PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พระราชทานลายพระหัตต์กับพระราชดำรัส

จัดทำพิธีรับวันนี้ที่ทำเนียบ "วิษณุ" ปัด-ถวายสัตย์ฯรอบ2 กกต.รับรองปชช.สิ้นสภาพ

ครม.มีหนังสือเวียนเตรียมรับพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์ เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ “วิษณุ” ยืนยันไม่ใช่การถวายสัตย์ฯรอบสอง อาจารย์ มร.โยนไฟใส่เลขาฯ ครม. ต้องรับผิดชอบแทนนายกฯ รอลุ้นผู้ตรวจการฯนัดถกคำร้อง “เสรีพิศุทธ์-ศรีสุวรรณ” จะออกหัวออกก้อย “วิษณุ” ยอมรับโจทย์ยาก “ไพบูลย์” ขอยุบพรรค ปชช.วิ่งซบตัก พปชร. ให้รอ กกต.-ศาลรธน.ชี้ขาด อดีต กรธ.ซัดอยู่ดีๆก็เผาบ้านตัวเอง ตอกหน้าจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ “เทพไท” จวกยับย้อนยุค วงจรอุบาทว์ “ระบอบทักษิณ” แต่ กกต.ไฟเขียวโร่ให้ ปชช.สิ้นสภาพ “ช่อ” รีบโต้กระแสข่าวยุบ อนค. เหน็บ พท.มุ่งหน้าทำงานดีกว่า “ปิยบุตร” ลั่นเนื้องานที่ดีคือเกราะป้องกันถูกยุบ “ตู่ จตุพร” หาช่องบรรเทาชดใช้คดีเผาปี 53

ประเด็นร้อนการเมืองที่ต้องจับตา เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินนัดประชุมวันที่ 27 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาคำร้องของบุคคล และคณะบุคคลที่ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ครม.เตรียมรับพระราชดำรัส

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ได้มีหนังสือเวียนไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในหนังสือแจ้งลำดับพิธีพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์ ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน วันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ที่ห้องรับรองชั้น 5 โดยมีลำดับพิธีฯ ดังนี้ เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพร้อม เวลา 08.45 น. เรียนเชิญคณะรัฐมนตรีเข้าประจำจุดยืน ณ ห้องรับรองชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงห้องรับรองชั้น 5 เรียนเชิญนายกฯเข้าประจำจุดยืนหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว จากนั้นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าวรายงาน นายกฯเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ ครม.เชิญพระราชดำรัสวางบนพานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นนายกฯ เข้ารับพระราชดำรัสและกลับมายืน ณ จุดเดิม ครม.เข้ารับพระราชดำรัสตามลำดับ และถวายความเคารพพร้อมกัน ก่อนจะเสร็จพิธี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหนังสือดังกล่าวได้แจ้งถึงการแต่งกายของนายกฯ และ ครม. โดยให้ใส่เสื้อผ้าไทยแขนยาว ประดับเข็มที่ระลึก “ม.ว.ก.” พระราชทานในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 และประดับเข็มตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 ทั้งนี้ หลังจากได้ส่งหนังสือแจ้งคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงลำดับพิธีฯ ปรากฏว่าในช่วงเย็นทางรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นไปตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่ที่จะใช้ในพิธีในห้องรับรองชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1


“บิ๊กตู่” ปิดปากสนิทไม่ตอบสื่อ

เมื่อเวลา 14.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติกรณีการกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ พร้อมเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที ไม่หันมามองสื่อมวลชน

“วิษณุ” ตีมึนยังไม่เห็นตัวญัตติ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ญัตติที่พรรคฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ปกติกระทู้หรือญัตติจะมีเจ้าหน้าที่ประสานมาเพื่อเสนอ ครม. แต่ขณะนี้ยังไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะเตรียมการอย่างไร ขอดูกระทู้หรือญัตติก่อน คงต้องพูดคุยกันในวันพรุ่งนี้ เมื่อถามว่า หากพูดคุยกันแล้วจะมีความเห็นเลยหรือไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชี้แจงในประเด็นนี้ นายวิษณุตอบว่า ควรต้องเป็นเช่นนั้น จะได้มีการกำหนดเวลาให้วิปรัฐบาลด้วย กรณีนี้หมายถึงถ้าเสนอเป็นญัตติ แต่หากเป็นกระทู้ก็ต้องแจ้งมาด้วยว่าถามใคร จะให้ใครเป็นผู้ตอบ เพราะอาจมีการมอบหมายกันก็ได้ ส่วนนายกฯจะเป็นผู้ตอบเองหรือไม่นั้น ขอให้เห็นรายละเอียดก่อน ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาถามอย่างไร


ปัดถวายสัตย์ปฏิญาณรอบสอง

ช่วงค่ำ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณี ครม.เตรียมรับพระราชดำรัส ว่า เป็นการรับพระราชทานพระราชดำรัสเป็นอันเดิมของวันที่ 16 ก.ค. แต่เป็นฉบับที่ส่งมาอย่างเป็นทางการ เพิ่งพระราชทานมา ส่วนลายพระราชหัตถ์ เวลามอบ ครม.จะเอาออก แต่ตัวจริงมี เมื่อถามว่าจะมีผลต่อสภาฯหรือไม่ นายวิษณุกล่าวตัดบทสั้นๆว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ เมื่อถามย้ำว่ามีการเข้าใจว่าเป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณรอบใหม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ใช่

อาจารย์ มร.โยนไฟใส่เลขา ครม.

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายวิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมกลุ่มนักวิชาการ นักกฎหมาย รวม 6 ราย ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรณีทำให้เกิดความผิดพลาดในการถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายวิวัฒน์ชัยกล่าวว่า เท่าที่ติดตามการถวายสัตย์ฯของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะดูที่เจตนา ทราบกันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความจงรักภักดี สิ่งนี้จึงเป็นความผิดเล็กน้อย ไม่ใหญ่โตและน่าจะให้อภัยกันได้ ไม่ใช่ความผิดนายกฯ แต่เป็นความผิดของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ผ่านมาได้จัดพิธีในลักษณะนี้มาเป็นสิบครั้ง ครั้งนี้อาจเผลอเรอหลงลืม หากพบว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีผิด ต้องลงโทษทางวินัยตามระเบียบ เพื่อพิสูจน์ว่านายกฯไม่ผิด ไม่ใช่ปล่อยให้นายกฯต้องมารับผิดชอบปัญหานี้

ด้านนายกมลธรรม วาสบุญมา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินในวันที่ 27 ส.ค. ที่จะพิจารณาเรื่องถวายสัตย์ฯไม่ครบ อยู่แล้ว โดยที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีการประชุมพิจารณาในเวลา 09.30 น. และจะแถลงผลการประชุมในเวลา 11.00 น.

ผู้ตรวจการฯถก “บิ๊กตู่” ถวายสัตย์ฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27 ส.ค. ผู้ตรวจการ แผ่นดินจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายอัยย์ เพชรทอง เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ และนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอให้พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง วินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ส.ส.บัญชี

รายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยื่นคำร้อง

ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและมีความเห็นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. มีการรวบรัดขั้นตอน เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคสองหรือไม่ โดยจะมีการประชุมในเวลา 09.30 น. และจะแถลงผลการประชุมในเวลา 11.30 น.

ศาล รธน.นัดชี้ชะตา รมต.ถือหุ้น

นอกจากนี้ ในเวลา 14.00 น. วันที่ 27 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคำร้องที่ กกต. ขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม และนายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ในขณะนั้น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็น ส.ว. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ เนื่องจากถือครองหุ้นสัมปทานรัฐ

“วิษณุ” มึน “ไพบูลย์” ขอยุบพรรค

วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอยุบพรรคตัวเองเพื่อย้ายไปร่วมพรรคพลังประชารัฐ ว่า ยังงงกับเรื่องนี้อยู่ ต้องให้ กกต.เป็นผู้พิจารณา รัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องนี้ไว้ 3 กรณี คือ 1. ส.ส.ลาออก ทำให้ขาดการเป็นสมาชิกพรรค 2.พรรคขับออกจากการเป็นสมาชิกต้องไปหาพรรคใหม่ภายในเวลาที่กำหนด และ 3.มีคำสั่งยุบพรรค ต้องไปหาพรรคใหม่ภายใน 60 วัน แต่กรณีของนายไพบูลย์ไม่เกี่ยวกับ 3 ข้อที่ยกมา จึงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร โดยหลักแล้วเมื่อพรรคถูกยุบ จะอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ส.ส.ทุกคนต้องมีพรรคสังกัด ส.ส.ที่ไม่ได้กระทำความผิดจะต้องดำเนินการอย่างไร เพราะบางครั้ง ส.ส. กระทำความผิดแล้วถูกพรรคไล่ออก ก็ยังไม่ขาดจากการเป็น ส.ส. แต่กรณีนี้นายไพบูลย์ยื่นยุบพรรคเอง ก็ต้องคุ้มครองคนที่ไม่ได้กระทำความผิดด้วย เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องพิจารณา และที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาอยู่ดี

ให้รอ กกต.-ศาล รธน.วินิจฉัย

เมื่อถามว่า ไม่ว่า กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร จะถือเป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคตใช่หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า แน่นอน เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคเล็กอื่นอาจเอาอย่างนายไพบูลย์ นายวิษณุตอบว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 99 ระบุห้ามควบรวมพรรค หมายถึงการยุบพรรคหนึ่งไปรวมกับอีกพรรคหนึ่ง แต่กรณีของนายไพบูลย์ระบุว่าไม่ได้ควบรวม แต่ยุบทิ้งให้หายไปเฉยๆ เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยวิเคราะห์หากนายไพบูลย์ยุบพรรคได้ คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะถูกเฉลี่ยนับใหม่ให้พรรคอื่น หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 คนหายไปทันที นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบตอบไม่ถูก ถือเป็นโจทย์ยาก เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบ คนที่จะไขโจทย์นี้คือ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ พรรคพลังประชารัฐไม่เคยหารือกับตน

กรธ.ซัดอยู่ดีๆเผาบ้านตัวเอง

นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส.ย้ายพรรคได้ต่อเมื่อถูกขับออกจากพรรค เนื่องจากมีจุดยืนไม่เหมือนกับพรรค โดย ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคลงมติโดยใช้เสียง 2 ใน 3 ขับออกจากพรรค จากนั้นต้องไปหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ถ้าหาพรรคใหม่สังกัดไม่ได้ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส. รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แค่นี้ “กรณีของนายไพบูลย์ อยู่ๆจะมายุบตัวเองแล้วเป็น ส.ส.ต่อ ไม่น่าจะใช่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค แต่อยู่ดีๆมีบ้านอยู่แล้วมาเผาบ้านตัวเอง แล้วคุณจะกลายเป็นอะไร มันไม่ใช่ หากนายไพบูลย์จะยุบพรรค ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อขอมติยุบพรรค แต่อยู่ๆจะมาทำตามอำเภอใจไม่ได้ หากกรรมการบริหารพรรคมีมติยุบพรรคจริง นายไพบูลย์ต้องไปหาพรรคอื่นสังกัดตามกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ”

“เทพไท” จวกยับย้อนยุค “ทักษิณ”

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจมากเพราะพรรคประชาชนปฏิรูปเพิ่งจัดตั้งใหม่ไม่กี่เดือน หากนายไพบูลย์อยากไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐก็น่าจะไปตั้งแต่ต้น ไม่ควรมาตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปด้วยซ้ำ กรณีนี้ในทางพฤตินัยคือการยุบรวมกับพรรคการเมืองอื่น ถือว่าขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 99 ที่มีเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้มีการควบรวมพรรคการเมือง ในอดีตเคยมีการใช้วิธีควบรวมหรือเทกโอเวอร์เหมือนกับการทำธุรกิจ ของพรรค เพื่อไทย กับพรรคความหวังใหม่ และพรรคเสรีธรรม เพื่อให้ได้เสียงเกินครึ่งของสภาฯ จัดตั้งรัฐบาลได้เบ็ดเสร็จ หลีกเลี่ยงการตรวจสอบของฝ่ายค้าน จนเกิดปรากฏการณ์เผด็จการรัฐสภาเสียงมากลากไป หากกรณีของนายไพบูลย์สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จะก่อให้เกิดลัทธิเอาอย่าง อาจทำให้อีกหลายพรรคใช้วิธีการดังกล่าวด้วย ถือว่าถอยหลังเข้าคลองเป็นวงจรอุบาทว์ ไม่ต่างอะไรกับการเมืองยุคระบอบทักษิณในอดีต จึงอยากขอความชัดเจนจาก กกต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รีบวินิจฉัย จะได้เป็นบรรทัดฐานทางการเมืองต่อไป

กกต.ไฟเขียว ปชช.สิ้นสภาพ

ต่อมาช่วงเย็น สำนักงาน กกต.ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงหลังการประชุม กกต. ระบุว่า ตามที่หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) มีหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคประชาชนปฏิรูปขอเลิกพรรคการเมือง ตามข้อบังคับพรรคประชาชน–ปฏิรูป ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นว่ามีกรณีที่เป็นเหตุให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 91 (7) จึงเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณา เมื่อ กกต.ได้พิจารณากรณีดังกล่าวแล้ว เห็นว่าพรรคประชาชนปฏิรูปมีเหตุสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองตามความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง จึงเห็นควรประกาศการสิ้นสภาพของพรรคประชาชนปฏิรูปในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

อนค.รีบโต้กระแสข่าวยุบพรรค

ที่พรรคอนาคตใหม่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวกรณีมีกระแสข่าวพรรคอนาคตใหม่อาจถูกยุบ ว่า แม้เราจะชินแล้วกับกระแสข่าวนี้เพราะมีมาต่อเนื่อง ทุกคดีที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่ไม่มีคดีไหนที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ หรือมีมูลฐานทางกฎหมายเพียงพอจะเอาผิดแกนนำพรรค หรือพรรคได้เลย แต่นั่นเป็นเพียงมูลเหตุทางกฎหมาย แต่ถ้ามีการใช้กระบวนการนอกเหนือจากพื้นฐานทางกฎหมาย ก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ขณะนี้มีคดีเดียวที่เข้าข่ายมากที่สุดคือคดีอิลลูมินาติ เรายังคงยืนยันว่าไม่เคยมีการกระทำใดของพรรคเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่ายจริง ก็ไม่มีอำนาจสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ สามารถสั่งให้เพียงหยุดพฤติกรรมที่เข้าข่ายเท่านั้น ฉะนั้นประเด็นการยุบพรรคจึงเป็นเพียงการลือไปโดยไม่ได้ดูพื้นฐานทางกฎหมาย

สวน พท.มุ่งหน้าทำงานดีกว่า

น.ส.พรรณิการ์กล่าวอีกว่า ที่มีการนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายไพบูลย์นั้น กรณีของนายไพบูลย์เป็นการยุบพรรคตัวเอง แต่ของพรรคอนาคตใหม่หากจะมีก็เป็นการสั่งยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายระบุไว้อยู่แล้วว่ามีเวลา 60 วัน ให้ ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อหาพรรคใหม่สังกัด หากเกินระยะเวลาดังกล่าวถือว่าสิ้นสภาพความ เป็น ส.ส. ขอย้ำตรงนี้ต่อพี่น้องประชาชน และสื่อมวลชน ไม่ต้องมีใครมาตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ นี่คือความรับผิดชอบที่พรรคอนาคตใหม่โดยกรรมการบริหารพรรค ต้องจัดการให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อของเรามีพรรคสังกัด โดยไม่สูญเสียสถานะ แทนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นห่วงว่าเพื่อนบ้านหรือตัวเองจะถูกปล้น ตอนนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านมีงานเต็มมือ ควรช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆของ ครม. และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนดีกว่า

ลั่นเนื้องานคือเกราะป้องกัน

ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า มี ส.ส.จากพรรคอื่นมาพูดกับ ส.ส.ของพรรคเราว่าถูกยุบแน่ พรรคเพื่อไทยก็วิเคราะห์ว่าหากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ จะถูกวิธีพิสดารตัด ส.ส.บัญชีรายชื่อออก ตอนนี้พรรคอนาคตใหม่มีคดีอิลลูมินาติเพียงคดีเดียวที่ถูกร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และไม่มีบท บัญญัติให้ยุบพรรคด้วย แต่ยังเชื่อมั่นว่าพรรคอนาคต–ใหม่จะไม่ถูกยุบ ตนพูดเสมอว่าในทางกฎหมายสู้เต็มที่ แต่ปากกาไม่ได้อยู่ที่เรา เราไม่ใช่คนตัดสิน วิธีป้องกันการยุบพรรคที่ดีที่สุดคือการทำงานอย่างสร้างสรรค์ทุกวัน เพื่อให้สังคมเห็นว่าต้องมีพรรคแบบนี้ แม้คนที่ไม่ชอบเราก็ยังอยากให้มีพรรคนี้ต่อไป

นายกฯมอบรางวัลผู้ส่งออกดีเด่น

ช่วงบ่ายที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2562 Prime Minister’s Export Award (PM Export Award 2019) ว่า ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจ หวังว่าทุกท่านจะรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจ และภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ สมกับที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ที่เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพการประกอบธุรกิจของทุกท่าน วันนี้เราเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยืนยันว่าทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ให้ได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ ขณะนี้ประเทศไทยเจอปัญหาหลายอย่าง มีหลายคนพูดให้เกิดความสับสนอลหม่าน รัฐบาลทราบดีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะแก้ไขได้อย่างไร “How to do” ดีใจที่ได้เจอกับผู้ประกอบการ ได้สอบถามว่ายังมีกำไรอยู่หรือไม่ และได้รับคำตอบว่ายังมีกำไร ขณะที่การส่งออกก็ดีขึ้น

“บิ๊กตู่” บ่นอุบพวกพูดไม่รู้ฟัง

จากนั้นเวลา 16.30 น. ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวปิดงาน SD Symposium 10 Years “Circular Economy : Collaboration for Action” ว่า ยืนยันวันนี้รัฐบาลมีเสถียรภาพเต็มที่ ขอให้เชื่อมั่น เราต้องทำงานเป็นทีม ที่บอกว่าตนไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจแล้วไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจไม่ได้นั้น อยากบอกว่าเรามีคนที่รู้เรื่องนั่งอยู่เต็มห้อง ถามข้อมูลแล้วนำมาสรุปเป็นมติ เป็นคนรับฟังคนแต่ไม่ฟังเรื่องไร้สาระ พูดแต่เรื่องเดิม ไม่มีรัฐบาลไหนเนรมิตได้โดยเร็วแบบที่ต้องการทั้งหมด วันนี้พยายามทำทุกอย่างให้ทุกคนเชื่อมั่น ให้คนไว้ใจอยากย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย เขาบอกประเทศไทยมีดีอยู่ 3 อย่าง คือ ธรรมชาติสวยงาม อาหารอร่อยราคาถูก และมีรอยยิ้ม ยิ้มสยามยิ้มเข้าไว้ “ผมก็ยิ้มเยอะขึ้น เขาบอกผมยิ้มแล้ว น่ารักขึ้นมาหน่อย ดีกว่าทำหน้าดุดัน”

ยิ้มกริ่มให้สื่ออดใจเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวติดตลกว่า “วันนี้ผมกำลังซ้อมในสภาอยู่ ว่าจะเข้าไปซักทีคิดถึงผมกันเหลือเกิน” เมื่อถามถึงกำหนดการนำ ครม.รับพระราชทานพระราชดำรัส และลายพระราชหัตถ์ พล.อ.ประยุทธ์ตอบเพียงสั้นๆอารมณ์ดีว่า “เป็นเรื่องของ ครม. เป็นไปตามกำหนดการ ให้รอวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวพูดวันนี้จะไม่ตื่นเต้น”

“พิชัย” ท้าเหยงออกทีวีดวลกึ๋น

ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และสถานการณ์ในฮ่องกง อาจเป็นจุดเริ่มต้นความถดถอยของเศรษฐกิจโลก ซึ่ง Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงว่าโลกอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อม และหาบุคลากรที่รู้เรื่องเศรษฐกิจจริงเข้ามาบริหาร พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันตลอดว่ารู้เรื่องเศรษฐกิจดี หากมั่นใจว่ารู้เรื่องเศรษฐกิจดี ตนจะขอสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ออกอากาศช่องไหนก็ได้ และจะส่งคำถามให้ก่อนด้วยเพื่อเตรียมตัว อยากถามว่า 5 ปีที่ผ่านมาทำไมการลงทุนไทยถึงหดหาย เศรษฐกิจขยายตัวเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้น ทั้งๆที่เศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย หากเกิดเศรษฐกิจโลกถดถอยจริง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งย่ำแย่ขนาดไหน ไม่อยากจะนึกเลย

ฉะ “อุตตม” โม้เกินจริงปั้นตัวเลข

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ที่ยิ่งน่ากังวลคือ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง คนที่คิดว่าน่าจะพอรู้เรื่องเศรษฐกิจบ้าง กลับกล้าโม้ว่ามาตรการกระตุ้นของรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายได้ถึงร้อยละ 3.5 ยืนยันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะครึ่งปีแรกขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.6% ถ้าจะขยายให้ถึง 3.5% ครึ่งปีหลังต้องขยายถึงร้อยละ 4.4 ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถ้านายอุตตมมั่นใจว่าทำได้อย่างที่พูด ก็ควรรับผิดชอบด้วยตำแหน่ง ถ้ายอมเดิมพันด้วยตำแหน่งประเทศไทยได้เปลี่ยน รมว.คลัง ปลายปีนี้แน่นอน แต่หากทำได้จริงจะไม่วิจารณ์นายอุตตมอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือคดีแบงก์กรุงไทย คนที่ฉลาดและรู้เศรษฐกิจบ้างจะพูดน้อย หรือไม่พูดเลย อย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หลังโยนเศรษฐกิจแย่ๆให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรับไปแล้วก็เก็บตัวเงียบ พูดน้อยมาก อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูนายสมคิดเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่รู้จริงไม่ควรพูด ทำเสียหน้าเปล่าๆ

พท.ซัด พปชร.เบี้ยวแก้ รธน.

อีกเรื่อง นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ระบุไม่มีแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า การที่ฝ่ายค้านเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเชิญพรรคร่วมรัฐบาลมามีส่วนร่วม เพราะในนโยบายของรัฐบาลข้อ 12 ระบุว่าจะศึกษาแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญเพราะได้ประโยชน์ ก่อนหน้านี้คนในพรรคพลังประชารัฐพูดมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทยกำลังให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมและตรวจสอบ หากพบว่านโยบายใดแถลงแล้วไม่ดำเนินการ จะยื่นเรื่องให้ กกต.พิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อ กฎหมายหรือไม่ เช่น นโยบายขึ้นค่าแรง การลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นโยบายมารดาประชารัฐ ประชาชนจะได้เห็นจุดยืนว่าพรรคใดพูดแล้วทำ พรรคใดเพียงสัญญาปากเปล่า

นายกฯต้อนรับไอป้าย้ำไม่ทิ้งกัน

เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมแชงกรีลา มีการประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน (ไอป้า) ครั้งที่ 40 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวต้อนรับคณะผู้แทนรัฐสภาอาเซียนในฐานะประธานอาเซียนว่า กว่า 40 ปี ไอป้าช่วยเติมเต็มการทำงานฝ่ายบริหารผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เสาหลักที่ 3 คือ เสาแห่งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนส่งต่อนโยบายถึงประชาชน ปัจจุบันอาเซียนต้องเผชิญความท้าทายกับปัญหา ทั้งการค้ามนุษย์ อาชญากรรม สิ่งแวดล้อม ไอป้าได้ร่วมมือผลักดันอาเซียนให้ปลอดยาเสพติดมาตลอด รวมถึงสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน ไทยในฐานะประธานอาเซียนจะมุ่งมั่นแก้ไขทุกปัญหา มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผลักกฎหมายให้เป็นสากล พร้อมส่งเสริมขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างความก้าวหน้าในทุกมิติ

“ชวน” ปลุกอาเซียนยึดนิติธรรม

นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานไอป้า กล่าวเปิดประชุมว่า ที่ผ่านมา 42 ปี ไอป้าเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือในหมู่สมาชิก การยืนอยู่ใต้ธงผืนเดียวกัน คือบทพิสูจน์ให้เห็นว่าเราแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ต้องระวังการเกิดขึ้นของลัทธิหัวรุนแรง ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ สภาวะเสื่อมโทรมจากการคอร์รัปชัน โดยมี 4 บทเรียนที่ต้องระวัง คือ 1.การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด 2.การทำงานร่วมกัน 3.การให้ความสำคัญกับประชาชนก่อนสิ่งอื่นใด และ 4.การเคารพหลักนิติธรรมรักษาระเบียบสังคมผ่านกฎหมายเพื่อดูแลประชาชน หากขาดการถ่วงดุลอำนาจ มีสินบนและฉ้อราษฎร์บังหลวงจะกัดกร่อนสังคม และประชาคมที่ไม่รักษาหลักนิติธรรม จะไม่สามารถมีความเท่าเทียมกันได้อย่างแท้จริง

“ตู่” หาช่องร้องคดีปลุกม็อบเผาปี 53

อีกเรื่อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาตัดสินให้ชดใช้ค่าเสียหายคดีวางเพลิงเผาทรัพย์ระหว่างการชุมนุมปี 2553 ประมาณ 19.3 ล้านบาทร่วมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.ว่า พร้อมยอมรับคำตัดสินของศาล หลังจากนี้จะหารือกับศาล และโจทก์ในคดี ดำเนินการชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงจะหาช่องทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากข้อเท็จจริงตนเป็นจำเลยที่ 6 พยานทั้งของโจทก์และจำเลยพูดตรงกันว่า ไม่ได้มีส่วนปลุกเร้าให้ประชาชนก่อเหตุ เพียงแต่บอกให้ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัด เช่นเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ตกเป็นจำเลยที่ 11 และที่ตนต้องชดใช้ค่าเสียหายเพราะเป็นประธาน นปช. แต่ข้อเท็จจริงช่วงเกิดเหตุไม่ได้เป็นตนมาเป็นประธาน นปช.ในปี 2557 หลังจากเหตุการณ์ถึง 4 ปี

“วิญญัติ” จวก “ราเมศ” พล่ามนอกคดี

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า ฝากถึงนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้รับมอบให้ไปฟังคำพิพากษาคดี หากจะมาพูดโดยถือเอาบางส่วนบางตอนในคำพิพากษา ถือว่าเป็นคำพูดของคนนอกคดี เพราะลำพังเพียงถือผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยข้อเท็จจริง อันเป็นที่มาของเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยที่แตกต่างกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์นั้นมองว่ายังเป็นปัญหามาก การจะมาชี้วัดความจริงที่เกิดขึ้นจริงได้เพียงใด เจ้าของอาคารและผู้เช่าอาคารรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น การเผาทรัพย์หลายแห่งเป็นผลมาจากคำสั่งใคร ตนน้อมรับเคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถยึดเป็นข้อยุติสรุปเหตุการณ์ได้หรือไม่ ตนและหลายคนมีข้อโต้แย้งหลายประเด็น ทั้งจากข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ทั้ง 4 หากเข้าใจเอาว่าการเผาทรัพย์หลังยุติการชุมนุมเกิดจากผู้ชุมนุม นปช. จับใครได้ไหม ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมของเจ้าหน้าที่เป็นกองทัพ คนในประเทศรับรู้ว่ามีประชาชนตายร่วมร้อยบาดเจ็บนับพัน คนจะทำไม่รู้ไม่ชี้ ทหารนับหมื่น มีการออกคำสั่งใช้อำนาจพิเศษให้มาควบคุมพื้นที่ใช้กระสุนจริงนั้นความจริงเช่นนี้ไม่มีความหมาย หรือว่านายราเมศแกล้งลืม


“สมชัย” แนะ “ศิริโชค” ฟ้อง กกต.

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. กล่าวถึงกรณีนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ กกต.ตอบ 3 ข้อสงสัย กรณีวินิจฉัยยกคำร้องผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยเขต 7 สงขลา พ้นผิดกรณีจัดเลี้ยงเปิดศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งว่า ที่น่าคิดคือ 1.กกต.นับการทำผิดเริ่มจากวันสมัคร แทนที่จะเริ่มนับจากวันที่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งถือเป็นการวินิจฉัยที่แตกต่างไปจากในอดีต ที่เริ่มนับหนึ่งการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ตั้งแต่วันที่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง 2.กรณีจัดเลี้ยงระหว่างการเปิดศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งขณะที่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ จะทำได้เฉพาะทีมงานเท่านั้น ส่วนที่อ้างว่า 20 คนที่ร่วมพิธีเป็นญาติอาจรับฟังได้กรณีกินเลี้ยงที่บ้านแต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นญาติจริง และ 3.กรณีที่ระบุไม่ผิดเพราะไม่มีการพูดจูงใจให้ผู้ร่วมพิธีเลือกผู้ที่ถูกร้องนั้น ตามกฎหมายระบุห้ามการจัดเลี้ยง แม้จะไม่พูดจูงใจถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย กกต.ควรชี้แจงนายศิริโชคให้ชัดเจน ทั้งนี้ ตนไม่กังวลว่าจะเป็นบรรทัดฐานของ กกต. เพราะที่ผ่านมา กกต.ไม่มีบรรทัดฐานใดๆขึ้นอยู่กับดุลพินิจแต่ละกรณี หากมีใครคิดว่าได้รับความเสียหายหรือไม่เป็นธรรมจาก กกต.ต้องไปใช้สิทธิทางกฎหมายดำเนินคดีกับ กกต.ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ


“บิ๊กป้อม” จี้ดีอีเร่งปราบเฟกนิวส์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการมอบนโยบายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ว่า ได้เร่งรัดให้กระทรวงดีอีแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake News) หรือเฟกนิวส์ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 2 เดือน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยงาน และประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งกระทรวงดีอีจะตั้งศูนย์ปราบข่าวปลอม เพื่อบริหารจัดการข่าวปลอม สร้างการรับรู้ กระจายข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงให้ประชาชน “เรื่องข่าวปลอมเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ผมเจอมากับตัวเองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นต้องเร่งแก้ไขปัญหาข่าวปลอม และแจ้งเตือนประชาชนได้ทันทีว่าข่าวนี้ข่าวปลอม ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม เพราะข่าวปลอมบางข่าวทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน”


นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอี กล่าวว่า คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น และเร็วๆนี้จะดำเนินการเอาคนที่สร้างข่าวปลอมมาลงโทษตามกฎหมาย มิให้เป็นตัวอย่างกับบุคคลอื่นอีกต่อไป ยืนยันว่าการตั้งศูนย์ปราบเฟกนิวส์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องซิงเกิลเกตเวย์ และไม่มีนโยบายจะทำ


ไม่มีความคิดเห็น: