PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

สำคัญสุดตรงปากท้อง

สำคัญสุดตรงปากท้อง


จะว่าไปเรื่องนาฬิกาหรูมันเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว แนวโน้มผล “นิด้าโพล” ที่ออกมาก็คงไม่ได้ทำให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กระแสย่ำแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
แต่เจอปมเบรกโพลต่างหาก มันยิ่งทำให้ “ลุงป้อม” สะเทือนหนักเข้าไปอีก

นี่แหละที่น่าเอะใจ เกมลึกที่แฝงอยู่มันไม่ธรรมดา

เอาเป็นว่า ผอ.นิด้าโพลคนนี้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ 2 สัปดาห์ ก่อนหน้านั้นก็เห็นชื่อเป็นคอลัมนิสต์ประจำอยู่สื่อออนไลน์ที่เจ้าของเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “บิ๊กป้อม” ในคดีลอบสังหารหัวขบวนม็อบพันธมิตรฯ

มันคิดกันได้หลายแง่หลายมุม กับเครือข่าย “นิด้า” ที่โยงอยู่กับขั้วอำนาจหลายสาย

ที่แน่ๆ “พี่ใหญ่” โดนเร่งเกม “เผด็จศึก” หนักขึ้นทุกขณะ

และถึงนาทีนี้ มันลามถึงทีมงานทหาร คสช.ทำอะไรก็ผิดหมด

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ต้อนเข้ามุมติดล็อก ตัว “บิ๊กป้อม” จะถอยออกตอนนี้ก็ยากแล้ว เพราะนั่นหมายถึงการยอมรับสภาพมอมแมมตามที่โดนกล่าวหาโจมตี เช่นเดียวกัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้า คสช. จะปรับเอา “พี่ใหญ่” ออกก็ไม่ได้ จะกลายเป็นลงดาบซ้ำ ฆ่า “บิ๊กป้อม” ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด

แถมในจังหวะสถานการณ์ที่มาผนวกพร้อมกันทั้งปมเลื่อนเลือกตั้ง ปมนาฬิกา ยังมาเจอ “นิด้าโพล”
เข้าเหลี่ยมนักการเมืองสบช่อง “ขุดทอง” ทุกวัน

เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ช่วยกันเตะตัดขา “ลุงตู่” กะเอาให้พับฐาน

ก็เหลือแค่ “ขาค้ำยัน” ทางด้านเศรษฐกิจภายใต้การกำกับของ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้

แถมยังแข็งแรงขึ้นตามข้อมูลล่าสุดประเทศไทยคว้าอันดับ 1 ประเทศที่เหมาะเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก จากการสำรวจของเว็บไซต์ U.S.News & World Report

เศรษฐกิจประคองการเมือง แรงกระแทกหนักๆยัง “เอาอยู่”

ตามรูปการณ์ งานช้างของ “ลุงตู่” ยามนี้ มันอยู่ที่ปัญหาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ที่ยื้อยุดฉุดกระชากไม่จบง่ายๆ แบบที่ฝั่งนายจ้างโวยรัฐบาลให้เกินจากที่ตกลงกันไว้ ทำให้กระทบอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ขณะที่ฝ่ายลูกจ้างก็ยืนกรานว่ารัฐบาลขึ้นให้น้อยไป ไม่พอประทังชีวิตประจำวัน ขู่ปลุกม็อบกดดัน

นายกฯต้องเคลียร์ให้พบกันครึ่งทาง ก่อนพังทั้งระบบ

เช่นเดียวกับนายสมคิด ก็ออกโรงยืนยันงานนี้ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องความเป็นธรรมในสังคม

เพราะลูกจ้างไม่ได้ขึ้นค่าแรงมาหลายปีแล้ว และถ้าลูกจ้างมีรายได้มากขึ้น ก็มีอำนาจในการซื้อมากขึ้น ในที่สุดก็กลับมาที่พ่อค้า เจ้าของธุรกิจขายของได้มากขึ้น

“เฮียกวง” ก็ออกแรงโน้มน้าวให้เห็นผลดีกับเศรษฐกิจภาพรวม

และยังมีข้อมูลสนับสนุนจากนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดผลสำรวจของ สสว. สรุปการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกระทบต้นทุนค่าแรงงานเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.54 ต้นทุนสินค้าขยับแค่ร้อยละ 0.05

นั่นหมายถึง อยู่ในระดับที่เอสเอ็มอียอมรับได้

สสว.สะท้อนตัวเลขอย่างเป็นทางการหักล้างเสียงวิจารณ์ลอยๆของพวกจ้องปั่นกระแส

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่นักการเมืองจ้องผสมโรงอยู่

งานนี้ถ้ารัฐบาลยอมลดตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำตามแรงบีบของนายจ้าง ม็อบเกิดแน่

แต่ถ้ารัฐบาลเลือกไม่ยอมตามนายจ้างก็อาจมีเสียงโวยบ้าง ซึ่งมันก็ยังมีมาตรการช่วยเหลือของกระทรวงอุตสาหกรรมกับกระทรวงการคลังอย่างที่นายสมคิดได้สั่งให้กรมสรรพากรเข้าช่วยเอสเอ็มอี โดยให้หักลดหย่อนภาษีเป็นพิเศษ 1.15 เท่า น่าจะช่วยลดเสียงโวยนายจ้างให้เบาลง

สรุปฟันธง รัฐบาลต้องเอียงไปทางฝั่งลูกจ้างมากกว่า

ตามยุทธศาสตร์ที่อิงอยู่กับประชาชนฐานราก ภายใต้โหมดการแก้ปัญหาให้ผู้มีรายได้น้อยพ้นขีดเส้นความยากจนในปี 2561

เหนืออื่นใด มันเป็นอะไรที่วัดได้จาก “สวนดุสิตโพล” สะท้อนข่าวที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ข่าวการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นอันดับหนึ่ง สูงกว่าประเด็นร้อนเรื่องนาฬิกาหรู

นั่นหมายถึง คนสนใจเรื่องปากท้องมาก่อนกระแสอื่นใด ไม่สนใจอะไรมากกว่าผลประโยชน์ใกล้ตัว

“ลุงตู่” กับ “สมคิด” คุมภาวะปากท้องได้ ก็เบาไปหลายเปลาะ.

ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: