PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

ปมหุ้นสื่อ “ธนาธร” บาน?





Top 30เม.ย.62 ปมหุ้นสื่อ “ธนาธร” บาน?

บทหนักอยู่ที่7กกต.



Top 29/4/62 เรื่อง บทหนักอยู่กับ 7 กกต.


‘ธนาธร’ เดือด กกต. ตอบไม่ได้ ‘ผมผิดตรงไหน’ เตือนวินิจฉัยผิดเจอคุก

‘ธนาธร’ เดือด กกต. ตอบไม่ได้ ‘ผมผิดตรงไหน’ เตือนวินิจฉัยผิดเจอคุก

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำหลักฐานเอกสารเข้าชี้แจงต่อ กกต. กรณีถูกตั้งข้อกล่าวหาถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
นายธนาธร กล่าวว่า บรรยากาศในการประชุม มีบางช่วงเป็นไปอย่างตึงเครียดและผ่อนคลาย ตนรู้สึกว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เพราะแม้แต่คำถามพื้นฐานต่างๆ ว่า ตนผิดตรงไหน เอกสารที่ชี้แจงไปแล้วมีตรงไหนที่ กกต.ไม่เชื่อ ตรงไหนที่ กกต.เห็นว่าพวกเรากระทำผิด คำถามง่ายๆ แค่นี้ไม่สามารถตอบได้ ไม่สามารถชี้แจงได้ ทำให้เชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนไต่สวนของ กกต.หลังมีมติแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 เม.ย. แต่เราตั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวน วันนี้การตั้งข้อกล่าวหาของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สาเหตุเพราะมีมติตั้งข้อกล่าวหาในวันที่ 23 เม.ย. โดยไม่เคยเปิดโอกาสให้นายธนาธร หรือผู้เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง
มีเพียงเอกสาร 1 ฉบับส่งไปที่บ้านของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้รับโอนหุ้น เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ประทับตราอีเอ็มเอส เวลา 13.45 น. แต่ให้มาชี้แจงเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้ววันที่ 23 เม.ย. ตอนเช้าก็มีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งการตัดสินมีแต่เพียงคำร้องที่คัดลอกข่าวมาจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งทั้งหมด อย่างนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้กล่าวหา
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า กระบวนการตั้งข้อกล่าวหาขัดกับกระบวนการพิจารณาหลักการทางกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้นายธนาธรชี้แจง ในบันทึกข้อกล่าวหาเขียนไว้เพียง 3-4 บรรทัด บอกว่าไปตรวจสอบจาก บอจ.5 มาแล้ว แต่ไม่บอกว่าวันที่เท่าไหร่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบนายธนาธรถือหุ้นอยู่ เราก็ถามว่าคุณไปตรวจ บอจ.5 วันที่เท่าไหร่ ตรวจแล้วรู้ได้อย่างไร รู้ได้ทันทีเลยหรือว่านายธนาธรถือหุ้น เพราะบอจ.5 ไม่ได้เป็นเอกสารหลักฐานว่าหุ้นโอนแล้ว แต่เป็นเพียงรูปแบบขั้นตอนเท่านั้น
“ถ้าหาก กกต.เห็น บอจ. 5 ปุ๊บ รู้ปั๊บว่าคุณธนาธรถือหุ้น แสดงว่า กกต.เชื่อไปตามที่ผู้ร้องกล่าวทั้งหมด โดยยังไม่ได้ถามผู้ถูกร้อง ผิดหลักกฎหมายชัดเจน เร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด คดีอื่นไม่รู้ว่าเร่งแบบนี้หรือไม่” นายปิยบุตร กล่าว
ขณะที่นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะผู้เสียหาย ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อ กกต. ทั้งกฎหมายอาญา มาตรา 157  และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่กำหนดโทษว่า ถ้า กกต.ใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีโทษอาญา จำคุก โทษปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพราะมีปัญหาจริงๆ กับกระบวนการตั้งข้อกล่าวหา
นายธนาธร กล่าวอีกว่า รายละเอียดที่ชี้แจงส่วนใหญ่อ้างอิงตามเอกสาร เราพูดคุยในรายละเอียดน้อยมาก เพราะอยูในเอกสาร สิ่งที่ทำให้การประชุมตึงเครียด เพราะเป็นเรื่องหลักการที่ถูกต้อง ซึ่ง กกต.ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้เลยว่า ตกลงตนผิดตรงไหน เอกสารตรงไหนผิด เพราะการโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมายหมายตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ดังนั้น หลังจากประชุมเสร็จ ตนจึงเชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุแรงจูงใจ ไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นมูลเหตุแรงจูงใจทางกาเมือง
นายธนาธร กล่าวต่อว่า มีใครมีหลักฐานเป็นอื่น มีใครมีหลักฐานโต้แย้งไหม ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีใครมีหลักฐานโต้แย้ง สิ่งที่ตนโต้แย้งไปได้ แปลว่าตนไม่ผิด จะเรียกร้องอะไรจากตนอีก วันนี้ไม่มีใครบอกว่าตนผิด มีแต่คนตั้งคำถามแล้วเอารายละเอียดเรื่องเล็กน้อยมาปั่นเป็นเรื่องใหญ๋โต ปั่นซ้ำปั่นซาก จนทำให้คนในสังคมเชื่อไปแล้วว่า ธนาธรผิดจริง ตนยังยืนว่าจะทำอะไร เอาหลักฐานมาพูดคุยกัน ตนเอาหลักฐานทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะแล้ว ใครคิดว่าหลักฐานตรงไหนผิดก็มาโต้แย้งกัน
ที่บอกว่าธนาธรน่าสงสัย เพราะตอบคำถามหลายครั้ง แต่เพราะพวกคุณถามหลายครั้ง ตนก็ต้องตอบหลายครั้ง เพราะมีสื่อบางสำนักเอาเรื่องนี้มาปั่นทุกวัน จนทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะประชาชนจะหลงผิด พูดเรื่องเท็จไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องจริง เราจึงต้องออกมาตอบโต้ ท่านควรจะต้องเอาไปถามคนที่ยังไม่เชื่อ ว่ามีหลักฐานอะไรที่จะเอามาหักล้างเอกสารของตนได้
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า เรายื่นเอกสารไป 26 รายการ เป็นคำชี้แจงครบถ้วนทั้งหมด โดยมีประธานกรรมการไต่สวนชุดนี้ คือ พ.ต.ท.ปรีชา นาเมืองรักษ์ เราก็นั่งพูดคุยตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.ว่าทำไมถึงมีมติตั้งข้อกล่าวหา โดยที่เราไม่ได้ไปชี้แจง ประธานกรรมการไต่สวนก็เล่าให้ฟังว่า กกต.ตรวจสอบได้แต่ บอจ.5 ในเมื่อ บอจ.5 มีชื่ออยู่ เขาก็สงสัยว่าเป็นผู้ถือหุ้น ตนก็ถามกลับไปว่าแล้วทำไม กกต.ไม่เปิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 วรรค 3 หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมไม่เปิดดู
แล้วถ้าสงสัยว่าถือหุ้นจริงหรือไม่ ทำไมไม่เรียกไปถาม แต่กลับมีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งจะแจ้งข้อกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้ การขึ้นศาลหรือตำรวจตั้งข้อกล่าวหา ต้องมีองค์ประกอบความผิดและมีหลักฐานพอสมควร แต่นี่มีแค่ 3 บรรทัด บอกว่าตรวจจาก บอจ.แล้ว พบว่านายธนาธรถือหุ้น ถามว่าตรวจจากอะไร ถ้าตรวจจาก บอจ.แล้วตีขลุมว่าถือหุ้น ท่านวินิจฉัยผิด
ถ้าจงใจวินิจฉัยผิดคือ ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ หรือท่านไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ข้อเท็จจริง ทำไมไม่เรียกนายธนาธรไปถาม เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถ้าเรื่องนี้บานปลายไปจนถึงแขวนชื่อนายธนาธร หรือออกใบส้ม ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่มีอำนาจ แต่ถ้าเอากันถึงอย่างนั้น การตั้งข้อกล่าวหาและดุลพินิจโดยไม่ชอบครั้งนี้ จะส่งผลเสียหายร้ายแรง
“กกต. ทั้ง 7 ท่าน รับผิดชอบไหวหรือไม่ ท่านยังต้องดำรงอยู่ต่อไปในฐานะองค์กรอิสระที่ต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นธรรม อย่ากลัวแรงกดดัน ถ้ายืนอยู่บนกฎหมายและความยุติธรม คสช.เดี๋ยวก็ไป ผู้มีอำนาจปัจจุบัน เดี๋ยวก็ลงจากอำนาจแล้ว แต่ กกต.ต้องอยู่อีกนาน เรามั่นใจว่าเอกสารหลักฐานครบ แต่ กกต.ไปเอาคำร้องที่ลอกมาจากสำนักข่างแห่งหนึ่งทั้งดุ้น ปัญหาอยู่ที่ไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจงก่อนตั้งข้อกล่าวหา เวลามีคนเดินไปฟ้องศาลว่าใครทำผิดอาญา ศาลยังไต่สวนมูลฟ้อง หรือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษใคร เขาไม่ได้ตั้งข้อหล่าวหาเลย ต้องเรียกมาตรวจสอบ แต่นี่ฟังจากผู้ร้องเสร็จก็ตั้งข้อกล่าวหาเลย ทำได้อย่างไร ขัดกระบวนการทางกฎหมาย ความยุติธรรมคืออะไร”
“อยากให้ท่านจำลองตัวท่านเองว่าท่านถูกกระทำอยู่ตอนนี้ ลองให้ กกต.ชุดนี้ 7 คน วันหน้าโดนกรรมการชุดอื่นไต่สวนบ้าง แล้วตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยไม่เรียก กกต.ทั้ง 7 คนไปชี้แจง ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ วันไหนถ้าท่านโดนตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ เหมือนที่ตนกำลังจะไปแจ้ง 157 ถ้าป.ป.ช.ไม่เรียกท่านไปชี้แจง แล้วตั้งข้อกล่าวหาท่านเลย จะเป็นธรรมหรือไม่”

    นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า กกต.และเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เงินเดือนที่ท่านได้มาจากงบประมาณภาษีประชาชน  ท่านไม่ได้รับเงินเดือนจากองค์กรของรัฐอื่น ถ้าดำเนินการด้วยความสุจริต กฎหมาย ความยุติธรรม จะเป็นเกราะคุ้มครองท่าน ท่านอย่ากังวลใจ ตัดสินใจด้วยความเป็นอิสระ ตามตัวบทกฎหมาย ถ้าเรื่องมันจบก็ต้องจบ อย่าดึงดันขึงขังลากกันไปให้ได้ ข้อกฎหมายไม่เข้า ข้อเท็จจริงก็ไม่เข้า อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบก็ไม่มี ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
    รวมถึงสื่อมวลชน ควรเป็นสื่อที่ตรวจสอบนักการเมือง ทั้งจากการเลือกตั้งและนักการเมือบจากรัฐประหารอย่างเท่าเทีมกัน ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด อย่าดันทุรัง อย่างนี้ไม่ใช่สื่อในความหมายของการตรวจสอบ แต่เป็นเรื่องการเอาชนะกันให้ได้ ไม่ชนะไม่เลิก นี่ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อ สื่อคือคนเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ปรากฏ ไม่ใช่พูดข้อเท็จทุกวันจนกลายเป็นจริง

    กกต.กับเด็กขี้งอแง

        กกต.ครับ....
        กรุณาหายใจลึกๆ พูดเท่าที่ต้องพูด แต่ต้องต่อยให้หนัก ข้อมูลต้องเป๊ะ
        หาไม่แล้ว...จะเละ
        สูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั่นเรื่องหนึ่ง  
        ถ้าเอาตามความเท่ของนักวิชาการ เอาตามกิเลสนักการเมือง โดยไม่ยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ระวังบั้นปลายชีวิตจะไม่สวย 
        เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญอยู่ตรงไหน?
        ก็ที่คุยกับ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คนที่เขียนกฎหมายเลือกตั้งเขาว่าไง....ก็ตามนั้น 
        อีกเรื่องคือนับคะแนนใหม่ เขต ๑ นครปฐม 
        เรื่องง่ายๆ แต่กลับทำให้ยาก
        วันอาทิตย์ที่ผ่านมา กกต.นครปฐม ดูจะลนลานไปหน่อย แทนที่จะตรวจสอบให้นิ่ง ตรวจทานให้เรียบร้อย ว่าที่นับใหม่ใครได้เท่าไหร่ 
        กลับประกาศว่า ผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ ได้ ๓๕,๗๐๗ คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ๓๕,๖๔๕ คะแนน
        เฉือนกันไป ๖๒ คะแนน!
        แล้วปล่อยข้ามคืน กองเชียร์เขาฉลองกันยกใหญ่ ในโซเชียลไชโยโห่ร้อง ว่าเป็นความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ 
        ทั้งๆ ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ เขาตามนับทุกกระดาน ผลคือชนะ ๔ คะแนน 
        มันวุ่น! 
        พรรคอนาคตใหม่ก็ทำเป็นเด็กเล่นขายของ นับครั้งแรกแพ้ ขอนับใหม่ นับใหม่ยังแพ้ ขอเลือกตั้งใหม่ มันจะเยอะไปมั้ย
        เลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศเลยดีมั้ย! ให้รัฐบาล คสช.อยู่ต่ออีกสักปี 
        ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ 
        ฉะนั้นไม่ว่าเขตเลือกตั้งไหน ไม่ควรเกิดเรื่องทำนองนี้อีก
        ก็เตือนไว้....เพราะคนที่พร้อมกะซวก กกต.มันมีเยอะ 
        เห็นแล้วเหนื่อยแทน กกต.ชุดนี้จริงๆ  
        ตั้งรับอย่างเดียว 
        ไม่ถนัดงานเชิงรุก
        แต่คงเพราะยังใหม่อยู่ 
        บวกกับต้องรับแรงกระแทกจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาล คสช. ทำให้จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก แก้ไขสถานการณ์ไม่ค่อยทัน
        ถึงกระนั้นช่วงหลังดีขึ้น 
        โดนด่าก็มีสวนกลับบ้าง
        บางเรื่องถูกด่าเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งจะมาแก้ข่าวเอาวันนี้ 
        แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
        ประเด็นที่ถูกนำไปขยายผลมากสุด คงหนีไม่พ้นเรื่อง เลือกตั้งมาเดือนกว่า ยังไม่รู้ผล 
        มีการเอาการเลือกตั้ง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเปรียบเทียบ ประเทศที่มีคนไปใช้สิทธิ์เป็นร้อยล้าน ยังนับคะแนนเสร็จแค่ข้ามคืน แต่ของไทยข้ามเดือนแล้ว
        วานนี้ กกต.ทำหนังสือชี้แจงว่า
        .....ด้วยปรากฏเป็นข่าวตลอดมาว่า ทำไมคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง
        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่การเลือกตั้งได้ผ่านมากว่า ๑ เดือนแล้ว
        ขอเรียนว่าตามมาตรา ๑๒๗ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก
    สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๖๑ ได้กำหนดว่าในการเลือกตั้งทั่วไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ “ก็ต่อเมื่อ” ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม “และ” มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด
        เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นพบว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกตั้งได้ “ก็ต่อเมื่อ” ได้ดำเนินการครบตามเงื่อนไของค์ประกอบที่กฎหมายกำหนด คือ
        ๑.ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นว่า การเลือกตั้งต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 
        “และ” ๒.จำนวนที่ประกาศผลต้องไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด
        ด้วยบทบัญญัติดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงไม่อาจทยอยประกาศผลการเลือกตั้ง
    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากต้องประกาศผลโดยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด....
        ก็โปรดรับทราบว่าที่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการนั้นเป็นเพราะอะไร 
        แต่...กกต.น่าจะอธิบายให้หมด เพราะจะได้เข้าใจง่ายกว่านี้ 
        นี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ 
        ระบบเลือกตั้งก็ใช้ระบบใหม่
        การประกาศผลอย่างเป็นทางการทำไม่ได้ หากยังมีการนับคะแนนใหม่ เลือกตั้งใหม่ในบางเขต 
        เพราะมันจะทำให้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตเปลี่ยน  
        การคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็จะเปลี่ยนไปด้วย 
        ผิดกับการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ที่ใช้บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ
        ใบแรกเลือก ส.ส.เขต
        ใบที่สองเลือกพรรค ซึ่งก็คือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ คะแนนไม่ยึดโยงกัน ฉะนั้นการเลือกตั้งก่อนนี้ ปิดหีบไม่นาน ประกาศผลอย่างเป็นทางการได้ทันที
        ครั้งนี้ลองสอยว่าที่ ส.ส.สัก ๑๐ เขต เป็นเรื่อง! 
        ยิ่งแต่ละขั้วเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ ตั้งรัฐบาลไปแล้วสุดท้ายถูกสอยเลือกตั้งใหม่ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 
        มันจะวุ่นไปกันใหญ่
        ที่จริงนักการเมือง ต่างรู้ดีว่าทำไม กกต.ถึงต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ ๙ พฤษภาคม 
        เพราะในวันนั้น ตัวเลขเริ่มจะนิ่งพอสมควรแล้ว  
        ฉะนั้นรอดูว่าก่อนวันที่ ๙ พฤษภาคม กกต.จะสอยว่าที่ ส.ส.อีกกี่เขต 
        ซึ่งมีแน่นอน!
        วกกลับมาประเด็นหุ้นสื่ออีกที 
        หากสังเกตดีๆ พรรคการเมืองอื่นมีปัญหาเรื่องนี้กันน้อย 
        เพราะอะไร? 
        ก็เพราะรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเลือกตั้ง บัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่า คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. มีหนึ่ง  สอง สาม สี่ 
        ที่พรรคการเมืองอื่นพลาดน้อยเพราะเขารอบคอบ
        พรรคเขาสื่อสารไปถึงผู้สมัครชัดเจนว่า ใครถือหุ้นสื่อ มีบริษัทจดวัตถุประสงค์ทำสื่อ ให้ลาออก หรือทิ้งหุ้นให้เรียบร้อย 
        แล้วอนาคตใหม่ทำเช่นนั้นหรือเปล่า?
        นั่นคือคำถาม 
        ก่อนที่จะเอาแต่งอแง กล่าวหาว่าถูกแกล้ง ถูกขัดขา ได้ก้มลงดูขาตัวเองก่อนหรือเปล่าว่า พร้อมที่จะเดินหรือยัง มีแผลอยู่หรือเปล่า
        ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม เพิกถอนการรับสมัครเลือกตั้ง ภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขต ๒ จ.สกลนคร อันเนื่องมาจากการถือหุ้นสื่อมวลชน ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส 
        นั่นคือบรรทัดฐานที่ใช้กับคดีอื่นๆ 
        ตามที่นักร้องเบอร์ ๑ "ศรีสุวรรณ จรรยา" ยื่นคำร้องต่อ กกต. ล่าสุด ให้ตรวจสอบ ๑๑ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ มี
        ๑.นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๙ เป็นกรรมการบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด และกรรมการบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด 
        ๒.นายวินท์ สุธีรชัย ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๑๙ เป็นกรรมการบริษัท ดับบลิวซีดี วิชั่น จำกัด 
        ๓.นายคารม พลพรกลาง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๒๖ เป็นกรรมการบริษัท สำนักพิมพ์สามพอ จำกัด
        ๔.นายวรภพ วิริยะโรจน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๓๘ เป็นกรรมการบริษัท โปรโมชั่นแม็กกาซีน จำกัด 
        ๕.นายวรกร ฤทัยวาณิชกุล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๗๑ เป็นกรรมการบริษัท เฮลโลฟิล์มเมคเกอร์ จำกัด
        ๖.นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๙๔ เป็นกรรมการบริษัท ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ จำกัด
        ๗.นายหรินทร์ ยุวรัตนาพร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๑๑๑ เป็นกรรมการบริษัท อินเซน ออดิโอเวิร์ค แอนด์ สตูดิโอ จำกัด
        ๘.น.ส.นรีรัตน์ สุขวรรณรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๒ จังหวัดสระบุรี เป็นกรรมการบริษัท บอส แอนด์ ธอส โปรเจคท์ จำกัด 
        ๙.นายวีระชน นามประกาย ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๔ จังหวัดสกลนคร เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด วชิรวิชญ์ เคเบิ้ลทีวี และยังเป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนม ทีวี แอนด์ เน็ทเวิร์ค
          ๑๐.นายปิยเมษฐ ปราณีตพลกรัง ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๑๔ จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด พีเอสบี คอมมูนิเคชั่น 
        และ ๑๑.น.ส.กัลยารัตน์ กิตติกัลยานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๑๐ จังหวัดขอนแก่น เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด หวานชุมโปรโมชั่น
        ลืมผู้สมัครบัญชีรายชื่อไปก่อน โฟกัสที่ว่าที่ ส.ส.เขต ๔ เขต เพราะหากมีเหตุต้องเลือกตั้งใหม่ ไม่มีใครรู้ได้ว่าคะแนนจะเปลี่ยนเท่าไหร่ 
         ๙ พฤษภาคมนี้ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ๙๕% แต่ประกาศไปแล้วตัวเลขใช่ว่าจะนิ่ง 
        ฉะนั้นพรรคไหนจะจับขั้วตั้งรัฐบาลกับใครดูดีๆ. 
                                        ผักกาดหอม

    วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

    ศาลสั่งถอนชื่อ'ภูเบศวร์ เห็นหลอด'ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่

    ศาลสั่งถอนชื่อ'ภูเบศวร์ เห็นหลอด'ขาดคุณสมบัติผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่
    29 เม.ย.62 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ได้เปิดเผยถึงผลคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเเผนกคดีเลือกตั้ง ที่ 1706/2562 ระหว่าง ผอ.การเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร ยื่นคำร้องว่า นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ผู้คัดค้านขาดคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง หรือเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561

    เนื่องจากผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์ ดังนั้น ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ผู้ร้องจึงขอให้ถอนชื่อผู้คัดค้านออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่2 จ.สกลนครว่า
    คดีนี้ นาย ภูเบศวร์ ผู้คัดค้านได้ยื่นคำคัดค้านอ้างว่า หจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ประกอบกิจการก่อสร้างอาคารสถานที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยที่ระบุในวัตถุประสงค์ข้อที่ 43 ว่าประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์รับจัดทำสื่อโฆษณาสปอร์ตโฆษณาเผยแพร่ข้อมูล แต่เป็นเพียงแบบวัตถุประสงค์สำเร็จรูปแนบคำขอจดทะเบียนเท่านั้นอีกทั้ง หจก.ดังกล่าวได้สิ้นสภาพนิติบุคคลไปตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.62 แล้ว จึงขอให้ยกคำร้อง
    ศาลฎีกาฯ ได้ตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่ายที่เสนอต่อศาลแล้วเห็นว่าเบื้องต้นคดีนี้ไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานจึงให้งดการไต่สวน และหลังจากตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลฎีกาฯเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องประกาศรายชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่
    โดย นายภูเบศวร์ ผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์
    ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.62 ผู้คัดค้านจดทะเบียนเลิกหจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่
    ศาลฎีกาฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 98 บัญญัติว่า "บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. .... โดย(3) บัญญัติว่า เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ..." พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา42 บัญญัติเช่นเดียวกันว่าบุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็น "บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. .... โดย(3) บัญญัติว่า เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ..." ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จึงเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆมิได้
    เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้คัดค้านเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของหจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง เเอนด์ เซอร์วิส ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์ ดังนั้นผู้คัดค้านจึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญแห่งรัชนจากไทยมาตรา 98(3) และพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา42(3)
    ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่า หจก.มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส มีวัตถุประสงค์ดังกล่าวแต่ไม่ได้ประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์จึงฟังไม่ขึ้น แม้ต่อมาวันที่ 6 มี.ค.62 ผู้คัดค้าน จะจดทะเบียนเลิกหจก.ดังกล่าวแล้วแต่เป็นระยะเวลาหลังจากผู้คัดค้านยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วจึงต้องถือว่าในวันที่ผู้คัดค้านยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ผู้คัดค้านยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นบุคคลอันมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามบทบัญญัติดังกล่าวและไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส.
    ศาลฎีกาฯ เห็นว่า คำร้องของผู้ร้องฟังขึ้น จึงมีคำสั่งให้ถอนชื่อ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้คัดค้าน ออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่

    ส้ม(ไม่)หวาน?



    ส้ม(ไม่)หวาน? 26/4/62

    วันนอร์ ยืนยันไม่หักหลังประชาชน ไม่ฉีกสัตยาบันที่ทำร่วมกับ 7 พรรคแนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.

    วันนอร์ ยืนยันไม่หักหลังประชาชน ไม่ฉีกสัตยาบันที่ทำร่วมกับ 7 พรรคแนวร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.เพราะเป็นสัญญาประชาชน ยืนยันไม่มีการหารือร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
    นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการหารือ หรือ พบปะ กับใครในการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และไม่มีการติดค่อพูดคุยจากใครมาถึงตนเอง รวมถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายโดยตรงในการหารือในการจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้หารือกับใคร หรือหากมีก็ต้องแจ้งในที่ประชุมพรรค ซึ่งขณะนี้ยังไม่มี เพราะพรรคยังต้องรอการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจาก กกต.ในวันที่ 9 พ.ค. และในการประชุมพรรควันพรุ่งนี้จะมีการพูดคุยกัน
    หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยืนยันว่า ไม่ได้ฉีกสัตยาบันที่ทำไว้กับ 7 พรรคแนวร่วมในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช. เพราะถือเป็นสัญญาประชาชน สัตยาบัณ ที่ทำนั้นไม่ได้ทำกับพรรคการเมือง แต่ทำกับประชาชนด้วย
    "พรรคประชาชาชาติ จึงไม่หักหลังประชาชนเด็ดขาด และยังเป็นพรรคที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คสช." นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
    ด้านพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า พรรคประชาชาติได้มีการประชุมคณะทำงานที่มีหัวหน้าพรรค เป็นประธาน เกือบทุกสัปดาห์ ยืนยันว่าจะเคารพเสียงประชาชนและนโยบายพรรคที่ใช้หาเสียง ที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คสช และไม่เคยมีท่านใดในฝ่าย พปชร. หรือ คสช. ติดต่อกับ หน.พรรค หรือเลขาธิการพรรคแต่อย่างใด พรรคประชาชาติตระหนักว่าในระบอบประชาธิปไตย ต้องอยู่ข้างประชาชนและต้องศรัทธาต่อเสียงของประชาชน ซึ่งก่อนและหลังการเลือกตั้งได้รวมตกลงและประกาศให้ประชาชนทั้งประเทศและสื่อมวลชนต่างประเทศ ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาล
    “หาดูคะแนนทั้ง 7 พรรค Popular vote มากกว่า 16.4 ล้านเสียง ส่วนพรรคที่สนับสนุน หน.คสช. เป็นนายก 3 พรรคที่ทราบกันดี รวมกันเพียงประมาณ 8.8 ล้านเสียงเท่านั้น คะแนน popular vote นี้ยังไม่ร่วมถึงพรรคการเมืองอื่นที่ในช่วงหาเสียงที่หัวหน้าพรรคพูดผ่านสื่อสารมวลชนทั้งประเทศว่าไม่สนับสนุน หน.คสช เป็นนายก ถ้าจำไม่ผิด หน.พรรค ที่ได้ที่ 4และที่5 ได้ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงด้วย ซึ่งหากรวมกันแล้วมีมากกว่า 24 ล้านเสียง ซึ่งการตัดสินใจหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่างๆจะรอผลจาก กกต ประกาศประมาณช่วงวันที่ 9 พฤษภาคม ก่อน” พันตำรวจเอกทวี กล่าว

    แถลงการณ์ พรรคอนาคตใหม่ การนับคะแนนนครปฐม



    แถลงการณ์ พรรคอนาคตใหม่ กรณีผลการนับคะแนนเลือกตั้งครั้งที่ 2 เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม
    #ขอให้จัดการเลือกตั้งใหม่ เขต 1 นครปฐม ทั้งเขต หลังมีข้อเท็จจริงในหลายประการว่าการเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการนับคะแนนเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง
    หลังจากนางสาวสาวิกา ลิมปสุวัณณะ ผู้สมัครส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม พบความผิดพลาดในการรวมคะแนนเลือกตั้งของกกต. จากเดิมที่กกต.ประกาศให้ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ชนะผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ 147 คะแนน แต่เมื่อนางสาวสาวิกานำคะแนนที่ได้จากกกต.รายหน่วยมาตรวจสอบใหม่ กลับพบว่าคะแนนอนาคตใหม่ชนะประชาธิปัตย์ 4 คะแนน ทำให้กกต.มีมติให้มีการนับคะแนนใหม่ทั้งเขต เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา
    อย่างไรก็ตาม ผลคะแนนของเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม ถือเป็นกรณีที่มีปัญหาอย่างมาก โดยมีการแสดงคะแนนเปลี่ยนไปมาถึง 5 ครั้ง ได้แก่
    24 มีนาคม กกต.ประกาศให้พรรคอนาคตใหม่แพ้ประชาธิปัตย์ 147 คะแนน ด้วยคะแนน 35,615 ต่อ 35,762
    1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง ผู้สมัครอนาคตใหม่ขอคะแนนรายหน่วยจากกกต. มาตรวจสอบเอง พบว่าพรรคอนาคตใหม่ ชนะพรรคประชาธิปัตย์ 4 คะแนน ด้วยคะแนน 35,766 ต่อ 35,762
    28 เมษายน พรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัยชนะ ได้คะแนนมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ 4 คะแนน ด้วยคะแนน 35,707 ต่อ 35,711
    นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี กรรมการกกต. ให้สัมภาษณ์ว่าพรรคอนาคตใหม่ชนะ
    พรรคประชาธิปัตย์ 62 คะแนน ด้วยคะแนน 35,707 ต่อ 35,645
    29 เมษายน นายจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. แถลงว่าพรรคอนาคตใหม่แพ้พรรคประชาธิปัตย์ 4 คะแนน 35,707 ต่อ 35,711
    คะแนนที่เปลี่ยนไปมาเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติอันชอบธรรมได้เลยว่าผลการเลือกตั้งครั้งใดถือว่าเป็นครั้งที่ถูกต้อง
    นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุไฟดับนานถึง 20 วินาทีในระหว่างการนับคะแนน และผู้สังเกตการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ได้ตรวจสอบพบเหตุผิดปกติหลายกรณี มากเกินกว่าจำนวนคะแนนที่พรรคอนาคตใหม่แพ้พรรคประชาธิปัตย์
    ข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นกรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดนครปฐมมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการนับคะแนนเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง พรรคอนาคตใหม่จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งเขต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 124เพื่อให้ได้มาซึ่งผลการเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

    ดาบผ่านทางตันอำนาจกกต.

    ศาลรัฐธรรมนูญปัดวินิจฉัยสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์

    ร้อนตับแตก อุณหภูมิทะลักปรอท

    สถานการณ์แบบที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าพีกเป็นรอบที่ 2 ต่อเนื่อง ห่างกันแค่ 4 วัน คือวันที่ 20 เมษายน อยู่ที่ 29,680.3 เมกะวัตต์ และทำ new high ใหม่ ในวันที่ 24 เมษายน อยู่ที่ 30,120.2 เมกะวัตต์

    เนื่องจากประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศคลายร้อน ตามอุณหภูมิที่สูงถึง 32.6 องศาเซลเซียสใน กทม. และบางจังหวัดร้อนปรอททะลักไปถึง 34 องศาเซลเซียส

    แถมแนวโน้มยังสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดอาจเห็นตัวเลขพีกเกิดขึ้นอีก

    คนไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนตับแลบจนกว่าจะเข้าฤดูฝนในกลางเดือนพฤษภาคม

    ในห้วงสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุต่อเนื่องเหมือนกัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 24 มีนาคม ถึงตรงนี้ครบ 1 เดือนเต็มแล้ว ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้

    เป็นความแปลกใหม่ของการเมืองไทย จากเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ

    นั่นก็เพราะตัวเลขเสียง ส.ส.ที่ก้ำกึ่งสูสี ไม่มีฝั่งไหนชิงตั้งรัฐบาลได้แบบชนะเด็ดขาด อีกทั้งตัวเลขที่ยังไม่ชัวร์ โดยเฉพาะในส่วนของการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ

    ไม่รู้จะยึดถือสูตรไหน แม้แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใต้การนำของนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ก็ยังลังเลๆ

    แต่ล่าสุดก็มองได้ในมุมที่เกิดความชัดเจนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องกรณีที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

    โดยระบุ กรณีดังกล่าวเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ซึ่งต้องกระทำหลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว

    แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้ใช้หน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายบัญญัติ จึงยังไม่ถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ กกต.เกิดขึ้นแล้ว คำร้องของ กกต.ในส่วนนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 44 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้

    ในมุมหนึ่งคือศาลรัฐธรรมนูญปัด ไม่รับเผือกร้อนที่ กกต.โยนให้

    แต่อีกมุมก็ตอกย้ำกันเป็นนัย มันคืออำนาจของ กกต.

    ในเมื่อรัฐธรรมนูญมอบสิทธิให้เป็นผู้บริหารจัดการเลือกตั้งตามอำนาจหน้าที่

    ศาลรัฐธรรมนูญผลักอำนาจกลับมาอยู่ในกำมือของ กกต.

    ในจังหวะที่พอดีกับ “ใบส้ม” ใบแรกที่ กกต.แจกให้กับนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โดน กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี เพราะพฤติการณ์เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 (2) ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด

    สั่งเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ ประเดิมแจ็กพอตพรรคเพื่อไทย

    ดาบอาญาสิทธิ์ กกต.เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์

    และจุดที่เป็นไฮไลต์จริงๆก็อยู่ที่คิว 7 เสือมีมติแจ้ง

    ข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถูกร้องเรียนว่า ถือครองหุ้นบริษัท วี–ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3)


    ตามเอกสารหลักฐานที่มีมูลพอให้เกิดข้อสงสัย

    โดยนายธนาธรมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำ หรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิจะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา

    ทำให้ “พ่อน้องฟ้า” ต้องรีบแจ้นบินด่วนกลับจากโรดโชว์ประชาธิปไตย จัดฉากเดินหมากโลกล้อมประเทศไทยอยู่ที่ยุโรป กลับมารับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

    และก็ตามฟอร์ม “ไพร่หมื่นล้าน” ประกาศลั่นกลางวงกองเชียร์ลุง ป้า น้า อา น้องฟ้าที่ไปรับถึงสนามบิน

    สบายใจมาก มั่นใจไม่ได้ทำผิด ใบส้มใช้กับตนเองไม่ได้

    แต่ในอาการของการแสดงความมั่นอกมั่นใจต่อหน้าผู้สนับ

    สนุน มันก็แฝงไว้ด้วยเหลี่ยมการต่อสู้ที่จับทางได้ กับมุกที่หัวหน้า พรรคอนาคตใหม่ประกาศ งานนี้ไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”

    แต่เป็นการสู้เพื่อประชาธิปไตย ล้มล้างอำนาจเผด็จการที่ไม่เป็นธรรม

    “พ่อน้องฟ้า” ยกตัวเองเป็นสัญลักษณ์ “ประชาธิปไตย”

    นั่นก็เป็นอะไรที่ “ธนาธร” เองก็รู้เกมดี ถ้าสู้ด้วยหลักทางกฎหมาย โอกาสรอดยาก

    ตามรูปการณ์ที่ถึงขั้นใช้มือระดับ “ด็อกเตอร์อังดัวร์”

    นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นทนายแก้ต่างทางกระแสสื่อมวลชน

    ลงลึกแบบที่งัดหลักฐาน “อีซี่ พาส” ทางด่วนมายืนยัน


    แต่ด้วยความเป็นอาจารย์ที่เก่งทฤษฎี อ่อนเชิงในทางปฏิบัติ ตามรูปการณ์มันก็เลยเหมือนยิ่งดิ้นยิ่งมัด

    โดนดักทางจับ “โป๊ะแตก” พูดขัดแย้งขัดลำกันเอง

    โดยรูปการณ์ที่เซียนกฎหมายฟันธง เบาสุด กกต.แจก “ใบส้ม” ปมคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามสมัคร ส.ส.

    แต่ถ้าลามเป็นคดีอาญา ฐานที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครแต่ยังมาลงสมัคร ส.ส. นั่นก็ส่อพัฒนา

    ถึงขั้นอาจโดน “ยุบพรรค” เพราะนายธนาธรมีตำแหน่งหัวหน้าพรรคใช้ตำแหน่งรับรองผู้สมัคร เข้าข่ายรู้เห็นเป็นใจส่งตัวเองและสมาชิกลงสมัคร ส.ส.ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ

    นั่นยังไม่ว่ากันในฐานปลอมเอกสารหลักฐาน ช่วยกันปกปิดความผิด ไฟจุดติดจนเสี่ยงลามถึงมารดานาย

    ธนาธรที่อ้างว่าเป็นผู้รับโอนหุ้น มันก็จะ “โก โซ บิ๊ก” ไปกันใหญ่

    นั่นเลยทำให้ได้เห็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ เจ้าตัวประกาศไม่ได้สู้เพื่อตัว “ธนาธร”

    พลิกเหลี่ยมสู้เพื่อประชาธิปไตย ปลุก “6 ล้านเสียง” กดดันวัดใจ กกต.

    แต่จับทาง “7 เสือ” กกต.ก็ไม่ได้ลนลานตามเสียงขู่เกมมวลชนแต่อย่างใด ในมุมอย่างที่นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ยืนยันก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจเพียงตรวจสอบลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานของรัฐจำนวน 23 หน่วยเท่านั้น

    แต่ถ้าเป็นลักษณะต้องห้าม ที่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยงานเอกชนยังไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงต้องให้ผู้สมัครรับรองตนเองไว้ว่าเป็นผู้ไม่มีลักษณะต้องห้ามก่อน หากภายหลังปรากฏว่ามีลักษณะต้องห้ามอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และพรรคการเมือง กกต.ก็จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หรือประกาศผลเลือกตั้ง

    หักลำ “ปิยบุตร-ธนาธร” กกต.มีอำนาจแจกใบส้ม “ล้านเปอร์เซ็นต์”


    กกต.แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบอาญาสิทธิ์

    ตามจังหวะที่ กกต. “เครื่องติด” แล้ว ไม่ใช่แค่ปมร้อนๆ แหลมๆของ “ธนาธร” ที่จ่อ “ใบส้ม”

    แต่ในปมปัญหาใหญ่กว่า นั่นคือการคำนวณคะแนน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความ ยัดอำนาจกลับมาอยู่ในมือ “7 เสือ กกต.”

    “สอนมวย” ต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย

    นายแสวงก็แถลงทันที กกต.จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยจะคำนึงถึงวิธีการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ที่สำนักงาน กกต.เสนอให้ กกต.พิจารณา หรือวิธีการคำนวณอื่นๆอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้

    โดยเฉพาะในส่วนการคำนวณตามแบบของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของ กกต. เพราะวิธีการนี้ได้เสนอมาตลอด 2 ปี ไม่เคยมีการโต้แย้ง รวมทั้งได้มีการเผยแพร่ พรรคการเมืองที่ได้ติดตามก็น่าจะทราบสูตรอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีผลคะแนนการเลือกตั้งออกมา

    อ่านตามรูปการณ์ กกต.มีแนวโน้มเดินตาม กรธ.ยึดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ไม่ให้คะแนนตกน้ำ

    โอกาสอานิสงส์ตกกับพรรคเล็กได้แต้มกันถ้วนหน้า

    และโดยรูปการณ์ก็มีแนวโน้มเข้าทางขั้วพลังประชารัฐได้ “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล แต่สมการ

    ตัวเลขจะไม่เข้าเหลี่ยมขั้ว “ทักษิณ” มีโอกาสจัดได้แค่ “รัฐบาลลม”


    แน่นอน มันก็ก่อแรงกระเพื่อม ตามรูปเกมหนีไม่พ้นโดนร้องศาลรัฐธรรมนูญ พึ่งศาลปกครอง วิ่งฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปยันกระบวนการล้มกระดานให้เลือกตั้งโมฆะ

    ตามฟอร์มของผู้พลาดหวัง เดิมพันเกมชิงพลิกขั้วอำนาจพัง

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่ากระแสมวลชน เสียงขู่ระดมม็อบกดดัน มันก็แค่เกมวัดใจ ตราบใดที่ยึดตามรัฐธรรมนูญ กกต.แสดงถึงการใช้อำนาจอย่างรอบคอบ ใช้ดาบอาญาสิทธิ์อย่างชอบธรรมไม่ต้องเสี่ยงคุก

    การเมืองเดินหน้าต่อได้ ไม่มีทางตัน

    ต่อให้พลังกองหนุน 6 ล้านเสียง หรือกี่สิบล้านเสียง มันไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎหมาย

    เหนืออื่นใด ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ สัปดาห์สำคัญที่เข้าสู่โหมดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ภาพความสวยงาม บรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์ ความภาคภูมิใจในอารยธรรมของไทย จะปรากฏสู่สายตาโลก


    พวกผิดคิวก่อความวุ่นวายในเกมชิงอำนาจโดยไม่ดูกาลเทศะ จ้องก่อชนวนม็อบปลุกมวลชน

    ตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว บางคนติดคุกบางคนไม่มีแผ่นดินอยู่.

    “ทีมการเมือง”

    วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562

    อภินิหารทางกฎหมาย?

    คำนูณ สิทธิสมาน : กฎหมายมหาชนกับกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร

    คำนูณ สิทธิสมาน : กฎหมายมหาชนกับกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร

    เขียนวันที่
    วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน 2562 เวลา 14:15 น.
    เขียนโดย
    isranews
    หมวดหมู่
    "...กฎหมายมหาชนมุ่งคุ้มครองมหาชนที่ประกอบด้วยบุคคลมีระดับความรู้ความสามารถและสถานะแตกต่างกัน รัฐจำเป็นต้องให้ความคุ้มครองบุคคลส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งแตกต่างโดยพื้นฐานกับกฎหมายเอกชนที่รัฐเพียงวางกฎเกณฑ์สำหรับการทำมาหากิจของบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเท่าเทียมกัน รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากเกินความจำเป็น...."
    pictananannaa26 4 19
    หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานฯ และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
    -------------------
    ในกฎหมายมหาชนจะยึดถือเกณฑ์ตามกฎหมายเอกชนเพียงใด - ประเด็นสำคัญกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
    ---------------
    ได้คิดใคร่ครวญประกอบการติดตามข่าวมาต่อเนื่อง ประเด็นข้อกฎหมายหลักที่ต้องพิจารณาในกรณีหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดียของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจคือ
    กกต.จะยึดถือวันใดเป็นวันโอนหุ้นจริง
    1. ยึดวันที่บริษัทฯส่งแบบ 'บอจ. 5' ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คือ วันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
    หรือ...
    2. ยึดถือวันที่มีการโอนกันจริงตามที่ฝ่ายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจกล่าวอ้าง คือ วันที่ 8 มกราคม 2562 อันเป็นวันก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง
    นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 2561 มาตรา 42 (3) แล้ว มีข้อกฎหมายสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีนี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 1129 วรรคสาม
    "มาตรา 1129 อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
    "การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย
    "การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น"
    ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และฝ่ายสนับสนุน ยึดถือเวลาตามข้อ 2 โดยมีประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสามนี้เป็นฐานสำคัญ
    ความหมายตามมาตรา 1129 วรรคสามนี้คือเมื่อมีการจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ก็ถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว ไม่ถึงขนาดต้องส่งแบบ บอจ. 5 แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติจะแจ้งปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
    แต่การที่สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอยู่ที่บริษัทนี่แหละคือปมปัญหาเมื่อนำมาใช้กับกรณีนี้
    เพราะโดยทั่วไปแล้วบุคคลภายนอกย่อมยากจะรู้ได้ว่าในระหว่างปีมีการโอนหุ้นกันกี่ครั้ง และเอกสารการโอนหุ้นในแต่ละครั้งก็ยากที่จะรู้ได้แน่นอนว่าเป็นจริงตามวันที่ในเอกสารหรืออาจจะมีการทำขึ้นย้อนหลังหรือไม่
    ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง
    โดยเฉพาะกฎหมายแพ่ง
    แต่มีหลักคิดผุดขึ้นมาว่ามาตรา 1129 วรรคสามคือเหตุผลของกฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็น 'กฎหมายเอกชน' มีวัตถุประสงค์ในการวางกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่ามีความเท่าเทียมกัน ทำมาค้าขายกัน ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังตนเองกันตามสมควร รัฐไม่ควรวางกฎเกณฑ์ที่อาจจะสร้างภาระให้แต่ละฝ่ายมากเกินไป
    คำถามคือจะเอากฎเกณฑ์ตาม 'กฎหมายเอกชน' มาใช้กับ 'กฎหมายมหาชน' ได้แค่ไหน เพียงใด
    โดยเฉพาะ 'กฎหมายมหาชน' ในระดับรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่วางกฎเกณฑ์ 'ลักษณะต้องห้าม' ของบุคคลที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ
    ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ากฎเกณฑ์ 'กฎหมายเอกชน' นั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นกฎเกณฑ์ทาง 'กฎหมายมหาชน' ได้ทั้งหมด หากแต่สามารถนำมาใช้ได้เฉพาะบางประการที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อการทำหน้าที่ขององค์กรที่ทำหน้าที่ในทางมหาชนเท่านั้น
    เพราะวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายทั้ง 2 ลักษณะแตกต่างกัน
    กฎหมายมหาชนมุ่งคุ้มครองมหาชนที่ประกอบด้วยบุคคลมีระดับความรู้ความสามารถและสถานะแตกต่างกัน รัฐจำเป็นต้องให้ความคุ้มครองบุคคลส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งแตกต่างโดยพื้นฐานกับกฎหมายเอกชนที่รัฐเพียงวางกฎเกณฑ์สำหรับการทำมาหากิจของบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเท่าเทียมกัน รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากเกินความจำเป็น
    กลับมาสู่กรณีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ...
    ในกรณีนี้ 'คนภายนอก' ตามประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสาม เป็นองค์กรอิสระนาม 'กกต.' ที่ทำหน้าที่สำคัญยิ่งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในการกลั่นกรองบุคคลที่มี 'ลักษณะต้องห้าม' ออกไปจากการเข้าสู่อำนาจรัฐ !
    มิหนำซ้ำ 'ลักษณะต้องห้าม' นี้ยังมีโทษค่อนข้างแรง !!
    ถามว่าถ้าจะยึดถือประมวลแพ่งมาตรา 1129 เป็นเกณฑ์อย่างเคร่งครัด กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจยังคงถือหุ้นที่มี 'ลักษณะต้องห้าม' อยู่หรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 อันเป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ในเมื่อเอกสารแบบ บอจ. 5 ที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันเวลาตามข้อ 1 วันที่ 21 มีนาคม 2562 หลังวันสมัครรับเลือกตั้งแล้ว กกต.จะไปรู้ถึงการโอนหุ้นตามข้อ 2 ที่มีการกล่าวอ้างว่าเกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดการโต้แย้งแตกแขนงไปอีกหลายประเด็นว่าการโอนหุ้นในวันนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่
    กฎเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรคสาม จึงไม่น่าจะนำมาหักล้างกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมาตรา 42 (3) ได้ทั้งหมด
    เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เชื่อว่ากกต.น่าจะต้องยึดถือระยะเวลาตามข้อ 1 ตามเอกสารที่ปรากฎต่อราชการเป็นหลัก
    กล่าวคือยึดตามแบบ บอจ. 5 ที่ปรากฎเป็นครั้งแรกต่อทางราชการ
    นั่นคือวันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
    -----------------------
    ทั้งหมดนี้ พยายามพูดตามความเข้าใจด้วยภาษาชาวบ้่านที่พอเรียนพอรู้กฎหมายอยู่บ้างเท่านั้น ที่ลองตั้งประเด็นขึ้นมาเพราะเห็นว่าน่าสนใจในทางวิชาการ
    ข้อยุติ จะอยู่ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
    คือ กกต.ในเบื้องต้น
    และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณีในท้ายที่สุด
    58883071 2201490333228242 3343700866786918400 n
    58460639 2201490356561573 7585835950467448832 o
    58375562 2201490396561569 1534779590830981120 n
    # กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/

    ธนาธรสบายใจมาก มั่นใจแจงได้-ไม่โดนใบส้ม

    เมินพรรคการเมืองฟ้องกลับ ผู้ตรวจการฯนัดถกส่งตีความ

    กกต.เดินหน้าเคาะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ยึด ม.128 พ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส. “แสวง” ย้ำพยายามหาสูตรไม่ขัดกฎหมาย ท้าใครเห็นว่าไม่ถูกไปร้องศาลได้ ยันมีอำนาจสอบคุณสมบัติได้ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง “วิรัตน์” สอนเชิงต้องทำตามรัฐธรรมนูญ ม.91 เป็นหลักแนะรอผู้ตรวจการฯถกด่วนคำร้องส่งตีความ “สมชัย” ชี้ กกต.ฟัน“ธนาธร” เกินกรอบเวลา ขู่ระวังโดมิโน 7 อรหันต์ผิดเอง “ไพศาล” ซัดไม่เข้าข่ายทุจริต-ส.ส.เขตแจกใบส้ม หน.อนาคตใหม่ไม่ได้ ส่อผิดกฎหมาย “ศรีสุวรรณ” อ้างคำสั่งศาลฎีกาโดนโทษอาญาเพิ่มฐานแจ้งข้อมูลเท็จ พท.พึ่งศาลปกครองโต้แย้งใบส้ม “สุรพล” หน.อนาคตใหม่กลับถึงไทยสบายใจมาก มั่นใจไม่ได้ทำผิด ใบส้มใช้กับตนไม่ได้ ปลุกกองเชียร์ฮือสู้เพื่อประชาธิปไตย

    หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำร้องขอให้วินิจฉัย เกี่ยวกับปัญหาการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ล่าสุด กกต.ยืนยันจะหาสูตรคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่ไม่ขัดกฎหมาย แต่หากผู้ใดเห็นว่าไม่ถูกต้องมีสิทธิไปร้องต่อศาลได้

    กกต.ลุยคิด ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ตามสูตร

    เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่สำนักงาน กกต.นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุม กกต.ได้รับทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ที่ไม่รับคำร้องของ กกต.เรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.จึงจะต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อภายหลังการประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยจะคำนึงถึงวิธีการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ที่สำนักงาน กกต.เสนอให้ กกต.พิจารณา หรือวิธีการคำนวณอื่นๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อแบบครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนด การคำนวณตามแบบของ กรธ.ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ประชุม กกต.มอบหมายให้สำนักงานไปศึกษาวิธีคำนวณที่มีนักวิชาการ พรรคการเมืองเสนอ และระบุว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญว่าวิธีเหล่านั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ แล้วเสนอให้ที่ประชุมรับทราบ บุคคลที่เสนอได้ส่งวิธีคำนวณให้ กกต.แล้ว ล้วนแต่อ้างว่าของตนเองถูกต้องตามมาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. แต่คิดคำนวณออกมาได้ต่างกัน


    ใครเห็นว่าไม่ถูกต้องไปฟ้องศาลได้

    นายแสวงกล่าวอีกว่า การดำเนินการเรื่องนี้คงต้องดำเนินการโดยเร็ว เพราะวันที่ 9 พ.ค. กกต. ต้องประกาศ ส.ส.ทั้งสองระบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ส่วนที่ก่อนหน้านี้ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดกับมาตรา 91 ของรัฐ-ธรรมนูญหรือไม่ เมื่อศาลวินิจฉัยว่าเป็นอำนาจ กกต. เราจะพยายามหาสูตรที่ไม่ขัดกฎหมาย เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว มีผู้ที่เห็นว่าการคำนวณจัดสรร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่ถูกต้อง มีสิทธิไปร้องต่อศาลได้

    ยันสอบคุณสมบัติได้ทั้งก่อน-หลัง

    นายแสวงกล่าวอีกว่า ส่วนข้อสังเกตว่า กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามหลังวันเลือกตั้งได้หรือไม่ หรือทำไมไม่ตรวจสอบให้เสร็จสิ้นในวันรับสมัครเลือกตั้งในคราวเดียว ยืนยันว่า กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หรือวันประกาศผลการเลือกตั้ง ก่อนการสมัครเลือกตั้ง กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะมีเอกสารรับรองหรืออ้างอิงทุกรายการ ส่วนลักษณะต้องห้าม กกต.จะตรวจสอบได้เพียงจากข้อมูลของหน่วย รัฐ 23 แห่ง แต่ถ้าเป็นข้อมูลอยู่ในความครอบครองของเอกชน กกต.ไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงต้องให้ผู้สมัครรับรองตัวเอง หากภายหลังปรากฏว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม เป็นเหตุฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจตรวจสอบ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรณีที่มีผู้ร้องว่าอาจมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายและพรรคการเมือง จึงต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้สิ้นกระแสความ

    โต้ครหาไม่แจ้งข้อห้ามหาเสียง

    นายแสวงกล่าวอีกว่า การที่มีข้อสังเกตว่า กกต.ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการหาเสียงให้แก่ผู้สมัครและพรรคการเมือง ทำให้ผู้สมัครหรือพรรค การเมืองไม่มีแนวทางในการปฏิบัติกับเรื่องดังกล่าวนั้น กกต.ได้ออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ออกตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 71 กรณีการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ผู้ใด ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันใด รวมถึงมาตรา 73 กำหนดไว้ว่าการช่วยเหลือเงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ แก่ผู้ใดตามประเพณีต่างๆกระทำมิได้ รวมถึง กกต. ได้มีหนังสือตอบข้อหารือของพรรค การเมืองที่ได้มีหนังสือหารือเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามข้อดังกล่าว และแจ้งให้พรรคการเมืองทราบ พร้อมทั้งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานเป็นการทั่วไปก่อนการเลือกตั้งแล้วด้วย

    “วิรัตน์” ชงผู้ตรวจฯส่งชี้ขาดอีกทาง

    นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.สงขลา และอดีตหัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง กกต.ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่หลงกล ต้องชื่นชมที่ยังเป็นหลักให้บ้านเมืองอยู่เสมอ เพราะทุกศาลไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษากับคู่ความ แต่จะตัดสินวินิจฉัยว่าที่คู่ความทำนั้นผิดหรือถูก โดยคู่ความต้องมีการกระทำหรือตัดสินใจตามหน้าที่และอำนาจของตนก่อน ไม่ใช่ยื่นเรื่องไปที่ศาลเพื่อให้ช่วยคิดแทนทำแทน ตัวเองจะได้ปลอดภัย หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบหมาย กกต.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 เป็นหลัก เมื่อวินิจฉัยโดยใช้มาตรา 91 แล้วจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ลงตัว

    หรือเพราะเหตุใด เป็นเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ความผิด กกต. แต่ถ้า กกต.ยังทำใจไม่ได้ที่จะตัดสินใจใดๆให้รอคำร้องที่ตนในนามส่วนตัว ได้ส่งตัวแทนไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินไว้เมื่อวันที่ 23 เม.ย. เรื่อง “บทบัญญัติของกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” กรณี พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 สองมาตรานี้เกี่ยวกับการคิดคะแนนที่พึงมีของ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่กำลังถกเถียงขบเหลี่ยมกันอยู่

    ก.ม.ลูกขัด รธน.ม.91 สนช.ต้องแก้ไข

    นายวิรัตน์กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นช่องทางนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ เพื่อปลดล็อกปัญหาหนักอกของ กกต.ที่ยังหาทางออกไม่ได้ ตามหลักการมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญมีศักดิ์และศรีเหนือกว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.แน่นอน วงเล็บท้ายของมาตรา 128 เกินกรอบจากรัฐธรรมนูญไปมาก กล่าวคือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 เขียนเฉพาะเรื่อง ส.ส.ที่พึงมี แต่กฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส.ไปเขียนรายละเอียดมากมายเกินไป จนมีโอกาสจะถือว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจโดยแท้ของศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามาตรา 128 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 กกต.จะได้คิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวถูกฟ้อง แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่าขัด เป็นเรื่องของ สนช.ต้องแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินสมควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อให้รอบคอบ ชัดเจน โปร่งใส ยุติข้อสงสัย ข้อถกเถียงข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้ง เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายทั้งปวงสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญต่อไป


    ผู้ตรวจการฯถกพิเศษคำร้อง ลต.โมฆะ

    ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการชี้แจงคำร้องการเลือกตั้งโมฆะของ กกต.ว่า กกต.ได้ส่งคำชี้แจงมาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.เจ้าหน้าที่จะนำคำชี้แจ้งมาเทียบเคียงคำร้อง ขณะนี้มีหลายคำร้องที่คล้ายคลึงกัน ล่าสุดนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งคำร้องมาในประเด็นคล้ายคลึงกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ที่ให้พิจารณาว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่ รวมทั้งคำร้องการเลือกตั้งโมฆะ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังประมวลข้อมูล วันที่ 26 เม.ย. เวลา 09.30 น. ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมวาระพิเศษพิจารณาคำร้อง พยานหลักฐานเชื่อว่าน่าจะเพียงพอ

    “สมชัย” ติง กกต.ฟัน “ธนาธร” เกินเวลา

    เมื่อเวลา 09.50 น. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.โพตส์เฟซบุ๊กถึงกรณีนายธนาธรว่าเป็นเรื่อง “คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม” หรือเป็นเรื่อง “การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” ว่า มาตรา 42 (3) กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.กำหนดลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร ส.ส. ต้องไม่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ คือจุดเริ่มของการมีมติเบื้องต้นของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายธนาธร คำถามคือ กกต.จะใช้เรื่องคุณสมบัติหรือการกระทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม มาเป็นประเด็นข้อกฎหมายจัดการปัญหานี้ หากใช้คุณสมบัติอย่างเดียวไม่น่าเดินต่อได้ เพราะคุณสมบัติต้องเป็นการร้องโดยบุคคลที่เห็นว่าขาดคุณสมบัติ และต้องดำเนินการร้องใน 7 วันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ตามมาตรา 51 สำหรับ ส.ส.เขตและมาตรา 60 สำหรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.ประกาศชื่อเมื่อวันที่ 15 ก.พ.62 การยื่นร้องคัดค้านคุณสมบัติจึงทำได้เพียงถึงวันที่ 22 ก.พ.62 เท่านั้น ดังนั้นเรื่องคุณสมบัติจึงเป็นเพียงปฐมเหตุที่นำไปสู่การใช้มาตรา 132 ที่ระบุว่า “ผู้ใดกระทำการอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม” แปลง่ายๆว่านายธนาธรไม่มีสิทธิสมัครด้วยคุณสมบัติแต่ยังลง และความนิยมที่มีต่อนายธนาธร (ที่มีคุณสมบัติต้องห้าม) นำไปสู่การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

    ขู่ “โดมิโน” กกต.ผิดเองด้วยหรือไม่

    “แม้จะพยายามโยงการให้ “ใบส้ม” แก่ธนาธร จึงเป็นสืบเนื่องจากมาตรา 132 นี้ เพียงแค่ใช้มาตรา 42 (3) เป็นปฐมบทคิดไกลต่อไป หากธนาธรไม่มีสิทธิลง และคะแนนของอนาคตใหม่ทั้งหมดมาจากความนิยมต่อธนาธร หมายความถึงสึนามิลูกใหญ่กำลังมาถึงพรรคอนาคตใหม่ เพราะจะมีประเด็นต่อว่าทุกคะแนนของอนาคตใหม่ได้มาด้วยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม สึนามิลูกนี้อาจโทษธนาธรฝ่ายเดียวไม่ได้ เนื่องจาก กกต.เองมีกลไกตรวจสอบคุณสมบัติ และใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติเป็นสัปดาห์ มีการประกาศรายชื่อ ให้เวลาทักท้วง มีการเลือกตั้งและผ่านการเลือกตั้งไปเป็นเดือนแล้ว จึงหยิบยกเรื่องราวมาตรวจสอบ จึงเป็นคำถามใหญ่ที่ถามกลับไปยัง กกต.ได้ว่า ท่านมีความผิดในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ โดมิโนทางการเมืองกำลังเริ่มทำงาน และให้ระวังคนที่เริ่มเล่นด้วยว่าโดมิโนตัวสุดท้ายจะกลับมาล้มทับตัวเองหรือไม่” นายสมชัยระบุ


    “ไพศาล” ซัดหลงผิด ก.ม.แจกใบส้มไม่ได้

    ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณี กกต.พิจารณาคุณสมบัตินายธนาธรว่า กระแสกดดันให้ กกต.แจกใบส้มแก่นายธนาธร จนประธานไต่สวนต้องลาออก และคณะกรรมการไต่สวนที่เหลือลงมติแค่รับเรื่องกล่าวหาว่ามีมูล ให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายธนาธรนั้น สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินการในชั้นนี้เข้าที่เข้าทางตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว เพราะการแจกใบนั่นใบนี่ โดยที่ยังไม่ไต่สวนตามกระบวนการไม่ได้ ส่วนกระแสที่กดดันให้ กกต.แจกใบส้มแก่นายธนาธร เป็นแรงกดดันเพราะหลงผิดทางกฎหมาย เนื่องจากใบส้มใช้สำหรับ 2 กรณีเท่านั้นคือผู้สมัครรับเลือกตั้งกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง ไม่ใช่เรื่องกรณีขาดคุณสมบัติ และใช้กับกรณีผู้สมัคร ส.ส.เขต ที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเป็นผู้ตั้งเรื่องกล่าวหา ไม่ใช่กรณีของผู้สมัครแบบปาร์ตี้ลิสต์ ไปอ่านดูกฎหมายกันให้ดี เพราะถ้ารุ่มร่ามตรงนี้ไม่เพียงแต่แจกใบส้มไม่ได้ แต่จะผิดกฎหมายด้วย

    “ศรีสุวรรณ” แจงเพิ่มปมหุ้นสื่อ

    นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 26 เม.ย. เวลา 10.30 น. กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติมกรณีร้องเรียนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ถือครองหุ้นในกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ บริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด อันอาจเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตาม มาตรา 98 (3) รัฐธรรมนูญ 2560 และมาตรา 42 (3) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน ก่อนหน้านี้ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต.และส่งข้อมูลไปให้แล้ว 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 25 มี.ค.62 วันที่ 5 เม.ย. และวันที่ 23 เม.ย. เชื่อว่าหาก กกต.ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและฟังข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว และเชื่อได้ว่ามูลคำร้องมีน้ำหนักมากว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายธนาธรต่อไป ศาลฎีกาเคยมีคำสั่งลักษณะที่ใกล้เคียงข้อพิพาทนี้ไว้แล้ว ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 111/2562 1144/2562 และ 1228/2562 และอาจมีโทษทางอาญาฐานแจ้งหรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาต่อไปด้วย

    อนค.เขต 2 กทม.ร้องนับใหม่ยกเขต

    เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. น.ส.พัสวี ภัทรพุทธา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 กทม. พรรคอนาคตใหม่ และนายชัยธวัช ตุลาธน รองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมจากที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ขอให้นับคะแนนใหม่ในเขต 2 ทั้งหมด โดยนายชัยธวัชกล่าวว่า ขณะนี้ผ่านมา 1 เดือน กกต.ยังไม่ดำเนินการใดๆ ที่ผ่านมา น.ส.พัสวีได้ไปขอผลคะแนนรายหน่วยทุกหน่วยของเขตมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายที่ประชาชนถ่ายใบรายงานผลที่ติดไว้หน้าหน่วยเลือกตั้ง พบว่าผิดปกติหลายหน่วย บางหน่วยไม่ตรงกับใบขีดคะแนน หรือ ส.ส.5/11 และใบ ส.ส.5/18 ที่ กกต.เขตมอบให้ ผู้สมัครภายหลังที่ไปขอคัดสำเนาพบว่ามีการขีดฆ่าแก้ไขไม่เซ็นชื่อรับรองโดยกรรมการนับคะแนน น่าสงสัยว่าบางจุดอาจเขียนเพิ่มเติมภายหลัง จึงขอให้นับคะแนนใหม่ทั้งเขต เพราะการเลือกตั้งผ่านไปเดือนกว่าแล้ว ยังมีหลายกรณีที่ประชาชนสงสัย ทำให้ถูกมองว่าไม่สุจริต

    เด็ก ปชต.ใหม่ยื่นสอบ กก.บห.

    ต่อมาเวลา 13.15 น. นายพรวิชัย มิ่งวงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 อุบลราชธานี พรรคประชาธิปไตย–ใหม่ นายพยุงศักดิ์ ชอบชื่น ผู้สมัครเขต 2 แพร่ นายส่ง ใจเครือ ผู้สมัครเขต 3 ศรีสะเกษ และนายอนุรักษ์ อยู่สายชล ผู้สมัครเขต 1 สุพรรณบุรี ยื่น ร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบกรรมการบริหารพรรคประชาธิปไตยใหม่กับการใช้จ่ายเงินของนางแพงศรี พิจารณ์ เหรัญญิกพรรค และภรรยาของนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรค โดยนายพรวิชัยกล่าวว่า ใน การประชุมสามัญเมื่อวันที่ 20 เม.ย. มีสมาชิกทวง ถามเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ลงสมัคร ส.ส.เขต 204 คน นายสุรทิน หัวหน้าพรรคไม่ตอบและเลิกประชุมทันที ทั้งที่ยังมี 2-5 วาระไม่ได้ดำเนินการ ต่อมามีคำสั่งพรรคให้พวกตนทั้ง 4 คนพ้นสมาชิกภาพ ถือว่าการประชุมสามัญของพรรคไม่เป็นไปตามระเบียบวาระการประชุม นอกจากนี้ นางแพงศรี เหรัญญิกพรรค ได้แจกเงินใส่ซองขาวให้ผู้ประชุม 300-400 บาท โดยไม่ได้รับทุกคน จึงขอให้ กกต.ตรวจสอบ

    “ตรีรัตน์” แย้งอีกผู้มีสิทธิไม่ตรงกัน

    ต่อมาเวลา 13.30 น. นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ผู้สมัคร ส.ส.เขต 13 กทม. พรรคเพื่อไทย ยื่นเอกสารหลักฐานต่อ กกต.เพิ่มเติม กรณีก่อนหน้านี้ ที่ได้ร้องว่าบัตรเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 13 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ เขตเลือกตั้งที่ 13 กทม.หายไป 180 ใบ แล้วได้รับการชี้แจงจากสำนักงาน กกต. เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่มีเอกสารรายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส.5/18 ระบุว่าหน่วยดังกล่าวมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 968 คน นายตรีรัตน์กล่าวว่า จากการ ตรวจสอบเอกสารการเลือกตั้งหน้าหน่วย (ส.ส.5/5) พบว่าในเอกสารระบุผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยดังกล่าว 841 คน แตกต่างจากเอกสารรายงานผลการเลือกตั้งของ กกต. (ส.ส.5/18) ที่ระบุว่ามี 968 คนไม่ตรงกับที่ระบุไว้หน้าหน่วย หน่วยเดียวกันจำนวนผู้มีสิทธิ กลับไม่เท่ากัน รวมถึงลายเซ็นและชื่อของประธานกรรมการประจำหน่วยก็ไม่ตรงกันในเอกสารทั้งสอง ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีประธาน 2 คน แล้วจะให้ยึด ตามเอกสารใด

    ภาค ปชช.ชงระงับรับรอง อนค.

    ขณะที่นายสุรวัชร สังขฤกษ์ กลุ่มการเมืองภาคประชาชน ยื่นหนังสือถึงประธาน กกต. เพื่อขอให้ กกต.ระงับการรับรองผลการเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะเข้าข่ายเป็นโมฆะ เนื่องจาก กกต.มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นเข้าลักษณะต้องห้ามเป็นผู้สมัคร ส.ส. มีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 วรรคสาม ถือว่าการเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมดโมฆะ เพราะนายธนาธรเป็นผู้ออกหนังสือรับรองในนามหัวหน้าให้ผู้สมัครของพรรค มีความผิดทั้งในนามหัวหน้าพรรคและนิติบุคคล ถือเป็นเอกสารเท็จ เพราะนายธนาธรขาดคุณสมบัติ และขอให้ กกต.ตรวจสอบและส่งคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาให้ดำเนินคดีอาญากับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงกรรมการบริหารพรรคและเลขาธิการพรรค

    “สุรวัชร” ให้ถ้อยคำฟัน “เสรีพิศุทธ์”

    นายสุรวัช ยังเปิดเผยด้วยว่า กกต.ได้ทำหนังสือ เชิญเข้าให้ถ้อยคำประกอบคำร้องกรณีที่ได้กล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (8) เนื่องจากสำนักนายกฯ มีคำสั่งที่ 73/ 2551 สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ในเวลา 10.00 น. วันที่ 27 เม.ย.

    ผู้ถูกร้องตอกกลับระวังติดคุก

    วันเดียวกัน ที่สำงานเขตบางกอกน้อย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นำคณะกรรมการบริหารพรรคและผู้สมัคร ส.ส. พรรคเสรีรวมไทย เดินทางลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครเฉพาะกิจในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปี 2562 โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า กรณีการจะยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์วุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เรื่องการมีชื่อติดอันดับร่ำรวยระดับเศรษฐีของเอเชียนั้น ขณะนี้ให้ทีมงานที่ เชี่ยวชาญด้านภาษาตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการจะฟ้องร้องใครเรื่องใดข้อมูลหลักฐานต้องถูกต้องชัดเจน ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้ กกต.ต้องทำความชัดเจนเรื่อง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตีกลับคำร้อง รัฐบาลนี้จ้องจะทำลายฝ่ายตรงข้าม จึงต้องดูกันดีๆ ส่วนเรื่องที่ตนถูกยื่นฟ้องกรณีถูกให้ออกจากราชการ มือปืนรับจ้างที่รับงานนี้ ระวังจะติดคุก

    พท.ย้ำสูตรเอื้อพรรคเล็กขัด รธน.

    นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนว่าเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นของ กกต. พรรคเรียกร้องให้ กกต.ทำหน้าที่โดยยึดสูตรคำนวณตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำหนดให้การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคต้องไม่เกินจำนวนที่พึงมี เพื่อไม่ให้สังคมครหาตั้งคำถามการปฏิบัติหน้าที่ หาก กกต.ปฏิบัติตาม กฎหมายจะไม่สับสนคลุมเครือ และจะไม่มีคำท้วงติง และไม่ว่าจะสูตรใดยืนยันว่าการคำนวณเพื่อเติมเต็มให้พรรคขนาดเล็ก ที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์พึงมีได้ ส.ส.1 ที่นั่ง เป็นการคำนวณที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ขัดรัฐธรรมนูญ กกต.ต้องรับผิดชอบ การที่ธนาคารโลกปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือร้อยละ 3.8 พร้อมแนะเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถือเป็นคำเตือนที่ผู้มีอำนาจต้องรับฟังและเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพราะเป็นมุมมองและคำแนะนำจากสถาบันการเงินชั้นนำของโลกที่เป็นกลาง ไม่มีใครไปชักจูงหรือชี้นำได้ หากผู้มีอำนาจไม่ยอมเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนแปลง ประชาชนต้องมีบทบาทกำหนดทิศทางบ้านเมืองมากขึ้น และกฎกติกาจะต้องตอบสนองอย่างเป็นธรรม สิ่งที่จะตามมาคือทางตันของประเทศทั้งเศรษฐกิจการเมืองและสังคม

    พึ่งศาลปกครองสู้ใบส้ม “สุรพล”

    นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีใบส้มของนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ว่า วันที่ 26 เม.ย. นายสุรพลหารือกับฝ่ายกฎหมายหาช่องทางใช้สิทธิโต้แย้ง กกต.ผ่านศาลปกครอง กระบวนการตัดสินของ กกต.เร่งรัดเกินไปหรือไม่ แจ้งข้อกล่าวหาวันที่ 18 เม.ย. นายสุรพลชี้แจงวันที่ 19 เม.ย. ภายใน 5 วันคือ 23 เม.ย. กกต.ชี้มูล เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นยุบพรรค หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคไม่ทราบเรื่อง มารู้ภายหลังจาก กกต.ให้ใบส้มไปแล้ว จากที่นายสุรพลชี้แจงนำเงินใส่ซองทำบุญกับพระภิกษุไม่ได้เจตนาซื้อเสียง หรือจูงใจให้ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ เพราะพระถือเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่าที่ ส.ส.ถูกใบส้มมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลของพรรค


    พปชร.จี้ กกต.แจงสูตรให้กระจ่าง

    ที่สำนักงานเขตพระนคร กทม.นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำกรรมการ บริหารพรรคและสมาชิกพรรค ลงทะเบียนสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นายอุตตม กล่าวถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยสูตรคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น เชื่อว่า กกต.คงหารือและดำเนินการตามที่เห็นสมควร จะใช้สูตรกระจายคะแนนให้พรรคเล็กหรือใช้สูตรใดเป็นเรื่องที่ กกต.จะพิจารณา พรรคพลังประชารัฐพร้อมเดินหน้าตามกฎหมาย ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล พลังประชารัฐพูดมาตลอดว่า อยากเห็น กกต.สร้างความกระจ่างในเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับทราบโดยเร็ว

    ไม่เชื่อรัฐบาลใหม่อายุสั้น

    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า หลังวันที่ 9 พ.ค. มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน พรรคเตรียมขับเคลื่อนนโยบายต่างๆที่หาเสียงไว้ จะทำทันทีโดยดูความจำเป็นเร่งด่วน ที่พรรคเพื่อไทยคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะอายุสั้นและให้ ส.ส.เร่งลงพื้นที่ รัฐบาลจะอยู่นานก็ได้ จากภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด มีทีมรัฐมนตรีเป็นนักบริหารมืออาชีพ ทำให้ชาวบ้าน อยู่ดีกินดี รัฐบาลจะอยู่ยาวได้ ส.ส.ทุกคนมีวุฒิภาวะไม่มีใครอยากเป็น ส.ส.แค่พักเดียว หากทุกอย่างเดินไปในทิศทางที่ประชาชนคาดหวังบางครั้งเสียงปริ่มๆแต่อาจอยู่ยาวได้

    “พีระพันธุ์” แทงกั๊กชิง หน.ปชป.

    นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าที่ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าถอนตัวจากการเสนอชื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขอปฏิเสธกระแสดังกล่าว ที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงท่าทีหรือประกาศว่าต้องการจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีแต่สื่อนำชื่อตนไปเอ่ยถึงในรายงานข่าว ยอมรับว่ามีคนมาทาบทามจริง อยากให้มาช่วยกันทำงานให้พรรค ตนรับฟังเท่านั้น ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธไป ยังมองไม่เห็นเหตุผลว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคทำไม อยู่อย่างนี้ทำงานได้อยู่แล้ว แต่จะให้บอกว่า ขอถอนตัวมันไม่ใช่ เพราะไม่เคยบอกว่าจะลงชิงตำแหน่งอะไร เมื่อถามว่าวันที่ 15 พ.ค. วันคัดเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถ้ามีคนเสนอชื่อเข้าชิงหัวหน้าพรรคจะมีท่าทีอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ขอดูท่าทีจากหลายอย่างก่อน จึงจะตัดสินใจอีกครั้ง

    “อุตตม” ทรัพย์สินงอก 13 ล้าน

    อีกเรื่องเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของอดีต 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 คน กรณีการพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2562 ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.อุตสาห-กรรม และคู่สมรสมีทรัพย์สิน 220,870,167 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนและที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูก สร้าง เมื่อเทียบกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง รมว.อุตสาห-กรรม วันที่ 19 ธ.ค.2562 ที่มีทรัพย์สิน 207,495,698 บาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 13,374,469 บาท

    “สนธิรัตน์” อู้ฟู่ขึ้น 31 ล้าน

    นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 144,401,978 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 80 ล้านบาท และทรัพย์สินมีค่าจำพวกเครื่องเพชร 34 รายการ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท และพระเครื่อง 32 รายการ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท โดยมีพระเครื่องที่น่าสนใจอาทิ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ มูลค่า 3 ล้านบาท พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ มูลค่า 3 ล้านบาท พระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง สมเด็จวัดระฆัง ทรงเจดีย์ พระท่ากระดาน กาญจนบุรี ราคา องค์ละ 2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เมื่อเดือน พ.ย.2560 ที่แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 113,227,926 บาท พบว่านายสนธิรัตน์มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 31,174,052 บาท

    “สุวิทย์” เก็บกรุวัตถุโบราณ 30 ล้าน

    นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน 86,770,000 บาท โดยทรัพย์สินที่น่าสนใจคือ วัตถุโบราณจำพวกเทวรูปเขมร รูปปั้นโบราณ พระพุทธรูปโบราณ เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย 129 รายการ มูลค่ารวม 22,978,000 บาท เทียบกับตอนเข้ารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เดือน พ.ย.2560 ที่มีทรัพย์สิน 90,836,749 บาท พบว่านายสุวิทย์มีทรัพย์สินลดลงประมาณ 4 ล้านบาท และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 20,009,236 บาท เทียบกับตอนเข้ารับตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ เมื่อเดือน พ.ย.2560 ที่มีทรัพย์สิน 23,005,078 บาท มีทรัพย์สินลดลงประมาณ 3 ล้านบาท

    ยกเลิกมูลนิธิ “พล.อ.เปรม”

    วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศนายทะเบียนสมาคมประจำ จ.สงขลา เรื่อง การยกเลิกสมาคม มีเนื้อหาว่านายชัยรัตน์ เสถียร แจ้งการเลิกสมาคมมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2561 โดยนายทะเบียนสมาคมประจำ จ.สงขลา ได้อนุมัติรายงานการชำระบัญชี และจำหน่ายชื่อสมาคมออกจากทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2561

    ไม่เกี่ยวกับมูลนิธิรัฐบุรุษ

    พล.อ.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิท พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวถึงกรณีราชกิจจานุเบกษาลงประกาศยกเลิกสมาคมมูลนิธิ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ว่า ไม่มีอะไรเป็นเรื่องปกติ เมื่อสมาคมไม่ได้ดำเนินการแล้วต้องแจ้งยกเลิกและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามกฎหมาย เนื่องจากห้วงที่ผ่านมา จ.สงขลา มีการขออนุญาต พล.อ.เปรม ตั้งมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณ-สูลานนท์ ของโรงเรียนและองค์กรต่างๆประมาณ 30 มูลนิธิเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษา พล.อ.เปรมจึงอนุญาต นายบัญญัติ จันทน์เสนะ ผวจ.สงขลาขณะนั้นเห็นว่ามีมูลนิธิฯมากถึง 30 มูลนิธิควรจะมีสมาคมประสานงานดูแล จึงตั้งสมาคมมูลนิธิ พล.อ.เปรมขึ้น ต่อมามูลนิธิต่างๆบริหารจัดการได้เองอย่างมีประสิทธิภาพจึงยกเลิกสมาคมฯนี้ เป็นขั้นตอนปกติไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรมหรือมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ช่วงนี้ พล.อ.เปรมพักอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ไม่ได้ไปไหน เตรียมตัวร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสัปดาห์หน้า

    นายกฯไปปักกิ่งหารือ ศก.สายไหม

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 00.30 น. วันที่ 26 เม.ย. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.พร้อมคณะ เดินทางเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation-BRF) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 26-27 เม.ย. ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับผู้นำ 38 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นความร่วมมือกับประเทศในเส้นทางสายไหมในทุกมิติ นอกจากนี้นายกฯ จะพบหารือกับผู้นำของจีน ได้แก่ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดี นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกฯ และนายหาน เจิ้ง รองนายกฯ


    กองเชียร์แน่นรับ “ธนาธร”

    คํ่าวันเดียวกัน เมื่อเวลา 20.00 น. ที่หน้าประตู 7 อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ นายธนาธรได้เดินทางกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีบรรดากองเชียร์และผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่แห่ไปต้อนรับกันเป็นจำนวนมาก ทันทีที่นายธนาธรเดินออกมาถึง กองเชียร์พากันเข้ามอบดอกกุหลาบแดงเป็นกำลังใจ พร้อมตะโกนส่งเสียงเชียร์ “ธนาธรสู้ๆ” เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ

    นายธนาธรให้สัมภาษณ์ว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนและชาวอนาคตใหม่ทุกคนที่มาต้อนรับ ขวัญกำลังใจของตนและพวกเราแกนนำพรรคยังดี ไม่มีอะไรต้องกังวล การต่อสู้คดีตามที่ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาต้องขอดูเอกสารจาก กกต.ที่ให้เวลา 7 วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะติดต่อไปชี้แจงต่อไป ก่อนหน้านี้ ตนไม่ได้รับเชิญให้ไปชี้แจง ครั้งแรกที่มีหนังสือเชิญมาถึงคุณแม่ของตน ทนายความจึงได้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ในส่วนของตนยังไม่ได้เคยไปชี้แจงเลย อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นนั้นได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายไปตั้งแต่เดือน ม.ค.

    มั่นใจสู้ได้ ไม่ได้ทำอะไรผิด

    เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ กกต.ต้องทำงานโดยมีแรงกดดันให้ต้องแจ้งข้อกล่าวหา จะทำให้ขาดคุณสมบัติและจะนำไปสู่การแจกใบส้ม นายธนาธร กล่าวว่า พวกเราทุกคนต้องให้กำลังใจ กกต. มีเจ้าหน้าที่ กกต.เยอะแยะไปหมดที่ปรารถนาดีต้องการทำงานอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป หวังว่า กกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จะนำไปสู่การเดินหน้าของประเทศ ชาติได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่มีการแจกใบส้มให้กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในขณะนี้ นายธนาธรตอบว่า กรณีใบส้มที่ให้อำนาจชี้ขาดเป็นของ กกต. ในส่วนของตนมั่นใจว่าใบส้มบังคับใช้กับกรณีของตนไม่ได้ ยืนยันมานานแล้วว่าทำทุกอย่างถูกต้อง ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าวันโอนหุ้นวันที่ 8 ม.ค. ตนยังอยู่หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่มีใครมีหลักฐานเลยว่า ตอนบ่ายวันนั้นตนอยู่ที่ไหน ถ้ายังเดินหาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ต้องมีภาพหรือวิดีโอออกมาแล้ว ทั้งนี้ มั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้สบายใจมาก ตอบชี้แจงได้ มั่นใจว่าไม่มีอะไรมาเอาผิดเราได้ แต่การที่ กกต.พยายาม เอาผิดอาจมีแรงกดดันเข้ามายัง กกต. เห็นได้จากประธาน อนุกรรมการไต่สวนต้องลาออก ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของธนาธร แต่ให้กำลังใจธนาธร

    ปลุกสู้เพื่อ ปชต.-ความเป็นธรรม

    เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่านายธนาธรจะถูกตั้งข้อกล่าวหาลงนามเอกสารรับรองผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคที่ขาดคุณสมบัติ นายธนาธรกล่าวว่า ผู้สมัครมี 500 คน คงไม่สามารถทราบว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง เชื่อว่าหัวหน้าพรรคคนอื่นก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อยากฝากให้ กกต.รับทราบถึงความต้องการของประชาชนที่พยายามติดตามประเด็นนี้มาต่อเนื่อง การเลือกวิธีคำนวณ อาจกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ขอให้เลือกไปตามหลักการที่ถูกต้องจะปกป้องตัวท่านเอง

    จากนั้นนายธนาธรได้กล่าวย้ำกับกองเชียร์ว่า อย่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของธนาธร ให้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ความเป็นประชาธิปไตย เรามาที่นี่เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ต้องให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศไทย