PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พลเรือนควบคุมทหาร : หนทางสู่ประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ

พลอย ธรรมาภิรานนท์ เรื่อง
“It is not reasonable for an armed man to obey an unarmed one.
นิคโคโล แมคเคียเวลลี

ในวรรณกรรมเรื่อง The Prince แมคเคียเวลลีกล่าวไว้ว่า มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ที่คนถืออาวุธจะเชื่อฟังคนไร้อาวุธ อย่างไรก็ตาม โลกความเป็นจริงนั้นต่างจากมุมมองของแมคเคียเวลลี – ไม่ใช่ทุกประเทศที่กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหาร (civil-military relation) ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน (civilian control) ขณะที่ในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ทหารกลับมีบทบาทสูง ประเทศเหล่านี้จึงต้องเผชิญกับการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร ในบางประเทศ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและต่อเนื่อง จนกระทั่งทหารกลายเป็นฉากหลังของการเมืองในที่สุด

“หากกองทัพมีอำนาจทางการเมืองเหนือรัฐบาลพลเรือน … เป้าหมายของการบริหารประเทศจะกลายเป็นความมั่นคงของ ‘กองทัพ’ แทนที่ความมั่นคงของ ‘ประชาชน’ “

การควบคุมทหารโดยพลเรือน


การควบคุมทหารโดยพลเรือน คือการที่รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ในขณะที่กองทัพมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้รับจากรัฐบาลพลเรือน ที่มีฐานความชอบธรรมมาจากประชาชน และรับผิดรับชอบ (accountable) ต่อประชาชน
การควบคุมทหารโดยพลเรือนเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองโดยกองทัพ หากอำนาจการตัดสินใจด้านความมั่นคงเป็นของรัฐบาลพลเรือน การดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงก็จะต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เนื่องจากรัฐบาลพลเรือนเป็นตัวแทนทางการเมืองของประชาชน
ในทางตรงกันข้าม หากกองทัพ ซึ่งให้คุณค่ากับการรักษาความมั่นคงของประเทศในแบบทหาร มีอำนาจทางการเมืองเหนือรัฐบาลพลเรือน การดำเนินนโยบายต่างๆ ก็จะเป็นไปเพื่อให้เกิดความมั่นคงตามนิยามกองทัพเป็นหลัก เพราะไม่มีกลไกที่จะทำให้ทหารเกิดความรับผิดรับชอบต่อประชาชน ต่างจากในกรณีของรัฐบาลพลเรือน อีกนัยหนึ่งก็คือ เป้าหมายของการบริหารประเทศจะกลายเป็นความมั่นคงของ ‘กองทัพ’ แทนที่ความมั่นคงของ ‘ประชาชน’
หากเราต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ ปราศจากการแทรกแซงโดยกองทัพ คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน สองคำตอบสำคัญที่ถกเถียงกันในทางวิชาการ คือ ‘ความเป็นทหารอาชีพ’ และ ‘แรงจูงใจของกองทัพ’

“เราไม่อาจสรุปได้ว่า ความอ่อนแอของสถาบันการเมืองพลเรือนโดยเปรียบเทียบนั้นเป็น ‘เหตุ’ ของการแทรกแซงทางการเมือง เพราะสถาบันทางการเมืองของพลเรือนที่อ่อนแอนั้นอาจเป็น ‘ผล’ มาจากการที่ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง และไม่เปิดโอกาสให้การเมืองพลเรือนพัฒนา”

คำตอบแรก: ความเป็นทหารอาชีพ


งานศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารที่มีอิทธิพลที่สุดชิ้นหนึ่ง คืองานของแซมมวล พี. ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันเจ้าของแนวคิดคลื่นลูกที่ 3 ของประชาธิปไตย
ฮันติงตันเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นทหารอาชีพไว้ในหนังสือ The Solider and the State ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ว่า การควบคุมกองทัพโดยพลเรือนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหารมีความเป็นทหารอาชีพ เพราะความเป็นทหารอาชีพจะทำให้ทหารมีความรับผิดชอบต่อสังคม และปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ความเห็นชอบจากตัวแทนของสังคม ซึ่งก็คือรัฐบาลพลเรือนเท่านั้น
นอกจากนี้ ความเป็นทหารอาชีพจะทำให้กองทัพไม่แทรกแซงการเมือง เพราะความหลากหลายของผลประโยชน์ทางการเมืองอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการบริหารจัดการความรุนแรง ลดทอนความเป็นหนึ่งเดียวของกองทัพ ตลอดจนทำให้ค่านิยมที่สำคัญที่สุดของกองทัพ ซึ่งได้แก่ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมอื่น
ตัวอย่างเช่น ในช่วง พ.ศ. 2554 – พ.ศ. 2555 ที่กองทัพอียิปต์เข้าเป็นรัฐบาลรักษาการหลังการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัก ทิศทางการบริหารประเทศของกองทัพเป็นไปอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ มีการปรับเปลี่ยน road map สำหรับการกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงการแสดงอำนาจท้าทายประชาชน จนต้องกลับมาขอโทษภายหลัง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากความแตกแยกภายในกองทัพ เนื่องจากแนวคิดและผลประโยชน์ทางการเมืองมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ กองทัพอียิปต์ยังใช้กำลังปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง โดยกลุ่มผู้เห็นต่างนี้ยังรวมไปถึงทหารอียิปต์ส่วนหนึ่งด้วย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อกองทัพเข้าแทรกแซงการเมือง ค่านิยมการเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาของทหารได้ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมทางการเมือง และทำให้กองทัพขาดความเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ความเป็นทหารอาชีพไม่ได้ป้องกันการแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพเสมอไป ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ทหารก็ยังคงแทรกแซงการเมืองแม้ว่าจะมีความเป็นทหารอาชีพก็ตาม
ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้นักรัฐศาสตร์อีกคนหนึ่งคือ แซมมวล อี. ไฟเนอร์ (Samuel E. Finer) เสนอแนวคิดที่แทบจะตรงกันข้ามกับฮันติงตันในหนังสือเรื่อง The Man on Horseback (ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2505) ว่า ความเป็นทหารอาชีพต่างหากที่เอื้อให้ทหารเข้าแทรกแซงการเมืองในประเทศกำลังพัฒนา เพราะสถาบันทางการเมืองของพลเรือนเพิ่งจะเริ่มก่อร่างสร้างตัว กองทัพที่เกิดขึ้นมานานกว่าจึงเป็นสถาบันที่เข้มแข็งกว่า ความเข้มแข็งโดยเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้ทหารมีสำนึกในการเป็นผู้รับใช้ ‘รัฐ’ มากกว่าเป็นผู้รับใช้ ‘รัฐบาล’ เช่นกรณีของกองทัพตุรกี ที่มองว่าตัวเองเป็นผู้คุ้มครองรัฐนับตั้งแต่การสถาปนารัฐตุรกีสมัยใหม่
แนวคิดของทั้งฮันติงตันและไฟเนอร์แสดงให้เห็นว่า ความเป็นทหารอาชีพอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะเกิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน
แม้เราจะเห็นการแทรกแซงทางการเมืองของทหารได้บ่อยกว่าในประเทศที่กองทัพเข้มแข็งแต่สถาบันทางการเมืองของพลเรือนอ่อนแอ แต่เราก็ไม่อาจสรุปได้ว่า ความอ่อนแอของสถาบันการเมืองพลเรือนโดยเปรียบเทียบนั้นเป็น ‘เหตุ’ ของการแทรกแซงทางการเมือง เพราะสถาบันทางการเมืองของพลเรือนที่อ่อนแอนั้นอาจเป็น ‘ผล’ มาจากการที่ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง และไม่เปิดโอกาสให้การเมืองพลเรือนพัฒนา
ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดคือประเทศไทยเอง ที่ทหารเข้ามามีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือนบ่อยครั้งและต่อเนื่องตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง พ.ศ. 2490  สถาบันการเมืองของพลเรือนที่ยังไม่พัฒนาในไทยจึงน่าจะเป็น ‘ผล’ มากกว่า ‘เหตุ’ ของการแทรกแซงทางการเมืองโดยกองทัพ

“ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพก็คือกลุ่มผลประโยชน์ (interest group) ที่เป็นตัวแสดงทางการเมือง”

คำตอบที่สอง: แรงจูงใจของกองทัพ


เพื่อตอบคำถามว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน เราจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ นอกจากความเป็นทหารอาชีพ ปัจจัยที่ถูกมองข้ามอยู่เสมอคือ ‘แรงจูงใจ’ ของกองทัพในการแทรกแซงการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารให้ความสำคัญมากขึ้นในระยะหลัง
แรงจูงใจในการแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพที่พบบ่อยคือ (1) ภัยคุกคามจากภายนอกซึ่งมักเกิดจากภาวะสงคราม และปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (2) ปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ จากความแตกต่างด้านศาสนา ภาษา ชนชั้น เชื้อชาติ อุดมการณ์ ตลอดจนการแบ่งแยกดินแดน และ (3) ความไร้เสถียรภาพของการเมืองพลเรือน ทั้งปัญหาด้านความชอบธรรม ความไร้ประสิทธิภาพ คอร์รัปชั่น นโยบายของรัฐบาลพลเรือน และการแทรกแซงกิจการทหาร
การอ้างปัจจัยเหล่านี้เพื่อเป็นเหตุผลในการแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมองว่า ทหารเป็นผู้คุ้มครองรัฐที่แยกขาดจากการเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว กองทัพก็คือกลุ่มผลประโยชน์ (interest group) ที่เป็นตัวแสดงทางการเมือง เพราะบทบาทและอิทธิพลของกองทัพในการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคง ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในเวทีจัดสรรพื้นที่ทางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
หากเราศึกษาผลประโยชน์ของกองทัพ ทั้งในด้านโครงสร้างหน่วยงาน งบประมาณ และความเป็นอิสระในการตัดสินใจ ทั้งก่อนและหลังการแทรกแซงทางการเมืองแต่ละครั้ง ก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กองทัพเข้าแทรกแซงการเมือง คือการเสียผลประโยชน์จากการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเรือน
ตัวอย่างเช่น ในตุรกี อำนาจของกองทัพที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า ทำให้เกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2503 และนำไปสู่การจัดตั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council: NSC) เพื่อเป็นเครื่องมือให้กองทัพตุรกีมีอำนาจในการตัดสินใจในประเด็นต่างๆ เหนือรัฐบาลพลเรือน
สำหรับประเทศไทย งบประมาณของกองทัพที่ถูกปรับลดลงในช่วงรัฐบาลประชาธิปไตยหลังการปฏิรูปการเมือง พ.ศ. 2540 ก็กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน
ความเป็นทหารอาชีพไม่ได้แปลว่าทหารไม่มีผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะในความเป็นจริงแล้ว กองทัพเกือบทุกประเทศมีอิทธิพลต่อการออกนโยบายด้านความมั่นคง ทหารจึงเป็นตัวแสดงทางการเมืองเสมอ ดังนั้น การปฏิรูปความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารเพื่อทำให้เกิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน นอกจากจะต้องเพิ่มความเป็นทหารอาชีพให้ทหารหันมาให้ความสำคัญกับหน้าที่ที่พึงทำของตนในด้านการรักษาความมั่นคงแล้ว ยังต้องออกแบบโครงสร้างผลประโยชน์ของกองทัพให้เหมาะสมด้วย

“ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง และการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลซูฮาร์โต ทำให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากลุกฮือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ”

การปฏิรูปเพื่อให้เกิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน : กรณีอินโดนีเซีย


หนึ่งในประเทศที่พยายามเปลี่ยนแปลงไปสู่การควบคุมกองทัพโดยพลเรือนคือ อินโดนีเซีย
ก่อนหน้านี้ ทหารอินโดนีเซียในยุคของประธานาธิบดีซูฮาร์โตปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักการ “Dwifungsi” (Dual Function) หรือ“บทบาทสองด้าน” ที่ระบุว่า กองทัพอินโดนีเซียต้องรักษาความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามภายนอก และต้องดูแลรักษาระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม หลักการดังกล่าวให้อำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจแก่กองทัพอินโดนีเซียอย่างมาก
ในทางการเมืองนั้น ทหารจำนวนมากรับตำแหน่งข้าราชการพลเรือน เป็นคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจปกครองท้องถิ่นในทุกระดับจากโครงสร้างคำสั่งการตามพื้นที่ (territorial command structure) ส่วนในทางเศรษฐกิจนั้น ทหารเข้าควบคุมกิจการที่เป็นของรัฐ มีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และในกิจการเอกชนทุกขนาด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ. 2540 ความไม่พอใจของประชาชนต่อซูฮาร์โตก็เพิ่มถึงขีดสุด ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจประกอบกับการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง และการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลซูฮาร์โต ทำให้นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากลุกฮือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการใน พ.ศ. 2541
สถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องมาจากความต้องการประชาธิปไตย ประกอบกับความรู้สึกต่อต้านของสังคมต่อทหาร ทำให้กองทัพอินโดนีเซียและรัฐบาลเห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูปเพื่อให้ทหารออกจากการเมือง และกลับเข้าสู่กรมกอง
มาตรการปฏิรูปกองทัพอินโดนีเซีย แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
(1) มาตรการเพื่อเพิ่มความเป็นทหารอาชีพ เช่น
  • เพิ่มทักษะด้านเทคนิคให้ทหาร
  • ปรับปรุงระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย
  • ยกเลิกบทเรียนด้านสังคมและการเมือง และเพิ่มเติมบทเรียนด้านกฎหมายมนุษยธรรมในหลักสูตรการเรียนการสอนของทหาร
  • เปลี่ยนแปลงบทบาทของกองทัพ โดยยกเลิกหน้าที่ด้านการบังคับใช้กฎหมาย การฝึกทหารกองหนุน และการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
(2) มาตรการลดอำนาจของทหารในทางการเมือง เช่น
  • ถอดถอนตัวแทนของทหารออกจากองค์กรนิติบัญญัติ
  • โยกย้ายศาลทหาร จากเดิมที่เคยอยู่ภายใต้กองทัพ ไปอยู่ภายใต้ศาลสูงสุด
  • ออกกฎหมายให้การดำเนินนโยบายกลาโหมอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐสภา
  • ออกกฎหมายห้ามไม่ให้ทหารมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองและเศรษฐกิจ และให้กองทัพปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือน หลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน รวมไปถึงกฎหมายทั้งในและระหว่างประเทศ
  • จัดตั้ง “defense policy community” เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมและนักวิชาการ ได้เข้าร่วมกับผู้ออกนโยบาย กองทัพ และสมาชิกรัฐสภา ในการอภิปรายและเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

การปฏิรูปดังกล่าวทำให้อำนาจของสถาบันทหารในโครงสร้างการเมืองที่เป็นทางการ (formal politics) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนอาจกล่าวได้ว่า กองทัพอินโดนีเซียไม่มีอำนาจยับยั้งการตัดสินใจใดๆ ของรัฐบาลพลเรือนแล้ว อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปในอินโดนีเซียยังต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ที่ทำให้กองทัพยังคงมีอำนาจและอิทธิพลอยู่พอสมควร ได้แก่
หนึ่ง การคัดค้านจากภายในกองทัพอินโดนีเซีย  ทหารส่วนหนึ่งยังต่อต้านมาตรการลดผลประโยชน์ของกองทัพในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เป็นทางการ (informal politics) อย่างรุนแรง ทั้งมาตรการปฏิรูปโครงสร้างคำสั่งการตามพื้นที่ และมาตรการเข้าครอบครองเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กของทหารโดยรัฐ อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่ดีสำหรับการปฏิรูปก็คือ ผู้นำกองทัพอินโดนีเซียเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูปบทบาทของกองทัพ และแสดงความเข้าใจว่ากระบวนการดังกล่าวต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สอง งบประมาณทหารมีจำกัด ภายใต้งบประมาณที่จำกัด การเพิ่มความเป็นวิชาชีพและการพัฒนาศักยภาพทหารทำได้ยาก นอกจากนี้ การที่กองทัพไม่ได้รับการจัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ยังทำให้ทหารมีแรงจูงใจที่จะเข้ามามีบทบาทในการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอีกด้วย ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลให้กองทัพใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
สาม ทัศนคติของพลเรือนต่อทหาร  นักการเมืองยังคงพึ่งพิงทหารในฐานะผู้สนับสนุนทางการเมืองอยู่ การปฏิรูปจึงยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ทั้งที่รัฐบาลสามารถดำเนินการเพื่อให้การปฏิรูปก้าวหน้ามากขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้กองทัพอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงกลาโหมอย่างชัดเจน และการจัดตั้งคณะมนตรีความมั่นคงโดยมีพลเรือนเป็นผู้นำ

“การปฏิรูปกองทัพเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

ประสบการณ์ของอินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารไปสู่การควบคุมกองทัพโดยพลเรือน อันจะนำไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ และปราศจากการแทรกแซงโดยกองทัพนั้น เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลา และจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการปฏิรูปเพื่อเพิ่มความเป็นทหารอาชีพ และออกแบบโครงสร้างผลประโยชน์และอำนาจของกองทัพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งพลเรือนและทหารเอง
หากประเทศไทยต้องการเดินกลับเข้าสู่เส้นทางพัฒนาประชาธิปไตย การปฏิรูปภายในกองทัพและโครงสร้างผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.

อ่านเพิ่มเติม
  1. สุรชาติ บำรุงสุข. 2558. เสนาธิปไตย รัฐประหารกับการเมืองไทยกรุงเทพ: สำนักพิมพ์มติชน.
  2. Droz-Vincent, P. 2014. “Prospects for “Democratic Control of the Armed Forces”?: Comparative Insights and Lessons for the Arab World in Transition,” Armed Forces & Society, 40(4), 696-723.
  3. Haseman, J. 2006. “Indonesian Military Reform: More Than a Human Rights Issue,” Southeast Asian Affairs, 111-125.
  4. Stepan, A. 1973. “The New Professionalism of Internal Warfare and Military Role Expansion,” Authoritarian Brazil: Origins, Policies, and Future, edited by Alfred Stepan. New Haven: Yale University Press, 47-65.

อ้างอิง
  1. Huntington, P. 1957. The Soldier and the State: The Theory and Politics of Civil-Military Relations. London: Harvard University Press.
  2. Finer, S. 1962. The Man on Horseback: The Role of the Military in Politics. London: Transaction Publishers.
  3. Mietzner, M. 2006. Military Politics, Islam, and the State in Indonesia: From Turbulent Transition to Democratic Consolidation. Washington D.C.: East-West Center Washington.
  4. Sebastian, L. & Gindarsah, L. 2013. “Assessing Military Reform in Indonesia,” Defense & Security Analysis, 29(4), 293-307.

ไม่มีความคิดเห็น: