ถูกหวย ส้มหล่นใส่เต็มๆ
ในวิกฤติกลายเป็นโอกาสของนายสุทัศน์ เงินหมื่น ขยับขึ้นเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แทน “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ประกาศลาออกจาก ส.ส.เพราะรับไม่ได้กับมติพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯพรรคพลังประชารัฐ ตีตั๋วต่อรอบ 2
เกาะอุดมการณ์ ไฟต์บังคับต้อง “รักษาคำพูด”
ไม่ใช่เซอร์ไพรส์ บทหล่อๆของ “อภิสิทธิ์” ถูกเขียนสคริปต์ไว้ตั้งแต่รู้ผลเลือกตั้งแล้ว
และกองเชียร์ แฟนคลับก็ไม่ต้องใจหาย ดราม่า น้ำตาไหล เพราะการจากลาของ “เดอะมาร์ค” รอบนี้ ไม่ใช่ไปแล้วไปลับ แต่เป็นการล้างคราบ “ลายพราง” ใช้สถานการณ์ต่อต้าน “ลุงตู่” สลายภาพที่เคยถูกดันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหาร แอบอิงกับท็อปบูตมาตลอดจนภาพมหาบัณฑิตออกซ์ฟอร์ดเลือนราง
“อภิสิทธิ์” แค่ไปนั่งพักรักษาหน้า ข้างสนามชั่วคราว
รอจังหวะสถานการณ์พลิกให้ “ฮีโร่ประชาธิปไตย” กลับมาแบบหล่อๆในเกมเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นรอบต่อไปไม่ช้าก็เร็ว ดูคู่แข่งแล้วถ้าไม่มีใคร ประชาธิปัตย์ก็ต้องกลับไปใช้บริการ
อารมณ์คน “อีโก้” สูง “อภิสิทธิ์” นอนตาไม่หลับแน่ ถ้าไม่ได้แก้มือจากที่พาพรรคแพ้ยับเยิน
“เดอะมาร์ค” ต้องมีคิวรีเทิร์นแน่
แต่แน่นอน ณ เบื้องต้น ปรากฏการณ์ประชาธิปัตย์แตกยับ อาฟเตอร์ช็อกแผ่นดินไหวระดับ 7 แมกนิจูด ยิ่งกว่าประวัติศาสตร์กลุ่ม 10 มกรา เพราะแบ่งข้าง “หักลำ” กันเองแบบครึ่งต่อครึ่ง
แม้แต่การร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้ไปพร้อมกัน ต่างคนต่างวิ่งชิงหลัก
อาการแบบที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงมติร่วมรัฐบาล อ้างเพราะพรรคพลังประชารัฐยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด 3 ข้อที่ยื่นไป
อาศัยเหลี่ยม “ขี้ตู่” กับ “ลุงตู่” แบบเนียนๆ
ลีลาเซียนแบบที่พรรคประชาธิปัตย์ชิงตีขลุมได้ “ตามบิล” ร่วมรัฐบาล ดีลเดิมกับ “ผู้มีอำนาจ” ฟาดกระทรวงเกรดเอ พาณิชย์ เกษตรฯ การพัฒนาสังคมฯ บวก 4 รมช. แถมรองนายกฯ
บวกเกมรื้อรัฐธรรมนูญฉบับ “ยันต์กันทักษิณ”
แต่เท่าที่ได้ยิน ประชาธิปัตย์พูดเองเออเองอยู่ฝั่งเดียว
หันไปทาง “นายกฯลุงตู่” บอกปัดไม่มีจุดยืนเรื่องรื้อรัฐธรรมนูญ ส่วนการเจรจาร่วมรัฐบาลปล่อยให้พรรคการเมืองว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย ส่งมุกกับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันการเจรจาข้อตกลงร่วมรัฐบาลต้องนำไปว่ากันบนโต๊ะคณะกรรมการบริหารพรรค
เน้นเดินตามรัฐธรรมนูญหักมุม ล่มดีล “ขาใหญ่” นอกพรรค
ประชาธิปัตย์ “เชื่อง” ร่วมรัฐบาลในสภาพไร้พลังต่อรอง เพราะอำนาจตกเป็นของทีมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายถาวร เสนเนียม นายกรณ์ จาติกวณิช ที่กุมเสียง ส.ส.ส่วนใหญ่กว่า 27 เสียง และชิงแสดงเจตจำนงผ่านนายอิสสระ สมชัย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศหนุน “ลุงตู่” ก่อนพรรคลงมติ
เปิดไพ่โต้งๆออกอากาศ ไม่แอบเข้าบ้านกรมทหาร
ดังนั้น สิทธิการจองโควตารัฐมนตรีย่อมอยู่กับทีมของนายพีระพันธ์ ที่ชื่อลงล็อกกับ รมว.ยุติธรรม กับนายถาวร ที่หวนกลับถิ่นเก่าเก้าอี้ มท.2 รมช.มหาดไทย รวมถึงทีมนายกรณ์ก็ต้องล็อก 1 เก้าอี้
ตรงกันข้ามในเครื่องหมายคำถาม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ที่ประกาศยึดดีลเดิมกับ “ผู้มีอำนาจ” นอกพรรคพลังประชารัฐ พาณิชย์ เกษตรฯ การพัฒนาสังคมฯ จะไปเอาโควตาจากตรงไหน
ในเมื่อสิทธิตามกฎหมายมันอยู่ที่วงกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
ทีมดีล “ลุงตู่” ตามรัฐธรรมนูญ ไม่เสี่ยงเข้าเงี่ยงกฎหมาย ปล่อย “คนนอก” ครอบงำ โทษ “ยุบพรรค”
และตามหลักการหรูๆแบบที่นายอุตตมยืนยันต้องนำนโยบายแต่ละพรรคมาจูนกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ไม่ใช่แบ่งตามผลประโยชน์ของพรรค จ่ายบิลตามตัวเลข ส.ส.
ที่แน่ๆโดยสภาพวงแตกของประชาธิปัตย์ ย่อมส่งผลถึงเกมจับมือมัดข้าวต้มกับ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่พยายามแท็กทีมล็อกดีลเดิมกับขาใหญ่ในบ้านพักค่ายทหาร
“ฮั้วแตก” ไร้พลังต่อรอง ดีล “พี่ใหญ่” ล่ม
ตามเงื่อนไข ภูมิใจไทยก็ต้องคืนกระทรวงคมนาคม คายอ้อยจากปากช้างเหมือนกัน
เพราะจุดสำคัญมันเกี่ยวกับ “เครดิต” ผู้นำของ “นายกฯลุงตู่” ที่ประกาศไว้ชัด กลาโหม มหาดไทย คลัง คมนาคม ต้องอยู่กับพรรคแกนนำรัฐบาล และจะต้องกรองชื่อรัฐมนตรีด้วยตัวเองเป็นด่านสุดท้าย
หลักประกันความปลอดภัยจากบาดทะยักคอร์รัปชัน.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น