหารล้มคว่ำลงไป ตัวนายกเพลย์บอยก็ถูกบีบให้เดิน

ทางออกนอกประเทศ ส่วนแก๊งค์ รสช.นั้น ต่อมาก็ถูกฝูงชนขับไล่ถึบตกกระป๋องไป หลังจากฆ่าฟันประชาชน ล้มตายกลางถนนราชดำเนินเสียหลายศพ
     
        น้าชาติไม่ได้ออกนอกประเทศไปเฉยๆ หากยังถูกแก๊งค์ รสช. ‘ยึดทรัพย์’ อีกด้วย แต่โดยการขัดข้องทางเทคนิคของกฎหมาย ทำให้เจ้าตัวหลุดบ่วงกรรมนั้นออกมาได้ หลังจากนั้นนายกเจ้า

สำราญคนนี้ ก็ไม่ได้มีโอกาส โผล่ขึ้นมากินบุปเฟต์กับคาบิเนต์อีกเลย จนเสียชีวิตไปในที่สุด
     
        ทิ้งให้ ‘จิ้งหรีดไหหลำ’ กรีดร้องว้าเหว่ ไปแต่ตามลำพัง!
     

ไม่มีความคิดเห็น: