PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กตู่ อารมณ์เสีย ลั่น อำนาจเบ็ดเสร็จ อยู่ที่ผม จะปรับ ครม. หรือไม่ แต่ยัน ไม่ได้"บ้าอำนาจ"

บ้าอำนาจ!! สั่งบ้าๆ.!!!
ไม่ใช่ ๆๆๆ บิ๊กตู่ อารมณ์เสีย ลั่น อำนาจเบ็ดเสร็จ อยู่ที่ผม จะปรับ ครม. หรือไม่ แต่ยัน ไม่ได้"บ้าอำนาจ" และไม่สั่งบ้าๆ เปรย คนไม่ชอบทหาร ยิ่งปรับแล้วเอาทหารมา ก็ยิ่งถูกขัดแย้งแบ่งพวก/ แก้ตัว ที่ "ไล่ส่ง คนเกษียณกลับบ้าน" ชึ้วันหน้า อาจกลับมาก็ได้ ยันไม่ใช่กลับคำ/ยัน ในครม.ไม่ขัดแย้ง/ ชี้ กระทรวงมีการบริหารที่ผิดเพี้ยน จึงต้องเอาทหารเข้าไปเพื่อจัดระเบียบ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยเป็นเรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของใครทั้งสิ้น ใครอยากเสนออะไรก็เสนอมาถ้าอยากเสนอ ส่วนผม จะให้หรือไม่ให้เป็นเรื่องของผม เพราะผมคือผู้รับผิดชอบ
"ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นหัวหน้าคสช. อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ผม แต่ไม่ใช่จะบ้าอำนาจอะไร เพียงแต่ผมจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอง จะทำอะไร จะได้หรือไม่ได้ แต่ทั้งหมดจะต้องมีการหารือร่วมกันมา"
นายกฯ กล่าวชี้แจงว่า ที่ ผมตอบเมื่อวานนี้ว่า เกษียณแล้วก็คือเกษียณ สื่อก็ไปเขียนว่า ผมไล่กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ก็สื่อถามผม
"ผมก็พูดว่าให้กลับบ้านไปเลี้ยงหลานไปก่อน วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังไม่รู้ แล้วไม่ใช่พอพูดแบบนี้แล้ว ไปเขียนอีกว่านายกฯ กลับคำว่าวันข้างหน้าจะให้กลับมา จะเข้าหรือไม่เข้า จะไปหรือไม่ไป ยังไม่มีใครรู้อนาคต อย่าไปทำนายล่วงหน้า เรื่องแบบนี้ทำนายกันได้อย่างไร
แล้วไปพูดว่า จะต้องตอบแทนทหารทำไมคนเขาไม่ชอบทหารกันอยู่ สื่อยิ่งพูดเขาก็ยิ่งไม่ชอบไปใหญ่"
ยืนยันว่าทุกคนต่างก็ทำงานเต็มที่ ไปดูได้ทุก ๆ กระทรวง ไม่ว่ารัฐมนตรีจะมาจากพลเรือน หรือทหาร เขาทำงานกันอย่างเต็มที่
"หลายกระทรวงมีการบริหารที่ผิดเพี้ยน ผมจึงต้องเอาทหารเข้าไปเพื่อจัดระเบียบสร้างความเข้มแข็ง สร้างกระบวนการทำงานใหม่ ความจริงข้าราชการทุกคนอยากทำงานทั้งสิ้น
วันนี้เขาก็บอกแล้วว่าดีใจที่ได้ทำงาน ในหน้าที่และความสามารถที่มีอย่างแท้จริง โดยไม่มีอำนาจอื่นมาทับซ้อน ผมสั่งแต่ภารกิจไม่ได้สั่งให้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับผม หรือรัฐบาล นี่คือความแตกต่างของรัฐบาลทหารที่ร่วมกับพลเรือนในเวลานี้
ขอร้องว่าอย่าทำให้เกิดความสับสนในทุก ๆ เรื่อง มันพันกันไปหมด ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แล้วไม่ต้องไปเชียร์คนนี้ แล้วต่อว่าคนนั้น 3 คนดี ที่เหลือไม่ดี ผมไม่สนใจ ผมไม่ได้ทำงานตามกองเชียร์ของท่าน แล้วไอ้คนที่ถูกเชียร์ก็อาจจะผิดพลาดอีก สังคมก็จับตากลายเป็นเรื่องการแบ่งพรรคแบ่งพวก
"ผม ยืนยันว่าไม่มีการแบ่งพวก พอผมจะปรับ ก็หาว่าปัดความรับผิดชอบ ไปโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่มี ผมอยู่ตรงนี้ เป็นคนพิจารณาเองว่า ควรจะแบ่งเบาอย่างไร แยกแยะตรงไหน ได้ปรึกษาหารือกันก็ไม่เห็นมีใครขัดข้อง ผมถึงได้สั่ง ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ผมไม่ได้ถามอะไรใคร แล้วสั่งบ้า ๆ ไม่ใช่. เพราะงานมันเยอะ จอให้ดูที่การทำงาน ผลที่ออกมา"นายกฯ กล่าว

นายกฯ ลั่น "ผมไม่คิดที่จะกลับมา อีก"



นายกฯ ลั่น "ผมไม่คิดที่จะกลับมา อีก" เผย ไม่มีทหารคนไหนอยากเข้ามา เพราะจะโดน แบบผม
"ไม่ใช่มองแต่ผมจะอยู่ต่อ ต้องการให้มีปัญหา ต้องการโน่นนั่น ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ตั้งแต่ก่อนเข้ามา ผมก็ไม่คิดจะเข้ามาอีก ทหารทุกคนก็ไม่อยากเข้ามา เพราะเข้ามาก็ต้องโดนแบบผมโดน
นักการเมืองใหม่ก็ไม่อยากเข้ามา สิ่งที่เขาตั้งใจทำก็เข้าใจกันผิดไป ก็ต้องรับให้ได้ ตอนแรก ผมก็รับไม่ได้ ตอนนี้ผมก็เริ่มรับได้แล้ว ผมก็ต้องทนเพื่อประโยชน์ของประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผมก็ต้องทนให้ได้"พลเอกประยุทธ์ กล่าว

บิ๊กตู่ ฉุน ลั่น ไม่ปรับครม. "จบ" ไม่มีเหตุผล มันเรื่องของผม ปัดตอบ"บิ๊กฉัตร" ขัดแย้ง"สมคิด"


นายกฯยันว่า รมต.ทุกคนยังอยู่ที่เดิมทั้งหมด ยังไม่มีการตั้งรมช. จบ ไม่เหตุผลทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องของผม ลั่น อำนาจเบ็ดเสร็จ อยู่ที่ผม จะปรับ ครม. หรือไม่ /ปัดตอบ "พลเอกฉัตรชัย"ขัดแย้ง "สมคิด"/ลั่น "ผมไม่คิดที่จะกลับมา อีก" เผย ไม่มีทหารคนไหนอยากเข้ามา เพราะจะโดน แบบผม
พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวความขัดแย้งกันระหว่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ จนต้องให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ มาคุมงาน ก.เกษตรฯ แทน นั้น ว่า “ไม่มีใคร ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อใครทั้งนั้น ผมไม่สนใจ ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อ ไม่ตอบ จะชื่อใครก็ไม่ตอบ
" ผมยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนยังอยู่ที่เดิมทั้งหมด ยังไม่มีการตั้งรัฐมนตรีช่วย จบไม่เหตุผลทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องของผม”นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไปดูว่างานมีมากขนาดไหน ไปเอาสิ่งที่สำเร็จออกมาพูดบ้าง ถ้าเอาแต่สิ่งที่ไม่สำเร็จ สิ่งที่ขัดแย้งมาพูดมันก็อยู่อย่างนี้ แล้วก็มากล่าวหาผมว่ามันไม่ปรองดอง ทุกคนหาว่าผมไม่ปรองดองอะไรเลย แล้วมันจะปรองดองได้อย่างไรในเมื่อทุกคนยังปลุกเร้าอยู่แบบนี้ ซึ่งไม่ได้เกิดจากผม
ที่ผ่านมาผมพยายามทำอย่างเต็มที่ เรื่องกฎหมายก็เสนอเข้ามาซิ เป็นเรื่องของการปรองดองก่อนเพื่อน หลายคนก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง เสนอนโยบายที่เป็นประโยขน์เพื่อประชาชน จะได้มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผมทำในวันนี้ อย่ามาตำหนิอย่างเดียว
ถ้ากลุ่มคนอีกฝ่ายระบุว่า ผมไม่แก้ปัญหาก็ถามกลับไปด้วยว่า ที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นแก้ปัญหาอย่างไร ที่ผ่านมาได้แก้อย่างที่ผมแก้หรือไม่
ต้องยอมรับว่าปัญหาที่ผ่านไม่หนักเท่านี้ กี่ปีมาแล้ว และมาหนักขึ้นในสมัยที่ตนเข้ามา ซึ่งผมก็ต้องมาแกะ มาแก้ ในทุก ๆ เรื่อง ขอให้เข้าใจด้วย อย่ามาติติงกันทุกเรื่อง
ถามว่าปัญหาเกิดตั้งแต่เมื่อไร โครงสร้างผิดเพี้ยนกันมานานแค่ไหน พอปรับแก้ก็หาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ ก็ไม่รู้จะเอาอย่างไรกัน รัฐบาลพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับคนทุกระดับโดยต้องไม่ผิดกฎหมาย และการใช้งบประมาณ ไม่มีใครเคยทำแบบนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายอย่างที่ผมทำอยู่ในขณะนี้ ขอให้แยกแยะดูว่าการที่ผมทำหลาย ๆ เรื่องแบบนี้มันอาจจะมีข้อขัดแย้งอยู่บ้าง โดยเฉพาะนักการเมือง ผมก็ไม่ได้ไปทะเลาะกับท่าน เพียงแต่ผมขอร้องให้กลับเข้าสู่สิ่งที่ผมพูด มันจะผิดจะถูกก็มาคุยกัน ผมไม่เคยมาละลาบละล้วง เพราะอย่างไร ท่านก็ต้องบริหารประเทศต่อไปในวันหน้า อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย แล้วอย่างอื่นไม่สนใจกันเลย สนใจแต่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งมันไร้สาระในตอนนี้ ถึงเวลาจะไปตีอะไรก็ไปว่ากันตรงโน้น ผม ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
" วันนี้ยังขนาดนี้แล้ววันหน้ามันจะเชื่อมั่นได้ไหม ประชาชนจะเชื่อมั่นได้ไหม การเลือกตั้งก็ต้องจัด ถ้าจัดไม่ได้จะทำอย่างไร คิดแบบผมคิดสิ เข้าใจไหม "
"ไม่ใช่มองแต่ผมจะอยู่ต่อ ต้องการให้มีปัญหา ต้องการโน่นนั่น ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ตั้งแต่ก่อนเข้ามา ผมก็ไม่คิดจะเข้ามาอีก ทหารทุกคนก็ไม่อยากเข้ามา เพราะเข้ามาก็ต้องโดนแบบผมโดน
นักการเมืองใหม่ก็ไม่อยากเข้ามา สิ่งที่เขาตั้งใจทำก็เข้าใจกันผิดไป ก็ต้องรับให้ได้ ตอนแรก ผมก็รับไม่ได้ ตอนนี้ผมก็เริ่มรับได้แล้ว ผมก็ต้องทนเพื่อประโยชน์ของประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผมก็ต้องทนให้ได้"

นายกฯยัน เลือก"ผบ.ทบ.เอง ไม่มีใครบีบบังคับ ยันไม่เกี่ยวกับ ป๋าเปรม หรือ พลเอกสุรยุทธ์



ไม่มีใครบีบบังคับ !!
นายกฯยัน เลือก"ผบ.ทบ.เอง ไม่มีใครบีบบังคับ ยันไม่เกี่ยวกับ ป๋าเปรม หรือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี อย่าเอาท่านมายุ่ง ผมตัดสินใจเองกับ บิ๊กป้อม ไม่เกี่ยวกับการเข้าบ้านป๋า อวยพรวันเกิด อย่าเอามาโยง วิเคราะห์ ท่านเป็นคนที่เราให้ความเคารพ ท่านไม่ได้มายุ่งเริ่องการโยกย้ายทหาร ผม กับ พลเอกประวิตร และ ผบ.เหล่าทัพ เท่านั้นที่หารือกัน. เปรย ต้องดูทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านด้วย ใครจะรักผม หรือ ไม่รักผม ไม่เป็นไร แต่ผมรักเขา ยัน ทหารไม่มีแตกแยก แจงตั้ง ประธานที่ปรึกษากห. แก้ปัญหา โผทหาร รับคน อกหัก แต่ตั้งเพื่อคุณงามความดี / มีรายงานว่า ตั้ง "พลเอกทวีป เนตรนิยม" เลขาฯสมช. กลับกองทัพ คาด นายกฯจะตั้ง เลขา๋ฯสมช.ใหม่ ในเร็วๆนี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติแต่งตั้งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมในอัตราจอมพล ที่ถูกมองว่า เป็นตำแหน่งปลอบใจ คนที่อกหักจากการโยกย้าย ว่า ตำแหน่งประธานที่ปรึกษา เดิมเคยมี แต่ถูกปรับลดไป ซึ่งความจริงไม่ควรถูกปรับลด แต่ด้วยวิธีต่างๆที่ผ่านมา ในทุกๆปี เราจะต้องให้คนที่เขาทำงาน
"อย่าไปคิดว่าเป็นการตอบแทนให้คิดว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต แล้วประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ตำแหน่งมีจำกัด แต่ขอให้คิดว่าเขาทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ต้องให้เขามีความสุขในบั้นปลายชีวิต รวมถึงครอบครัวได้ภูมิใจ
ทำไมสื่อไม่คิดแบบนั้น ผมขอถามว่า ถ้าคนห่วยๆ จะเป็นได้หรือเปล่า ก็เป็นไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้มากมายอะไร ส่วนข้างบนเขาก็ทำงานจริงๆ ข้างล่างลงมาก็มีตำแหน่งจำกัด
ส่วนที่เกินมาก็ตั้งคนมาช่วยเป็นคณะทำงาน เพราะมีถึง 6 สาย ไม่ว่าจะกำลังพล การข่าว ยุทธการ การศึกษา กำลังบำรุง เขามีกลุ่มงานของเขา มีคณะกรรมการต่างๆ คนเหล่านี้จะมาช่วยกันทำงานทั้งหมด ไม่ใช่แค่ผู้บัญชาการทหารบกอย่างเดียว ต้องมีการมอบนโยบายลงไปให้ 5 เสือไปพิจารณาทั้งหมด
รวมถึงให้คณะทำงานไปทำงานในแต่ละสายงาน ถึงจะสรุปข้อมูลทั้งหมดมาให้ผบ.ทบ. โดยผ่านกระบวนการของ 5 เสือกองทัพมีการทำงานแบบนี้ทุกเหล่าทัพ ผมยืนยันว่าการแต่งตั้งทั้งหมดมีการประชุมกัน ซึ่งผมจะแต่งใครก็ต้องมีการประชุม 5 เสือ จากนั้นก็เสนอให้ที่ประชุมกลาโหม หากจะตั้งนายทหารพันเอกพิเศษผบ.ทบ.เป็นคนตัดสินใจ แต่ผมต้องประชุม 5 เสืออีก โดยเอาคำสั่งการปรับย้าย ที่ทุกกองทัพและหน่วยงานเสนอเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมว่า คนในตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเราก็รู้ดีว่าใครดีไม่ดีอย่างไร แต่ถ้าเขาโอเคอยู่แล้ว ผมก็ไม่แตะต้อง แทบจะส่วนน้อยมากที่ผมไปยุ่ง
นายกฯ กล่าวว่า การปรับย้ายทหารครั้งนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีการบีบบังคับใครทั้งสิ้น
"ยืนยันว่าก่อนจะมีการออกคำสั่งได้มีการประชุมเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนวิเคราะห์กันมาว่าจะอยู่ข้างใคร รวมถึงการไปเข้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มันเป็นคนละเรื่องกัน จะเอามาโยงกันได้อย่างไร ผมก็ตั้งของผมเองกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมกับการพิจารณาของผบ.เหล่าทัพเท่านั้น ทุกอย่างกลั่นกรองมาแล้ว ไม่มีใครเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
"ผมขอยืนยัน ผมบอกแล้วไง ไม่มีใครมาสั่งผม เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง และผมเป็นผู้นำเสนอและพิจารณา ขั้นสุดท้ายก่อนจะลงนามกราบบังคมทูล เราทำงานกันแบบนี้ อย่าไปคิดว่าจะต้องตั้งคนโน้น คนนี้ ข้างของคนโน้น คนนี้
แล้วตั้งคนเดียว ยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมในกองทัพสุดท้ายแตกแยก แต่ทหารไม่มีเรื่องเหล่านี้ ไม่มีแน่นอน คนส่วนใหญ่เขายอมรับ ส่วนคนผิดหวังก็เป็นคนส่วนน้อย เป็นคนธรรมดาเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ทำให้เขายอมรับ
"การทำงานต้องไต่เต้ามาตั้งแต่เล็กจนโต และระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด พอถึงเเวลาที่เหมาะสมก็เอาเรื่องเหล่านี้มาพิจารณา ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านพิจารณาหมด ไม่ใช่จะพิจารณาส่งเดช รักผม หรือไม่รักผม มันไม่ใช่ เพราะถึงไม่รักผม ผมก็รักเขา นึกถึงเขาสิ เพราะฉะนั้นอย่าเอา ประธานองคมนตรึ และองคมนตรี มาเกี่ยว ต้องให้เกียรติท่าน อย่าเอาท่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะท่านเป็นที่เคารพนับถือของกองทัพ และท่านเองก็บอกว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น
แต่สื่อก็เขียนอยู่ได้ เอาท่านมาเกี่ยวทำไม เอามาเกี่ยวให้ทะเลาะเบาะแว้ง ผมยืนยันว่าผู้ใหญ่ทุกคนไม่มีอะไรซึ่งกันและกัน ฉะนั้นอย่าไปเขียนให้ปัญหามันมากขึ้น เพราะปัญหามันเยอะอยู่แล้ว ขอให้ผมได้ทำงานแก้ปัญหา เดินตามอนาคต วันนี้ถามว่าผมทำเพื่อพวกพ้องหรือ” นายกฯ กล่าว

"บิ๊กป้อม" แจงเปิดอัตราจอมพล ประธานที่ปรึกษากห. ไม่ใช่ ให้"บิกแกละ"

"บิ๊กป้อม" แจงเปิดอัตราจอมพล ประธานที่ปรึกษากห. ไม่ใช่ ให้"บิกแกละ" โพล่ง !!เฮ้ย! ไปทำอย่างนั้น เขาได้ไง"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมได้เสนอขอเปิดอัตราจอมพล ตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ว่า ไม่มีอะไร เป็นของเก่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะของเดิมมีอยู่แล้ว พอเกษียณอายุราชการพร้อมกับตำแหน่ง ก็ต้องแต่งตั้งคนใหม่ เพียงแต่ว่าถ้าจะแต่งตั้งตำแหน่งนี้ ต้องเข้าสู่การพิจารณาของครม.ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อผูกมัดกับใครคนใดคนหนึ่ง พอเกษียณอายุ แล้วก็หมดไป เราขอเปิดมา 1 ตำแหน่งให้กับคนคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เมื่ออายุราชการหมดไปก็ต้องแต่งตั้งใหม่
เมื่อถามว่า จะรองรับบุคคลที่ก่อนหน้านี้เป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้วพลาดหวังใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ไม่มี อย่าไปคิดมาก คิดมาก็ผิดทั้งหมด
เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานที่ปรึกษากห.นี้ใช่ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสธ.ทบ.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "เฮ้ย ไม่ใช่ ไปทำอย่างนั้น เขาได้ไง" พล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมเดินออกจากโพเดี้ยมทันที

“ดีเอสไอ”แจงผลชันสูตร”อดีตที่ดินพังงา”ถุงเท้ารัดคอ เร่งสอบปมตับแตก-ฆ่าตัดตอน

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ และพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ร่วมกันแถลงกรณีรายงานผลการชันสูตรพลิกศพของแพทย์สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ผ่าชันสูตรศพนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาท้ายเมือง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157เสียชีวิตระหว่างการควบคุมของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา
โดยพ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ดีเอสไอยังไม่ได้รับทราบผลการชันสูตรแต่อย่างใด ส่วนการที่แพทย์ชันสูตรระบุสาเหตุการตายโดยรวมว่า เกิดจากการบาดเจ็บในช่องท้อง ประกอบกับการขาดอากาศหายใจจากการผูกคอนั้น การบาดเจ็บในช่องท้องมีสาเหตุได้จากหลายประการ อย่างไรก็ตาม ผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการเมื่อทางสถาบันนิติเวชวิทยา ได้ชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว จะต้องส่งไปยังสถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ กรณีของนายธวัชชัยนั้น ผลชันสูตรพลิกศพจะถูกส่งไปยังสน.ทุ่งสองห้อง จากนั้นทางสน.ทุ่งสองห้อง จะทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุของการตาย ในส่วนนี้ดีเอสไอคงไม่ก้าวล่วงการดำเนินการของพนักงานสอบสวนท้องที่แต่อย่างใด
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเท็จจริงที่อยากเรียนเพิ่มเติมกรณีการเสียชีวิตของนายธวัชชัยเป็นการใช้ผ้าหรือถุงเท้านั้น จากข้อเท็จจริงที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ทราบว่าเป็นการใช้ถุงเท้านำมาต่อเป็นวงกลม ถุงเท้าดังกล่าวเป็นของนายธวัชชัย และนำไปคล้องกับบานพับของประตู ก่อนผูกคอตัวเองดังกล่าว ทั้งนี้หลังเกิดเหตุมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้นำเตียงมายังห้องควบคุมผู้ต้องหา และช่วยเหลือด้วยการปั๊มหัวใจประมาณ 15 นาที นายธวัชชัยยังหายใจอยู่ แต่หัวใจยังไม่สามารถเต้นได้เต็มที่ จึงเร่งนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจอีก45นาที และใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจนานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะเสียชีวิตในช่วงเวลา 04.00 น.เศษ
“หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปทางญาติของนายธวัชชัยทันที ก่อนที่ญาติจะตามไปที่โรงพยาบาล ญาติไปถึงก่อนที่นายธวัชชัยจะเสียชีวิตด้วย อยากเรียนว่า เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ขอแสดงความเสียใจกับญาติด้วย ทั้งนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อดูว่ามีผู้ใดบกพร่องหรือกระทำความผิดทางอาญาหรือไม่ ส่วนหนึ่งทางสน.ทุ่งสองห้อง อยู่ระหว่างสอบสวนเพื่อนำไปสู่กระบวนการไต่สวนของศาล” รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าว
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า อีกประเด็นที่สำคัญคือผลการชันสูตรที่พบว่าตับแตกนั้น จากข้อเท็จจริงทราบว่าการปั๊มหัวใจอยู่บริเวณหน้าอก มีความห่างของมันอยู่ แต่เพราะเหตุใดทำไมจึงตับแตกได้ จากการตรวจพบไม่มีบาดแผลภายนอกของนายธวัชชัย มีเพียงรอยรัดบริเวณลำคอเป็นแนวยาว ตามการชันสูตรพลิกศพของสถาบันนิติเวชวิทยา หรือทางโรงพยาบาลพระมงกุฎวัฒนะก็ตาม ไม่มีบาดแผลภายนอกที่ทำให้เกิดสาเหตุของตับแตก แต่อาจมีประเด็นอื่นแทรกซ้อนเข้ามา ทางเราจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ได้ อีกทั้ง ส่วนหนึ่งเจ้าหน้าที่สน.ทุ่งสองห้อง มีสิทธิตรวจสอบและนำไปสู่กระบวนการไต่สวนได้อยู่แล้วด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ผลชันสูตรระบุว่า ตับแตกและมีเลือดออกในช่องท้องนั้น ระหว่างที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวไม่มีอาการป่วยหรือความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่ รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่เข้าจับกุมทราบว่า ในวันจับกุมนายธวัชชัยนั้น แทบจะไม่ได้แตะตัวผู้ต้องหาเลย เมื่อมาส่งห้องควบคุมได้ซักถามพูดคุย นายธวัชชัยระบุว่าให้บริการอย่างดี แม้กระทั่งในแบบสอบถามก็ยืนยันว่าการบริการค่อนข้างดี จนพอใจกับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่ในช่วงเย็นจะนำตัวผู้ต้องหาลงมาสอบปากคำ ทางญาติของผู้ต้องหาร่วมฟังการสอบสวนด้วย เพราะหากนายธวัชชัยถูกซ้อมหรือทรมานจริง นายธวัชชัยน่าจะบอกกับญาติ
รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า หลังสอบปากคำเสร็จ ได้นำตัวนายธวัชชัยขึ้นไปยังห้องควบคุมตัวและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุม มีการพูดคุยและอำนวยความสะดวกตามขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนประเด็นการเสียชีวิตที่ถูกมองว่าเป็นการฆ่าตัดตอนหรือไม่นั้น ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ยืนยันว่าหากพบเจ้าหน้าที่มีการกระทำผิดทางอาญา จะต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
เมื่อถามว่า มีการตรวจสอบหลักฐานจากกล้องวงจรปิดหรือไม่ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยอธิบดีดีเอสไอสั่งการให้ตรวจสอบทั้งหมด ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดในห้องควบคุมนั้นไม่มี อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวนั้น ไม่มีใครมาติดต่อขอเข้าเยี่ยมแต่อย่างใด นอกจากญาติที่มาอยู่ด้วยตลอดการสอบปากคำ ก่อนจะแยกย้ายหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องนำตัวผู้ต้องหาขึ้นไปยังห้องควบคุม
เมื่อถามถึงกรณีมีการตั้งค่าหัวของนายธวัชชัย พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจในเรื่องของการตั้งค่าหัวว่าเป็นการตั้งค่าหัวของฝ่ายไหน อาจเป็นการตั้งค่าหัวของฝ่ายผู้ร่วมกันกระทำผิดหรือไม่ ถ้าพูดไปแล้วมันอาจจะไปเกี่ยวพันหลายคดี แต่ในส่วนของเราไม่ได้มีการตั้งค่าหัวแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพล อาศัยในเรื่องของการทุจริตออกเอกสารสิทธิ อย่างไรก็ตาม นายธวัชชัยไม่มีการขอในเรื่องการดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้แต่อย่างใด

“บิ๊กตู่” ปัด “ป๋าเปรม” เอี่ยวตั้ง ผบ.ทบ. ยันพิจารณาร่วมกับ “บิ๊กป้อม-ผบ.เหล่าทัพ“”

“บิ๊กตู่” ปัด “ป๋าเปรม” เอี่ยวตั้ง ผบ.ทบ. ยันพิจารณาร่วมกับ “บิ๊กป้อม-ผบ.เหล่าทัพ“”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
        “ประยุทธ์” ติงสื่ออย่าดึง “ป๋าเปรม” มาเอี่ยวตั้ง ผบ.ทบ. ยันพิจารณาร่วมกับ “ประวิตร” และ ผบ.เหล่าทัพ รับอาจมีผู้ผิดหวังเพราะตำแหน่งมีน้อยบ แต่ยืนยันกองทัพไม่แตกแยก ปัดเพิ่มอัตราจอมพล ที่ปรึกษากลาโหม ซับน้ำตา “บิ๊กแกละ” หลังพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ระบุตั้งเพราะมีคุณงามความดีจากการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติมาตลอด
       
       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเพิ่มอัตราจอมพล ตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม รองรับ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก ที่พลาดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่า ไม่มี มีเพียงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา แต่เดิมเคยมีแต่ถูกปรับลดไป ความจริงไม่ควรถูกปรับลด แต่ด้วยวิธีต่างๆ ที่ผ่านมา ในทุกๆ ปีเราจะต้องให้คนที่เขาทำงาน อย่าไปคิดว่าเป็นการตอบแทนให้คิดว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต แล้วประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ตำแหน่งมีจำกัด ขอให้คิดว่าเขาทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ต้องให้เขามีความสุขในบั้นปลายชีวิต รวมถึงครอบครัวได้ภูมิใจ ทำไมสื่อไม่คิดแบบนั้น ตนขอถามว่าถ้าคนห่วยๆ จะเป็นได้หรือเปล่า ก็เป็นไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้มากมายอะไร ส่วนข้างบนเขาก็ทำงานจริงๆ ข้างล่างลงมาก็มีตำแหน่งจำกัด ส่วนที่เกินมาก็ตั้งคนมาช่วยเป็นคณะทำงาน เพราะกองทัพบกมีถึง 6 สาย ไม่ว่าจะกำลังพล การข่าว ยุทธการ การศึกษา กำลังบำรุง เขามีกลุ่มงานของเขา มีคณะกรรมการต่างๆ คนเหล่านี้จะมาช่วยกันทำงานทั้งหมด ไม่ใช่แค่ ผบ.ทบ.อย่างเดียว ต้องมีการมอบนโยบายลงไปให้ 5 เสือไปพิจารณาทั้งหมด รวมถึงให้คณะทำงานไปทำงานในแต่ละสายงาน ถึงจะสรุปข้อมูลทั้งหมดมาให้ ผบ.ทบ. โดยผ่านกระบวนการของ 5 เสือ
       
       “กองทัพมีการทำงานแบบนี้ทุกเหล่าทัพ ผมยืนยันว่าการแต่งตั้งทั้งหมดมีการประชุมกัน ผมจะแต่งใครก็ต้องมีการประชุม 5 เสือ จากนั้นก็เสนอให้ที่ประชุมกลาโหม หากจะตั้งนายทหารพันเอกพิเศษ ผบ.ทบ.เป็นคนตัดสินใจ แต่ผมต้องประชุม 5 เสืออีก โดยเอาคำสั่งการปรับย้ายที่ทุกกองทัพและหน่วยงานเสนอเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมว่าคนในตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเราก็รู้ดีว่าใครดีไม่ดีอย่างไร แต่ถ้าเขาโอเคอยู่แล้ว ผมก็ไม่แตะ แทบจะส่วนน้อยมากที่ผมไปยุ่ง”
       
       พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การปรับย้ายครั้งนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีการบีบบังคับใครทั้งสิ้น ยืนยันว่าก่อนจะมีการออกคำสั่งได้มีการประชุมเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนวิเคราะห์กันมาว่าจะอยู่ข้างใคร รวมถึงการไปเข้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นคนละเรื่องกันจะเอามาโยงกันได้อย่างไร ตนก็ตั้งกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม รวมกับการพิจารณาของ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น ทุกอย่างกลั่นกรองมาแล้ว ไม่มีใครเกี่ยวข้องทั้งสิ้นขอยืนยัน
       
       “ผมบอกแล้วไง ไม่มีใครมาสั่งผม เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง และผมเป็นผู้นำเสนอและพิจารณา ขั้นสุดท้ายก่อนจะลงนามกราบบังคมทูล เราทำงานกันแบบนี้ อย่าไปคิดว่าจะต้องตั้งคนโน้นคนนี้ ข้างของคนนู้นคนนี้ มันต้องคนเดียว ยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมในกองทัพ สุดท้ายแตกแยก แต่ทหารไม่มีเรื่องเหล่านี้ ไม่มีแน่นอน คนส่วนใหญ่เขายอมรับ ส่วนคนผิดหวังก็เป็นคนส่วนน้อย เป็นคนธรรมดาเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ทำให้เขายอมรับ การทำงานต้องไต่เต้ามาตั้งแต่เล็กจนโต และระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็เอาเรื่องเหล่านี้มาพิจารณา ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านพิจารณาหมด ไม่ใช่จะพิจารณาส่งเดช รักผมหรือไม่รักผม มันไม่ใช่ เพราะถึงไม่รักผม ผมก็รักเขา นึกถึงเขาสิ เพราะฉะนั้นอย่าเอา พล.อ.เปรมมาเกี่ยว ต้องให้เกียรติท่าน อย่าเอาท่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะท่านเป็นที่เคารพนับถือของกองทัพ และท่านเองก็บอกว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น แต่สื่อก็เขียนอยู่ได้ เอาท่านมาเกี่ยวทำไม เอามาเกี่ยวให้ทะเลาะเบาะแว้ง ผมยืนยันว่าผู้ใหญ่ทุกคนไม่มีอะไรซึ่งกันและกัน ฉะนั้นอย่าไปเขียนให้ปัญหามันมากขึ้น เพราะปัญหามันเยอะอยู่แล้ว ขอให้ผมได้ทำงานแก้ปัญหา เดินตามอนาคต วันนี้ถามว่าผมทำเพื่อพวกพ้องหรือ”

อธิบดีดีเอสไอ แจง ผลชันสูตรอดีตพนง.ที่ดิน ภูเก็ต-พังงา ตับแตก อาจเกิดจากช่วงช่วยชีวิต

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีผลชันสูตรพลิกศพนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาท้ายเมือง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่เสียชีวิตจากการผูกคอตนเอง ว่าเกิดจากเลือดออกในช่องท้อง ตับแตกจากการถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก ร่วมกับขาดอากาศหายใจจากการผูกคอ ว่าเบื้องต้นตนทราบผลชันสูตรจากสถาบันนิติวิทยา โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น ทางดีเอสไออยู่ระหว่างทำเอกสารข่าวเพื่อชี้แจงให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบ
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวต่อว่า สำหรับผลชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่า นายธวัชชัยเสียชีวิตจากเลือดออกในช่องท้อง และตับแตกจากการถูกของแข็งไม่มีคมกระแทกนั้น อาจเป็นไปได้ว่าระหว่างที่เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือด้วยการปั๊มหัวใจเพื่อไม่ให้ชีพจรหยุดทำงาน ซึ่งถ้าทำผิดวิธีอาจทำให้เกิดการกระแทกและมีเลือดออกในช่องท้องได้ ซึ่งเรื่องนี้ทางดีเอสไออยู่ระหว่างสอบถามไปยังสถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายธวัชชัยได้ ทางญาติก็ได้เดินทางมาเยี่ยมและอยู่กับนายธวัชชัยจนถึงช่วงเย็น หากมีอะไรผิดปกติเชื่อว่านายธวัชชัยจะต้องแจ้งให้ญาติทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้ ที่ชั้น 6 ของอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นชั้นที่มีห้องที่ใช้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหา ได้มีกล้องวงจรปิด หากญาติสงสัยในประเด็นการเสียชีวิต ก็จะได้เชิญให้ญาติดูกล้องวงจรปิดได้
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาหรือไม่ ตนยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแน่นอน และไม่เคยทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาอยู่แล้ว โดยทางเรายืนยันความบริสุทธิ์ และคงจะเชิญญาติมาดูกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพระหว่างการควบคุมตัวนายธวัชชัยด้วย

เมียนมาจะเปิดการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21



31 สิงหาคม 2559 เมียนมาจะเปิดการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21 ถือเป็นการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 69 ปี ซึ่งรัฐบาลพม่าเคยทำสนธิสัญญาปางโหลงกับกลุ่มชาติพันธุ์เมื่อปี 2490 แต่สนธิสัญญาปางโหลงกลายเป็นโมฆะ หลังพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ กลายเป็นที่มาให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆจับอาวุธสู้รบกับพม่า รัฐบาลเมียนมา เรียกการประชุมครั้งนี้ว่า Panglong Spirit หรือจิตวิญญานปางโหลง ที่จะร่วมกันสร้างประชาธิปไตย โดยเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ให้การต้อนรับนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21
เลขาธิการยูเอ็น ตอบรับที่จะร่วมกล่าวเปิดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ ในรอบ 69 ปีครั้งนี้ เพราะจะเป็นก้าวย่างสำคัญต่อกระบวนการสันติภาพของเมียนมา หลังรัฐบาลพรรค NLD ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แม้นางอองซานซูจี ไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีได้ แต่เธอได้แสดงบทบาทในการสร้างสันติภาพซึ่งเป็นที่คาดหวังจากทุกฝ่าย นอกเหนือจากบทบาทที่เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 1991นางซูจี ใช้เวลา 5 เดือนเดินหน้ากระบวนการสันติภาพด้วยการจัดประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21
นับจากพม่าได้ทำสนธิสัญญาปางโหลงกับกลุ่มชาติพันธ์ในปี 1947 หรือปี 2490 โดยนายพลอองซาน บิดาของนางอองซานซูจี ต้องการรวบรวมกลุ่มชาติพันธุ์ 4 กลุ่ม ในขณะนั้นคือ รัฐฉานหรือไทใหญ่ รัฐคะฉิ่น และรัฐชิน เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ โดยตกลงกันในสัญญาปางโหลงว่า เมื่อได้รับเอกราชแล้ว หลังจากนั้น 10 ปี จะให้แต่ละชาติพันธุ์ปกครองตนเอง แต่หลังพม่าได้รับเอกราชในปี 2491 เป็นสหภาพพม่า นายพลอองซาน ที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกลอบสังหาร มีการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลเป็นนายอูนุ แม้สัญญาปางโหลงจะถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2490 แต่ เมื่อได้รับเอกราชครบ 10 ปี พม่าไม่ทำตามสัญญาที่จะคืนอำนาจให้แต่ละรัฐ แต่ละชาติพันธุ์ปกครองตนเอง หลังจากนั้น นายพลเนวินได้ยึดอำนาจจากนายอูนุ รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้ง สัญญาปางโหลงจึงกลายเป็นโมฆะ กลายเป็นที่มาให้กลุ่มชาติพันธุ์จับอาวุธมาสู้รบกับพม่ายาวนานกว่า 60 ปี รวมถึงชาติพันธุ์อื่นในพม่า เช่น กระเหรี่ยง มอญ และอาระกันหรือยะไข่
จนรัฐบาลพเอกเต็งเส่ง เริ่มกระบวนการสันติภาพ สามารถลงนามหยุดยิงกับ 8 กลุ่มชาติพันธ์ได้สำเร็๋จเมื่อ 15 ตุลาคม ปีที่แล้ว และรัฐบาลนางอองซานซูจี ได้สานต่อ โดยจะมี 18 กลุ่มชาติพันธุ์มาเข้าร่วม ไม่มาเข้าร่วม 3 หลุ่มคือ ดาราอั้ง ปะหล่องและกองทัพอารากันที่ยังมีการสู้รบ และจะมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คน
รัฐบาลเมียนมา เรียกการประชุมครั้งนี้ว่า Panglong Spirit หรือจิตวิญญาณปางโหลงเพราะจะเป็นการเริ่มกระบวนการเจรจาทางการเมือง ยุติสงครามกลางเมืองที่มีมายาวนานกว่า 60 ปี
"รัฐบาลเรียกการประชุมครั้งนี้ว่า Panglong Spirit จิตวิญญาณปางโหลง เรามีสนธิสัญญาปางโหลงปี 1947 เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องเอกราช แต่การประชุมครั้งนี้เรารวมกันอีกครั้งเพื่อสร้างประชาธิปไตย ก้าวสู่การเป็นสหพันธรัฐ ซึ่งจะเริ่มต้นจากการเจรจาทางการเมืองในการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21 วันพรุ่งนี" Min Zaw OO คณะทำงานจัดการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21
ดร.มิน ซอ อู ที่ร่วมทำงานในศูนย์สันติภาพเมียนมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เชื่อว่า หลังการประชุมวันพรุ่งนี้ กลุ่มชาติที่พันธุ์ที่ยังไม่ลงนามหยุดยิ่งจะลงนาม NCA ทำให้ขั้นตอนการเจรจาสันติภาพเข้าสู่การเจรจาทางการเมือง ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ 3-4 ปี ในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพ
เจ้าขุนแสง เลขาธิการพรรครัฐฉานก้าวหน้า หรือ SSPP กองทัพรัฐฉานเหนือ ที่ยังไม่ลงนามหยุดยิง เปิดเผยว่า SSPP ตัดสินใจเข้าร่วมการประชุมพรุ่งนี้เพราะคาดหวังจะเห็นสนธิสัญญาปางโหลงเกิดขึ้นจริงตามข้อตกลงที่จะให้ทุกรัฐมีสิทธิปกครองตนเองอย่างเท่าเทียม ซึ่งตรงกับข้อเรียกร้องของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ หากรัฐบาลพม่าทำได้ ทุกชาติพันธุ์ก็จะอยู่ร่วมกันได้ และ กองทัพรัฐฉานเหนือพร้อมจะยุติการสู้รบ ซึ่งรัฐฉาน กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด จึงมีการประชุมร่วมกันทั้ง SSPP สภากอบกู้รัฐฉาน RCSS กองทัพรัฐฉานใต้ที่นำโดยพลโท เจ้ายอดศึกได้ลงนามหยุดยิงไปแล้ว และพรรค SNLD ,SNDP เพื่อสร้างเอกภาพในการพูดคุยสันติภาพของชาวไทใหญ่
"สิ่งที่ไทใหญ่จะพูดในการประชุมปางโหลงศตวรรษที่ 21 คือเราอยากเห็นปางโหลง 1947 เกิดขึ้นจริง เราจะเรียกร้องนานาชาติให้ช่วยกันผลักดันให้สันติภาพเกิดขึ้นจริง" เจ้าคืนใส ที่ปรึกษาสภากอบกู้รัฐฉาน RCSS/SSA
การแถลงข่าวของเลขาธิการสหประชาติ ยืนยันด้วยว่า UN พร้อมสนับสนุนการก้าวสู่สันติภาพของเมียนมา เพื่อให้ประชาชนทุกชาติพันธุ์ และผู้ลี้ภัยที่มีอยู่ทั่วโลก รวมถึงผู้ลี้ภัยในไทยกว่า 1 แสนคน ได้มีโอกาสกลับประเทศ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นความท้าทายของรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องได้รับความร่วมือจากทหาร กลุ่มชาติพันธุ์และภาคประชาสัง ในการสร้างประชาธิปไตยในเมียนมา รวมถึงการแก้ปัญหาโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ที่ยินดีกับการที่ นายโคฟี่ อันัน อดีตเลขาธิการ UN ตอบรับเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาเรื่องนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายของเมียนมา

การประชุมปางโหลงแห่งศตวรรษที่ 21:

การประชุมปางโหลงแห่งศตวรรษที่ 21: การเจรจาสันติภาพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองของเมียนมา
ในวันพรุ่งนี้ (31 ส.ค.) รัฐบาลเมียนมาเตรียมเปิดการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อหาทางยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาร่วมครึ่งศตวรรษ และนับเป็นการเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการครั้งแรก นับตั้งแต่พรรคเอ็นแอลดีภายใต้การนำของนางออง ซาน ซูจี เข้าทำหน้าที่รัฐบาลตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการเจรจาคงยากที่จะประสบผลสำเร็จอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็ถือเป็นจุดหักเหสำคัญ ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของเมียนมา
การประชุมครั้งนี้จะจัดขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดยนอกจากบุคคลสำคัญในกองทัพเมียนมาแล้ว นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะเข้าร่วมหารือกับบรรดาผู้แทนของกองกำลังชนกลุ่มน้อย 17 กลุ่ม จากทั้งหมด 20 กลุ่มด้วย โดยชนกลุ่มน้อยเหล่านี้คิดเป็นจำนวนราว 40% ของประชากรเมียนมา
ความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งต้องการปกครองตนเองดำเนินมาหลายสิบปี บั่นทอนความมั่นคงของเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศอย่างมาก เช่นการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลของกลุ่มชาวกะเหรี่ยง เริ่มขึ้นหลังจากเมียนมาพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษเมื่อปี 2491ได้ไม่นาน ขณะที่การสู้รบในพื้นที่ทางภาคเหนือซึ่งเป็นที่มั่นของกองกำลังคะฉิ่น ส่งผลให้ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนไปแล้วกว่า 100,000 คน นับตั้งแต่ปี 2554 และมีอีกราวแสนคนต้องอพยพลี้ภัยไปอยู่ในค่ายผู้อพยพในไทย
นางออง ซาน ซูจี ในฐานะมนตรีแห่งรัฐ ได้รับปากจะให้ความสำคัญกับการเจรจาสันติภาพ ในทันทีที่รัฐบาลของนางขึ้นปกครองประเทศ โดยหวังจะสร้างความคืบหน้า ต่อยอดจากการเจรจาสันติภาพภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลทหารชุดที่ผ่านมา ซึ่งสามารถตกลงหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้ แต่ในเวลาเดียวกัน การสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลกับกองกำลังคะฉิ่นในรัฐฉาน ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ในการเจรจาสันติภาพครั้งนี้ กลุ่มชาติพันธุ์หลัก ๆ อย่างกะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉาน และว้า จะเข้าร่วมด้วย แต่ยังมีกลุ่มย่อยอย่างน้อย 3 กลุ่มไม่เข้าร่วม คือกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง และกองทัพอาระกัน ซึ่งยังไม่ได้ลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลที่แล้ว
ผศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช แห่งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยคอร์แนล บอกกับบีบีซีไทยว่า แม้การเจรจาสันติภาพครั้งนี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเมืองเมียนมาระยะเปลี่ยนผ่าน และมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3 ประการคือ 1) เป็นการสร้างรัฐ โดยเป็นเวทีเบิกทางไปสู่การออกแบบโครงสร้างสหพันธรัฐ เช่น ให้เมียนมามีรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ มีการกระจายอำนาจ 2) เป็นการสร้างชาติ โดยเป็นเวทีใหญ่สำหรับกระบวนการปรองดองแห่งชาติและสมานฉันท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องแนวคิดชาตินิยม ซึ่งปัจจุบันมีทั้งแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งที่นำโดยกลุ่มชาวพุทธนิยมเชื้อสายพม่าแท้ กับแนวคิดชาตินิยมเชิงโต้กลับของกลุ่มชาติพันธุ์ที่นำโดยขบวนการกู้ชาติของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ 3) เป็นการสร้างสันติภาพ โดยเยียวยาประวัติศาสตร์การสู้รบในอดีต และทำให้การหยุดยิงเป็นรูปธรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ผศ.ดุลยภาค เห็นว่าการเจรจาครั้งนี้น่าจะยืดเยื้อหาข้อสรุปได้ยาก แต่ก็จะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การประชุมรอบใหม่ เนื่องจากวาระการประชุมอาจมีหลายประเด็น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละคนมีทักษะในการเจรจาที่แตกต่างกัน รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับความจริงใจของผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายรัฐบาล กองทัพ และกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อย ทั้งที่ลงนามในสัญญาสันติภาพและยังไม่ได้ลงนาม ซึ่งบางกลุ่มยังคงปะทะกับกองทัพเมียนมา นอกจากนี้ยังมีประชาคมนานาชาติ องค์กรสันติภาพต่าง ๆ พรรคการเมือง และองค์กรประชาสังคมเข้าร่วมด้วย
ผศ.ดุลยภาคกล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านรัฐและสังคมเมียนมา โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในรัฐที่มีหลายชาติพันธุ์ หรือในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งร้าวลึก มักจะยืดเยื้อและใช้เวลายาวนาน แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ และเป็นสิ่งที่น่าคิดต่อว่า รัฐไทยจะมีกิจกรรมการประชุมเจรจาที่เป็นจุดหักเหคลี่คลายทางการเมืองในลักษณะนี้ได้บ้างหรือไม่ #MyanmarPeacetalk

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คีร์กิซสถานเผยเหตุระเบิดสถานทูตจีนเป็นคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย

คีร์กิซสถานเผยเหตุระเบิดสถานทูตจีนเป็นคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย
นายเซนิช ราซาคอฟ รองนายกรัฐมนตรีคีร์กิซสถาน เผยรายละเอียดเหตุระเบิดหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงบิชเคก เมืองหลวงคีร์กิซสถาน วันนี้ (30 ส.ค.) เป็นการก่อเหตุคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตาย ทำให้ผู้ก่อเหตุเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวคีร์กิซสถานซึ่งทำงานให้กับสถานทูตจีนบาดเจ็บ 3 ราย แต่ไม่มีชาวจีนได้รับบาดเจ็บ
สำนักข่าวเอเคไอเพรสของคีร์กิซสถานรายงานว่าผู้ก่อเหตุขับรถพุ่งชนแนวกั้นบริเวณทางเข้าสถานทูตจีนก่อนจะจุดชนวน และแรงระเบิดทำให้ตัวอาคารสถานทูตบางส่วนเสียหาย ขณะที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของคีร์กิซสถานจะเร่งตรวจสอบว่ากลุ่มใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้
รัฐบาลคีร์กิซสถานเริ่มต้นปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายตั้งแต่ปี 2558 หลังมีรายงานว่าชาวคีร์กิซสถานมากกว่า 500 คน เป็นสมาชิกของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) และชายชาวคีร์กิซสถานรายหนึ่งมีส่วนร่วมในการก่อเหตุของไอเอสซึ่งบุกโจมตีสนามบินอตาเติร์กในนครอิสตันบูลของตุรกีเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 44 ราย
นอกจากนี้ ชาวจีนเคยตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มก่อเหตุร้ายในคีร์กิซสถานมาก่อนแล้ว โดยเมื่อปี 2543 เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนถูกยิงเสียชีวิต 1 รายจากการลงมือของชาวอุยกูร์ และเมื่อปี 2557 หน่วยลาดตระเวนชายแดนของคีร์กิซสถานได้ยิงสังหารชาวอุยกูร์ 11 รายซึ่งพยายามลักลอบข้ามแดนเข้ามายังคีร์กิซสถาน และผลการสอบสวนพบว่ากลุ่มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวต่อต้านจีน ทั้งยังมีกลุ่มติดอาวุธฮิซบุตทาห์รีร์ เครือข่ายติดอาวุธชาวมุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่ง เกี่ยวโยงกับกลุ่มตาลีบันและกลุ่มอัล-เคดา เคลื่อนไหวอยู่ในคีร์กิซสถานด้วยเช่นกัน
รายงานข่าวระบุด้วยว่าสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับสถานทูตจีนในกรุงบิชเคก สั่งอพยพบุคลากรออกจากพื้นที่ชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ขณะที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเคยออกประกาศเตือนพลเรือนของตนให้เฝ้าระวังภัยจากการก่อการร้ายเมื่อเดินทางมายังคีร์กิซสถาน เนื่องจากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเป็นระยะในพื้นที่ทางใต้และตะวันตกของเมืองออชของคีร์กิซสถาน

อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย

อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย
อดีตพนักงานที่ดินผูกคอตายลาโลกหลังถูกจับกุมเผยออกโฉนดที่ดินภูเก็ต-พังงาค่ากว่า 1 หมื่นล้านผิดกฎหมาย
ธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี (ภาพเล็ก)อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงา สาขา ท้ายเหมืองผูกคอตายในห้องสอบสวนชัน 6 กรมดีเอสไอเมื่อเช้ามืดวันที่ 30 สิงหาคม 2559 หนีคดีออกโฉนดที่ภูเก็ต-พังงาผิดกฎหมายมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท (ขอบคุณภาพจากสำนักข่าว INN)
Last updated: 30 สิงหาคม 2559 | 12:35
อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน วัย 66 ออกโฉนดอำเภอถลางภูเก็ตและพังงาค่ากว่าหมื่นล้านผูกคอตายในห้องขังกรมดีเอสไอเหตุเครียดหนักหลังถูกจับกุม เผยบางคดีศาลพิพากษาไปแล้ว
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับรายงาน จากพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ว่า มีผู้ต้องหาคดีออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบหลายแปลงในจังหวัดภูเก็ตและพังงา ผูกคอตาย ภายหลังถูกจับกลุ่ม เบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขึ้นช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 29 สิงหาคม และเรื่องอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ
พ.ต.อ.ไพสิฐเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ ตี นายธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงา สาขา ท้ายเหมือง ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับกุมได้เมื่อช่วงเย็น วันที่ 29 สิงหาคมที่บริเวณด้านหน้าร้านตัดผมเลขที่ 61/55ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และนำตัวไปควบคุมที่ชั้น ของอาคารดีเอสไอ ซึ่งเป็นห้องควบคุม เพื่อรอนำตวไปฝากขังที่ศาลอาญาในวันนี้ (30 สิงหาคม)
นายธวัชชัย พยายามใช้เสื้อผูกคอตัวเอง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ขณะนั้นจะเห็นและช่วยปั๊มหัวใจ และเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ระหว่างทางนายธวัชชัยยังหายใจได้ เมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์พยายามช่วยชีวิต ก่อนที่นายธวัชชัยจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเวลาประมาณ 05.00 น.
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยว่า สาเหตุที่นายธวัชชัยพยายามผูกคอตัวเองนั้น คาดว่าเกิดจากความเครียด เนื่องจากนายธวัชชัยอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการออกเอกสารโดยมิชอบในพื้นที่จ.พังงา และจ.ภูเก็ต รวมถึงบางคดีถูกศาลพิพากษาตัดสินจำคุกมาก่อนหน้านี้ด้วย   
สำหรับขั้นตอนตามกระบวนการหลังจากนี้จะมีการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ เนื่องจากเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ และจะสอบถามไปทางญาติ ว่าติดใจสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ห้องควบคุมมีกล้องวงจรปิด บันทึกภาพไว้
ส่วนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เข้าเวร ดีเอสไอจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องการปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้รายงานให้พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เดินทางมาที่ดีเอสไอ เพื่อทำการเก็บรวบรวมหลักฐาน ก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
กรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจงรายละเอียด
ต่อมาเวลา 11.20 น. วันที่ 30 สิงหาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจง กรณี ผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการควบคุม เสียชีวิตระบุว่า
ด้วยส่วนควบคุมผู้ต้องหา สำนักปฏิบัติการพิเศษ ได้รายงานเหตุสำคัญ กรณี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เวลาประมาณ02.00 น. นายธวัชชัย อนุกูล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 44 / 2558 ของสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมและได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เจ้าพนักงานของศูนย์สืบสวนสะกดรอย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้จับกุมตัวนายธวัชชัย ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1165 / 2559 ตามฐานความผิดข้างต้น และนำส่งพนักงานสอบสวน สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินคดี โดยได้นำตัวนายธวัชชัย ไปส่งควบคุมตัวระหว่างการสอบสวนที่ส่วนควบคุมผู้ต้องหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับตัวไว้เพื่อรอพนักงานสอบสวนนำตัวไปขออำนาจฝากขังที่ศาลอาญาในวันเดียวกันนี้
ปรากฏว่า ตั้งแต่รับตัวไว้ควบคุมหลังการสอบสวน เมื่อเวลาประมาณ 15.45 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม ผู้ต้องหาแสดงอาการวิตกกังวล เครียด และมีอาการกระสับกระส่าย เจ้าหน้าที่ได้นำอาหารให้รับประทาน แต่นายธวัชชัย ฯ รับประทานได้เพียงเล็กน้อย และเดินไปมาในห้องควบคุม จากนั้นได้ล้มตัวลงนอน จนเวลาประมาณ 01.00 น. เศษ นายธวัชชัย แจ้งว่า แสงในห้องควบคุมสว่าง ทำให้นอนไม่หลับ ขอให้เจ้าหน้าที่ปิดไฟ แต่เจ้าหน้าที่อธิบายให้ทราบว่า ตามระเบียบไม่สามารถปิดไฟในห้องควบคุมได้ นายธวัชชัย จึงนอนบนที่นอน โดยใช้ผ้าคลุมบริเวณหน้า และนอนตะแคง เจ้าหน้าที่เห็นว่า นายธวัชชัย พักผ่อนแล้ว จึงตรวจตราตามปกติ
ต่อมาในเวลาประมาณ 02.00 น.เศษ เจ้าหน้าที่ได้เดินกลับมาตรวจที่หน้าห้องควบคุมอีกครั้ง เห็นว่าผู้ต้องหานั่งหันหลังพิงประตู จึงได้เคาะประตูเรียก แต่ผู้ต้องหาไม่ตอบ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปพบว่า ผู้ต้องหาได้ใช้ถุงเท้า ผูกคอตนเองกับขอบบานพับประตูห้องควบคุม แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เจ้าหน้าที่จึงพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิต และรีบนำส่งรพ.มงกุฎวัฒนะ เพื่อให้ความช่วยเหลือขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 02.30 น. แต่ผู้ต้องหาได้เสียชีวิตลง เมื่อเวลาประมาณ 04.45 น. และเนื่องจากเป็นการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้แจ้งให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้วางมาตรการควบคุมผู้ต้องขังเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษขอแสดงความเสียใจไปยังญาติของผู้เสียชีวิต ณ ที่นี้ด้วย
ออกโฉนดทับซ้อนอุทยานแห่งชาติค่ากว่า 1 หมื่นล้าน
รายงานข่าวเปิดเผยว่านายธวัชชัย ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจับตามหมายจับในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ ในจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม จากกรณีทุจริตการออกโฉนดที่ดินบริเวณหาดลายัน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และแปลงที่ดินบริเวณเขาหน้ายักษ์ ทับซ้อนอุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาจำปี จำนวน 500 ไร่ มูลรวมกว่า 10,500 ล้านบาท

เมื่อปี 2553 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลวินัยร้ายแรงและอาญา นายธวัชชัย ไปแล้ว เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต กับพวก ฐานทุจริตต่อหน้าที่โดยการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จำนวนกว่า 362 ไร่

แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องทางการไทย-ลาว ติดตามกรณีอุ้มหาย เนื่องในวันผู้สูญหายสากล

แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องทางการไทย-ลาว ติดตามกรณีอุ้มหาย เนื่องในวันผู้สูญหายสากล
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์เรียกร้องทางการไทยและลาว ให้ติดตามกรณีอุ้มหายทนายสมชาย นีละไพจิตร รวมทั้งนายพอจะลี (บิลลี่) รักจงเจริญ และนายสมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสชาวลาว เนื่องในวันผู้สูญหายสากล (International Day of the Disappeared) ซึ่งตรงกับวันที่ 30 สิงหาคม ของทุกปี
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า หลายประเทศยังคงใช้วิธีการอุ้มหายเพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังคงติดตามกรณีการหายตัวไปของนาย สมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสชาวลาวที่หายตัวไปตั้งแต่ปลายปี 2555 อย่างต่อเนื่อง โดยเรียกร้องให้รัฐบาลลาวจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสืบหาความจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการสืบสวนของตำรวจที่ผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพ และทางการเองไม่สามารถแจ้งความคืบหน้าการสืบสวนต่อครอบครัวของสมบัดได้ นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังขอเรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ พูดถึงประเด็นดังกล่าวในการเดินทางเยือนลาวในเดือนหน้าด้วย
ในส่วนของประเทศไทยนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังคงติดตามกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนคนสำคัญของประเทศ ที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2547 และกรณีของนายพอจะลี (บิลลี่) รักจงเจริญ ผู้นำกลุ่มชาวกะเหรี่ยงในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อปี 2557 โดยศาลฎีกาได้ยกฟ้องผู้ต้องสงสัยทั้งหมดในทั้งสองคดี
ทั้งนี้ วันผู้สูญหายสากลมีขึ้นเพื่อรำลึกถึงบุคคลที่สูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม การปราบปรามจากรัฐ หรือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีผู้สูญหายและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยในหลายประเทศ วิธีการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือที่เรียกว่า “อุ้มหาย” ยังคงใช้กันอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอำนาจรัฐและปิดปากผู้เห็นต่าง ซึ่งเป็นการกระทำที่การขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายระหว่างประเทศขั้นร้ายแรง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลทุกประเทศทั่วโลก สืบหาความจริงในกรณีการอุ้มหายอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง นำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี รวมทั้งออกกฎหมายป้องกันและปราบปรามการอุ้มหาย ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนชดเชยเยียวยาครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมด้วย
(ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ)

ปัจจัยที่จะเปลี่ยนเกมในซีเรียคือตุรกีและจีน:

ปัจจัยที่จะเปลี่ยนเกมในซีเรียคือตุรกีและจีน:

cr เพจ 
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
อาทิตย์ที่แล้ว เจอข่าวการปะทะกันระหว่างตุรกีกับกองกำลังชาวเคิร์ดที่มะกันหนุนหลังในซีเรีย โดยกองทัพตุรกีบุกเข้ามาจัดการกับกองกำลังชาวเคิร์ดที่มะกันหนุนหลังโดยตรง เละกันไปทั้ง ๒ ฝ่าย เหลืออย่างเดียวก็คือมะกันไม่ยอมเอาเครื่องบินรบ F-16 ของตนเองออกไปเผชิญหน้ากับ F-16 ของตุรกี ถ้ามะกันยอมเอาเครื่องบินรบออกรบกับตุรกีตรงๆ ไม่ใช้สงครามตัวแทน การอ่านเกมสงครามในซีเรียจะง่ายขึ้น แปลว่าตุรกีเข้าข้างรัสเซียแน่นอนแล้ว
แต่มีพัฒนาการสองอย่างตามมา ๑.เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แอร์โดกันพยายามเข้าพบโอบามาที่สหรัฐอเมริกา แต่โอบามาไม่ยอมให้พบ พยายามสร้างภาพว่าไม่ลดตัวเองลงมาคุยกับแอร์โดกัน แต่บัดนี้ โอบามาขอพบแอร์โดกันในการประชุมสุดยอด G20 ที่จีน ประมาณวันที่ ๔ หรือ ๕ กันยายนที่จะถึงนี้ ๒.ทหารระดับสูงของจีนหลายนายแสดงความเห็นว่าเรื่องสงครามในซีเรียนี้รัสเซียไม่เด็ดขาดกับฝ่ายตรงข้ามเพียงพอ ปัญหาจึงคาราคาซัง ไม่ยอมจบเสียที ไม่นานจากนั้น ก็มีข่าวว่าจีนจะส่งทหารเข้าไปร่วมรบรัสเซีย โดยทหารเหล่านี้จะไปที่อาเลปโปโดยตรงด้วย
พัฒนาการข้อที่ ๑ ทำให้ผมเดาได้ว่าตุรกีคงจะได้ไฟเขียวจากรัสเซีย อิหร่านและซีเรียให้ส่งทหารเข้ามาซีเรียอย่างไม่เป็นทางการเพื่อเก็บกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นเด็กมะกันโดยเฉพาะ แต่เพื่อให้เนียนหน่อย ต้องให้รัฐบาลซีเรียออกมาประท้วงพอเป็นพิธี ผมคิดเช่นนี้เพราะดูจะตื้นเขินไปหน่อยหากบอกว่าตุรกีกล้าลูบคมรัสเซีย อิหร่านและซีเรีย โดยส่งทหารบุกเข้ามาซีเรียอย่างดื้อๆ รัสเซียและอิหร่านมีประสบการณ์การรบมานาน มีหรือจะไร้เดียงสายอมให้ตุรกีทำขนาดนั้นได้
ผมจึงมองว่ารัสเซียใช้ตุรกีเป็นเครื่องมือ *ไล่* เด็กมะกันในซีเรียโดยตรง มะกันจึงต้องขอยอมเจรจา เพราะโดยธรรมดา มะกันจะไม่ยอมเจรจาถ้าตนเองได้เปรียบ ถ้าตุรกีไล่บี้กองกำลังชาวเคิร์ดจนเกลี้ยงไปตามแนวพรมแดน จีนส่งทหารเข้ามาร่วมรบกับรัสเซีย+ซีเรีย+เฮสบอเลาะห์ของอิหร่านเพิ่ม ช้าหรือเร็ว มะกันต้องลงมือทำสงครามเอง เลิกใช้กองกำลังอื่นๆ มาทำสงครามตัวแทน เกมก็จะจบเร็วขึ้น
29 สิงหาคม 2559
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
*ถ้าจะแชร์ โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจนและหากจะวิจารณ์ โปรดใช้คำสุภาพเพื่อป้องกันการละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ผมพยายามลบข้อความวิจารณ์ที่หยาบและสะกดผิดออกทุกครั้งที่เห็น ในกรณีที่วิจารณ์ไม่เข้าเรื่องหรือหยาบเกินไปบ่อยๆ ผมอาจจะบล็อคไม่ให้วิจารณ์อีกนะครับ

ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย จะจับมือกันตั้งรัฐบาล

ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย  จะจับมือกันตั้งรัฐบาล
        
ความเป็นไปได้ที่ ปชป.กับเพื่อไทย  จะจับมือกันตั้งรัฐบาล
        “หนึ่งความคิด” 
       โดย “สุรวิชช์ วีรวรรณ”
       
       ตอนที่ผมเขียนต้นฉบับนี้อยู่นี้ ยังไม่รู้ว่า ประเด็นที่ สนช.กลุ่มหนึ่งดันทุรังจะให้เพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญที่ต้องปรับตามคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติให้ ส.ว.นอกจากสามารถโหวตเลือกนายกฯได้ในเวลา 5 ปีแล้ว ยังให้ ส.ว.สามารถเสนอชื่อนายกฯ ได้ด้วยซึ่งได้รับเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวางเพราะไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคำถามพ่วงจะจบลงอย่างไร แต่ผมก็เห็นเหมือนคนส่วนใหญ่ว่าไม่น่าจะทำได้ และเชื่อว่าคงจะไม่กล้าฝืนกระแส
       
        ส่วนประเด็นนายกฯ คนนอกตามบทเฉพาะกาลมาตรา 268 และ มาตรา 272 นั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า เกิดขึ้นได้ครั้งแรกหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครั้งเดียว แต่ต้องหลังจากที่ ส.ส.และส.ว.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีตามรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอแล้วไม่มีใครตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภารวมกัน 750 เสียง จึงจะไปขอมติเพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้
       
        หลายคนคาดการณ์กันว่ายังไงเสียการเลือกตั้งครั้งแรกจะต้องได้นายกรัฐมนตรีคนนอกแน่ๆ เพราะการขอให้เปิดทางให้นายกรัฐมนตรีคนนอกนั้นมาจากข้อเสนอของ คสช.ถึงกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง อย่างไรเสีย ส.ว.250 เสียงซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช.จะต้องยืนกรานไม่เอาตามบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนนอกแน่ๆ 
       
        วิกฤตการเมืองในช่วงที่ผ่านมา นักการเมืองถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุหลักที่นำประเทศไปสู่วิกฤตกระแสสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่สูงก็เพราะมาจากการกระแสต่อต้านนักการเมืองนั่นเอง แม้ว่าจะมีนักการเมืองดีอยู่บ้าง แต่นักการเมืองทั้งหมดก็ตกอยู่ในสภาพปลาเน่าข้องเดียวกัน
       
        มีคนคาดกันว่า ถึงตอนนั้นจะเกิด “ฉันทมติใหญ่” จากนักการเมือง ส.ว.และกระแสสังคมร่วมกันกดดันเพื่อให้ได้นายกฯคนนอกเข้ามาบริหารประเทศ เหมือนกับยุคที่พรรคการเมืองเสนอพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
       
        ตอนนี้ พรรคประชาชนปฏิรูปของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ชิงเปิดตัวแล้วว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ฟังน้ำเสียงคุณ ไพบูลย์แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่มีสิทธิ์เสนอชื่อตั้งแต่ต้น(พรรคที่จะเสนอชื่อได้ต้องมีส.ส.ตั้งแต่25คนขึ้นไป) แต่ความหมายของคุณไพบูลย์ก็คือ การเสนอพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในโควตาคนนอกนั่นแหละ และพล.อ.ประยุทธ์ก็พูดทำนองว่า “ก็ต้องไปหามา ถ้ามันไปไม่ได้แล้วค่อยมาถามผม” 
       
        แปลตรงๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ก็พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง 
       
        พูดถึงคุณไพบูลย์ก็ต้องชมกันนะครับว่า แม้ดูเหมือนแกจะฉวยโอกาสขี่กระแสพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ยังดีและกล้ากว่าใครหลายคนที่เชลียร์ คสช.เพื่อหวังให้ได้กลับมาเป็น ส.ว.
       
        ถามว่าโอกาสนายกฯ คนนอกซึ่งดูเหมือนจะง่ายๆ ดูเหมือนจะนอนมาตามกระแสของสังคม แต่ถามว่าโอกาสที่จะเป็นไปไม่ได้มีมั้ยคำตอบก็คือมีเหมือนกัน
       
        อย่าลืมว่า แม้พรรค ส.ว.ซึ่งเปรียบเหมือนพรรค คสช.จะมีเสียงในมือแล้ว 250 เสียง แต่ ส.ส.ก็มีเสียงในมือรวมกัน 500 เสียง ถ้าส.ส.เกิน 250 เสียงยืนกรานที่จะไม่เอาคนนอกฉันทามตินี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแม้เสียง ส.ว.250เสียงบวกกับเสียงส.ส.126เสียงขึ้นไปจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง รัฐบาลก็บริหารประเทศไม่ได้ ยังไงเสียงฝ่ายรัฐบาลก็ต้องให้ได้เสียงส.ส.เกิน 250 เสียงอยู่ดี เพื่อรับมือกับการผ่านกฎหมายต่างๆ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
       
        อันนี้รวมถึงมติขอนายก ฯคนนอกตามมาตรา 272 หลังจากเลือกตามรายชื่อพรรคการเมืองไม่ได้แล้วยังไงก็ต้องมีเสียงส.ส.ในมือเกิน251คนเสียก่อนเพื่อให้รวมกับส.ว.เป็นเสียง2ใน3จึงจะเดินหน้าไปสู่คนนอกได้
       
        นั่นแสดงว่า ถ้าส.ส.เกิน 250 คนจับมือกันเหนียวแน่นไม่เอานายกฯคนนอกประตูนี้ก็ปิดตายเลย
       
        แม้ว่าสังคมส่วนหนึ่งจะชิงชังนักการเมืองว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดวิกฤตในบ้านเมือง แต่ถามว่านักการเมืองยอมรับมั้ย ผมคิดว่าเขาไม่ยอมรับหรอก หรืออย่างน้อยเขาก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่สาเหตุหลักของวิกฤตทั้งหมด การยอมให้ตัวเองกลายไปเบี้ยล่างของ ส.ว.นั้นเท่ากับการยอมรับข้อกล่าวหานี้แล้วก้มหน้าก้มตาเป็นจำเลยของสังคมไป
       
        ดังนั้น อาจเป็นไปได้นะครับที่นักการเมืองจะรวมตัวกันเพื่อ “แข็งข้อ”ต่อคสช. อย่าลืมว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองคือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ต่างก็มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่วมกัน อาจมานั่งทบทวนว่าถ้ายอมจำนนต่อคสช.นักการเมืองจะกลายเป็นเบี้ยล่างของคสช.ไปยาวนานถึง 8 ปีจะยอมเป็นตัวประกอบอดทนไปยาวนานขนาดนั้นไหม เพราะแม้รัฐธรรมนูญจะให้นายกฯคนนอกมาเป็นได้ครั้งเดียว แต่ก็ให้อำนาจส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ ถึง 5 ปี
       
        เป็นไปได้ไหมที่พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพรรคเพื่อไทยเพื่อตั้งรัฐบาลเสียเอง เพราะมีโอกาสสูงที่ 2 พรรคนี้รวมกันน่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภาคือ 376 คนขึ้นไป เมื่อเทียบจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
       
        ถ้าพรรคใหญ่ 2 พรรคจับมือกัน ผมว่าพรรคขนาดกลางก็ต้องเข้าร่วมด้วยอาจจะกลายเป็น “ฉันทมติของนักการเมือง” ที่จะพาตัวเองออกจากบ่วงของ คสช.นั่นก็อาจหมายถึงการเป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” ในความหมายกลายๆ นั่นเอง
       
        อย่าประมาทนะครับว่า โอกาสนี้จะเป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก และง่ายกว่าการได้นายกรัฐมนตรีคนนอกเสียอีก เพราะเราต้องไม่ลืมคำพูดในวงการการเมืองที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร” ถึงเวลานั้นนักการเมืองจะยอมเป็นคนชั่วคนบาปของสังคมที่ถูกประณามมาตลอดต้องก้มหน้าก้มตารับใช้กรรมใต้อำนาจ คสช.หรือว่าหันมาจับมือกันแล้วตั้งรัฐบาลบริหารประเทศเสียเอง
       
        อย่าลืมนะว่าเคยมีคนเสนอให้พรรคการเมือง 2 พรรคจับมือกันเพื่อตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” มาแล้ว โอกาสหลังการเลือกตั้งครั้งแรกตามรับธรรมนูญฉบับนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สุดที่ 2 พรรคการเมืองใหญ่จะร่วมมือกันจริงๆ
       
        เหลืออย่างเดียวก็คือ ประชาชน 2 ขั้วซึ่งสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคจะยอมรับได้หรือไม่
       
        ผมคิดว่า คสช.ก็น่าจะมองเห็นประตูนี้นะครับว่า ถ้าปชป.จับมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล โอกาสในการเข้ามาบริหารประเทศเพื่อเดินหน้าตามเป้าหมายของ คสช.อาจจะถึงจุบจบ ดังนั้นอาจเป็นไปได้นะครับที่จะมีการ “รีเซ็ต” พรรคการเมือง
       
        อย่างที่พูดๆ กัน เพื่อให้ทุกพรรคเริ่มต้นกันใหม่ อย่างน้อยก็อาจทำให้พรรคใหญ่แตกสลายแยกย้ายกันได้ โดยเฉพาะปชป.กับ กปปส. เพราะ กปปส.สนับสนุนจุดยืนของ คสช.แน่ๆ
       
        พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยพูดถึงข่าวที่จะมีการสั่งให้พรรคการเมืองต้องจดแจ้งทะเบียนพรรคใหม่ว่า “ก็ไปถามคนพูดผมไม่ได้เป็นคนพูด” เมื่อถามว่าไม่มีใช่ไหม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องของผม ถ้าจะตอบคำถามนี้ต้องให้มายืนตรงผมแล้วผมไปยืนถาม ยืนยันใช้อำนาจในทางสุจริตที่ผมทำได้ให้ประเทศชาติปลอดภัย ประชาชนมีความสุข” เมื่อถามย้ำว่า เรื่องดังกล่าวไม่มี ทาง เป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า “มันเป็นเรื่องของผม ประเทศชาติแทงกั๊กได้เหรอ ล่มสลายกับไม่ล่มสลาย โธ่ความคิดพื้นฐาน” 
       
        ถามว่าถ้า 2 พรรคจับมือกันตั้งรัฐบาลจะทำให้ประเทศชาติปลอดภัยและประชาชนมีความสุขมั้ยนี่แหละที่เป็นเรื่องต้องคิด