PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ศาลยกฟ้อง"โอ๊ค"คดีฟอกเงินกรุงไทย

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร 
พ้นผิดคดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย 
ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาเวลา 10.00 น. วันที่ 25 พ.ย.นี้ เป็นคดีที่
คณะกรรมการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และ
สมคบการฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9 และ 60
และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับที่ 5 พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎ
หมายอาญามาตรา 83 และ 91

  • คดีนี้พนักงานอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 กรณีนายพานทองแท้รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 
  • ล้านบาทเข้าบัญชี โดยเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยเงินกู้สินเชื่อระหว่างธนา
  • คารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร 
  • กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี บุตรชาย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทยตกเป็นจำเลย 
  • คดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
  • แล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชาย คนละ 12 ปี นอกจากนี้นายวิชัย นายรัชฎา และกลุ่มอดีต
  • กรรมการบริษัทเอกชนในเครือกฤษดารวม 6 คน ยังถูกอัยการยื่นฟ้องความผิดฐานฟอกเงินการปล่อยกู้
  • ดังกล่าวต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบด้วย
ชั้นพิจารณาศาลอาญาคดีทุจริตฯ “นายพานทองแท้” จำเลยก็ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตาม
ฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์กับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย
อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ขณะที่ “นายพานทองแท้” ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี 1
ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าผู้กระทำ
ความผิดรับโอนเงินตามพระราชบัญญัติการฟอกเงินนั้นบุคคลนั้นต้องรู้ว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำ
ความผิด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีเพียงว่านายวิชัย คือ ผู้ถือหุ้นของกลุ่มกฤษดามหานคร และ
นายรัชฎา บุตรชายมีความสนิทกับครอบครัวของจำเลยซึ่งขณะนั้น นายทักษิณ ชินวัตร บิดาของจำเลย
เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงเพื่อนสนิทที่มีการใช้ชีวิตทำกิจกรรมคล้ายกัน




การรับเช็คจากนายวิชัยมาเป็นเพียงเพื่อการลงทุนนำเข้ารถยนต์หรู โดยระหว่างที่นายพานทองแทได้รับ
โอนเงินมานั้นมีการเบิกถอนเงินคราวละ 5,000 - 20,000 บาทรวม 11 ครั้งไม่ได้เป็นพิรุธผิดสังเกตแต่อย่าง
ใดบัญชีดังกล่าว เป็นลักษณะเปิดเผยไม่มีลักษณะเป็นการอำพรางแหล่งที่มา สามารถตรวจสอบได้ตลอด
เวลา

ขนาดจำเลยรับโอนเงินมีอายุ 26 ปี จบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมีทรัพย์สิน
มากกว่า 400 ล้านบาท เงินจำนวน 10 ล้านบาทที่ได้รับมาหากเทียบแล้วคิดเป็นเงินเพียง 0.025% เท่านั้น
พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง แต่ผู้พิพากษาของคณะมีความ
เห็นแย้งจึงได้ทำความเห็นแย้งประกอบไว้ในคำพิพากษานี้




ภายหลังนายพานทองแท้ กล่าวว่า "ขอบคุณทุกกำลังใจ" ส่วนคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า "ก็รู้สึกสบาย
ใจขึ้น"
อย่างไรก็ตามฝ่ายโจทก์สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายในหนึ่งเดือนนับจากวันอ่านคำพิพากษานี้.

ที่มา : ไทยรัฐ
https://www.thairath.co.th/news/politic/1711418?fbclid=IwAR3Mapefi0OvSCX0ZcaSKcNIZkTHPnaIUfqLMXmbRXSOBh2smX1TtPaVJ1k

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

มอง แก่นแท้ มหาอำนาจ “จีน” ทะลุ ไปถึง “สหรัฐฯ”

มอง แก่นแท้ มหาอำนาจ “จีน”
ทะลุ ไปถึง “สหรัฐฯ”
สะท้อน สภาพ ไทยแลนด์
ชี้ จีน เพื่อ จีน
ก็อป แต่ กั๊ก เทคโนโลยีของตนเอง
ผู้นำ จีน ล้วน ฉลาด เก่งสุดๆ
ยก จีน เป็น”ตำรา” ที่ดี ของไทย
ต้องศึกษา และต้องคิด ให้ เท่าทัน จีน

“นายพลทัพฟ้า เสืออากาศ 24/7” เขียนบทความ สะท้อนมุมมอง ที่มีต่อจีน สหรัฐฯ แล้ว หันมาย้อนดูตัว สยามประเทศ

จีน ไม่ต่างจากมหาอำนาจอื่นๆ

จีน ไม่ต่างจากประเทศตะวันตกอื่นๆผู้ครอบครองเทคโนโลยีชั้นสูง ที่สงวนสิทธิ์ปกปิดเทคโนโลยีชั้นสูงไว้เป็นความลับ “สุดยอด”

จีน หิวกระหายทรัพยากรธรรมชาติเป็นที่สุด

จีนกระเหี้ยนกระหือแสวงหาจากแหล่งต่างๆที่กระจายตัวอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก

วาทะกรรมจีน
- “สันติภาพ”
- “เสมอภาค”
- “เคารพในความเท่าเทียม”

จริงหรือ ???

หรือว่ามันเป็นเพียง “วาทะกรรม” ที่แสดงออกมาให้ดูดีเท่านั้น

ขนาดของจีน

-ประชากร 1,400 ล้านคน
-ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่มหาศาลครอบคลุมทั่วโลก=เชื่อมช่องทางเข้า-ออกได้ทุกทิศทางอย่างไร้ข้อจำกัด (บริเวณส่วนใดเป็นอุปสรรคแล้วจีนก็จะใช้ “พลังอันมหาศาล” เข้าแทรกแซง(ทางเศรษฐกิจ)ในรูปแบบของ “การให้ความช่วยเหลือ”
จีนพร้อมที่จะกระทำตนเสมือนเป็น “พี่เอื้อย” (เฉกเช่นกับที่สหรัฐฯเคยกระทำสำเร็จมาแล้วภายหลังยุคสงครามโลกครั้งที่2)

จีน ....ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้จึงลงมือกระทำการบุกทะลุทะลวงประเทศที่เป็นอุปสรรคทางด้านทางออก(พม่า-ลาว-(รวมถึงไทย)

-ยุโรปตะวันออก-เอเชียตะวันตก/ใต้)

ทว่าความสำเร็จในวิธีการนี้ของจีนนั้นจะมีความยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าความสำเร็จของสหรัฐฯ เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา อย่างแน่นอน อันเนื่องจากว่าพลัง/มวลของจีนที่เหนือกว่ามากนั่นเอง

มวลของประเทศจีน โดยหลักวิทยาศาสตรทางธรรมชาติ “มวลที่มากกว่า ย่อมดึงดูด มวลที่น้อยกว่า เข้าไปเป็นบริวาร” ไม่มีทางปฏิเสธข้อเท็จจริงทางธรรมชาติที่เป็นสัจธรรมข้อนี้ได้

ไม่ว่าจีนจะยืนยัน “วาทะกรรม” ของตน ที่ยืนยันในประเด็น “สันติภาพ-เสมอภาค-เคารพในความเท่าเทียม-“ อยู่ในทุกเวทีก็ตาม

ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว มันเป็นจริงไปตามนั้นไม่ได้เลย มันไม่มีสันติภาพ มันไม่มีความเสมอภาค มันมิได้เคารพ บนความเท่าเทียม อย่างที่จีนได้สร้างวาทะกรรมมาโดยตลอด

อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของจีนโดยธรรมชาติจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

เส้นทางสายไหม
-เส้นทางสายไหมคือเส้นทางลำเลียงทรัพยากรธรรมชาติจากทุกแหล่งทั่วโลกเข้าสู่จีน
-เส้นทางสายไหมคือ เส้นทางลำเลียงผลผลิตทางปัญญาที่เกิดมาจากมันสมอง-ทักษะของคนจีน ที่ถูกนำส่งไปขายในต่างประเทศ สร้างความร่ำรวยให้กับประเทศจีนอย่างมิอาจหยุดยั้งได้
ระบบราง = หัวจักร ตู้ขบวน ราง ระบบควบคุม ... อะไหล่ โรงงานผลิต... ในเครือข่ายเส้นทางสายไหมนั้น มิได้รับการถ่ายทอดจากจีนมากนัก

ทุกประเทศที่รถไฟจีน ตัดผ่านล้วนต้องพึ่งพาจีนอย่างเต็มตัวทั้งสิ้น และน่าจะเป็นการพึ่งพาในระยะยาวที่ยากจะถอนตัวขึ้น นั่นคือการตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของจีนอย่างถาวรนท้ายที่สุดนั่นเอง

การพูดจาของจีนในเวทีทางการทูต

-กระแนะกระแหนสหรัฐฯตลอดเวลา (สหรัฐฯก็เช่นเดียวกันกระแนะกระแหนจีนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน)
ลักษณะนี้นั้น ทั้ง2ชาตินี้ จึงไม่น่าคบอย่างยิ่ง เข้าตำราที่ว่า “ช้างสารชนกัน-หญ้าแพรกแหลกลาญ”
ไทยต้องตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างที่สุด

-ย้ำพูดย้ำเตือน “วาทะกรรม” : “สันติภาพ-เสมอภาค-เคารพในความเท่าเทียม-...” เสมือนว่าฟอกตัวเองให้ดูดี-ให้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา

-ย้ำคิดย้ำพูด “ความสัมพันธ์-ความร่วมมือ-...” เสมือนว่าต้องการเปิดโอกาสให้คู่เจรจาเข้าไปเป็นหุ้นส่วนโดยเร็ว มิให้เป็นการเสียโอกาส

แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ อันเนื่องจากว่าศักย์ กับต้นทุนของประเทศคู่เจรจาแต่ละประเทศของจีนเฉกเช่นประเทศไทยนั้นล้วนมีศักย์ต่ำ/มีต้นทุนต่ำและน้อยกว่าจีนเป็นอย่างมากจนเทียบกันไม่ได้

ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ประเทศคู่เจรจาของจีนนี้จะถูกจีนกลืนเพียงสถานเดียว ไม่มีหนทางเป็นไปอย่างอื่น

-จีน พูดแต่เรื่องค้าขาย จีนมุ่งแต่เรื่องค้าขายเพียงอย่างเดียว จีนอยากได้สินค้าที่ตนเองต้องการ จีนต้องการบริษัทห้างร้าน/ต้องการผู้ประกอบการที่เอื้อประโยชน์ต่อจีน

ทว่าจีนนั้นมิได้ต้องการให้เกิดมีการค้าใดๆที่แข่งขันการค้ากับจีน(ประเทศใดที่ต้องการค้าขายแข่งกับจีนมิอาจจะชนะได้เนื่องจากมวล/พลังนั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง)

จีนไม่ต้องการบริษัทห้างร้านใด/ไม่ต้องการผู้ประกอบการใดที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อจีน

จีนกีดกันในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการโดยทันที

จีนไม่เคยพูดถึงเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงมากนัก เนื่องจากว่ามันเป็นธรรมชาติของชาติมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ครอบครองเทคโนโลยีชั้นสูง

ทั้งนี้ ความลับทางเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและมหาอำนาจทางทหารต่างหวงแหนเป็นที่สุด

สัจธรรมมันเป็นเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องยอมรับโดยมิอาจปฏิเสธได้

ผู้นำจีน

-เก่ง : ฉลาด (วิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ = คิดได้อย่างมี ตรรกะ มุ่งการคิด/วางแผน-ไม่เคยท่องจำ-มุ่งลอกเลียนแบบเพื่อพัฒนาให้เหนือกว่ายิ่งๆขึ้นไป)
กล่าวคือ ผู้นำจีนมีความฉลาดเป็นเลิศกว่าผู้นำประเทศอื่นใดในโลก
จะมีผู้นำของไม่กี่ประเทศในโลกเท่านั้นที่มีความฉลาดเท่าเทียมจีน/คิดได้เท่าเทียมจีน
-เห็นประโยชน์ของชาติบ้านเมืองจีนเป็นหลัก (โดยมิจำเป็นต้องสนใจใยดีกับผลประโยชน์ของประเทศอื่นๆมากนัก มันไม่ใช่ทุกข์ร้อนของจีน)
ขณะที่ผู้นำชาติอื่นๆนั้นมิได้คิดเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองกันดังเช่นกับผู้นำจีน

ประวัติศาสตร์
จีน เคยรุ่งเรือง สุดท้ายโดยผู้นำจีนกับโดยคนจีนเองก็ทำให้จีนล่มสลาย
กว่าจีนจะฟื้นคืนมาได้ก็ต้องใช้ผู้นำชั้นเยี่ยมหลายคนต่อเนื่อง/ใช้คนจีนฉลาดกลุ่มหนึ่ง(ร้อยละ10ของประชากรจีนทั้งหมดและใช้เวลานานหลายทศวรรษ
จีน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะถูกยกให้เป็น “ตำรา” ที่ดีของไทย เพียงแต่ว่าไทยเราต้องคิดและทำให้ทัน(จีน)

สถานการณ์ของไทย
ไทย ไม่ต่างจากจีนที่เคยรุ่งเรืองมาหลายยุคหลายสมัย
ทว่าไทย โดยผู้นำกับ โดยคนไทยเราเอง(ผู้นำ ผู้ฝักใฝ่ตะวันตกนำลัทธิการปกครองที่ไม่ตรงจริตกับประเทศไทยเข้ามาใช้
-ผู้นำผู้แสวงประโยชน์จากคนไทยกันเอง จนเกิดเป็นปรากฏการณ์แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
-ผู้นำผู้นิยมพึ่งพิงปัญญาต่างชาติ)ก็ทำให้ไทยเกือบล่มสลาย

ปัจจุบันไทยก็ยังอยู่ในสภาพเกือบล่มสลาย อันเนื่องมาจากความไร้เสถียรภาพทางการเมือง/นักการเมืองนำพาความแตกแยกเข้าสู่สังคม (ก็ยิ่งเป็นความอ่อนแอที่อิทธิพลจีนโดยมวลอันยิ่งใหญ่ของจีนเข้าครอบงำได้ง่าย)

ไทย ปัจจุบัน ตกอยู่ในสภาพไร้องค์ความรู้ภูมิปัญญา/ไร้เทคโนโลยี/ไร้นวัตกรรมทางด้านปัจจัยดำรงชีพ8 ประการเป็นของตนเอง

ประเทศไทยจึงก้าวตามต่างชาติไม่ทัน ประเทศไทยจึงไร้พลังอำนาจในการแข่งขัน สินค้าจากต่างชาติทะลักเข้าท่วมประเทศไทย เงินบาทไทยไหลออกนอกประเทศจนสิ้น คนไทยยากจน ประเทศไทยด้อยพัฒนาต่อไปอย่างไม่รู้วันสิ้นสุด

ไทย จำเป็นต้องมีผู้นำชั้นเยี่ยมอีกหลายคน/ต้องใช้คนไทยฉลาดอีกเป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาอีกยาวนานหลายทศวรรษ กว่าจะฟื้นคืนประเทศให้เจริญรุ่งเรืองกลับมาได้ (หรืออาจไม่ฟื้นคืนมาเลยก็ได้หากไม่ใช้ประโยชน์คนไทยฉลาด)

นั่นหมายถึงว่า ไทยจำเป็นยิ่งที่ต้อง “มีเทคโนโลยีไทยเป็นของไทยเราเองอย่างเพียงพอ” สำหรับใช้บนดินแดนสุวรรณภูมิของเราเองภายใต้ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง(ตามหลักทฤษฎีของในหลวง ร9)”
จีน-ไทย
สื่อถึงความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศไทยได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

“เสืออากาศ 24/7”
16/11/2019

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

(data)ผูกคอตาย! อธิบดีดีเอสไอ แจงผู้ต้องหาสำคัญคดีทุจริตออกโฉนดภูเก็ตหมื่นล. เสียชีวิต

ผูกคอตาย! อธิบดีดีเอสไอ แจงผู้ต้องหาสำคัญคดีทุจริตออกโฉนดภูเก็ตหมื่นล. เสียชีวิตแล้ว

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 30 สิงหาคม 2559 เวลา 07:20 น.
เขียนโดย
isranewsดีเอสไอรวบ‘ธวัชชัย อนุกุล’ อดีต จนท.ที่ดิน ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีทุจริตออกโฉนดภูเก็ต-พังงา หมื่นล. พบประวัติมีบัญชียาวหางว่าว-ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว 
picvdff30 8 16
สำนักข่าวอิศารา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2559 ชุดสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้จับกุม นายธวัชชัย อนุกุล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงาสาขาท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 79/164 หมู่ที่ 7 ต.ฉลอง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ผู้ต้องตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1165/2559 ลงวันที่ 14 มิ.ย.2559 ได้ที่บริเวณด้านหน้าร้านตัดผมเลขที่ 61/55 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ นายธวัชชัย อนุกุล ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 คดีทุจริตออกโฉนดที่ดินบริเวณหาดลายัน อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยถือว่านายธวัชชัย เป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ที่ออกเอกสารสิทธิ์ โดยมิชอบมากที่สุด จังหวัดภูเก็ต -พังงา-สุราษฎร์ธานี และแปลงที่ดิน บริเวณเขาหน้ายักษ์ ทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี จำนวน 500 ไร่ ราคาประเมิน ของกรมที่ดินไร่ละ 21 ล้านบาท มูลค่าทั้งสิ้น 10,500 ล้านบาท เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นคหบดีชื่อดังในพื้นที่จังหวัดพังงาและภูเก็ต
108981
picmonnn30 8 16
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2559 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะนำตัวอดีตข้าราชการ สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตรายนี้ไปฝากขังที่ศาลอาญา 
มีข้อมูลระบุว่า นายธวัชชัย อนุกุล ได้ออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบในจ.ภูก็ต เป็นจำนวนกว่า 700 แปลง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 เดือนธันวาคม 2553 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติ ป.ป.ช.ชี้มูลวินัยร้ายแรงและอาญา นายธวัชชัย อนุกูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต กรมที่ดิน กับพวก กระทำความผิด ฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 61483 – 61491 หมู่ที่ 5 ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โดยมิชอบ ร่วมกับ นายบุ่นเก้ง ศรีแสนสุชาติ ออกโฉนดที่ดินเนื้อที่รวม 362-3-12 ไร่ ให้บริษัทแห่งหนึ่งแต่จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินตามระวางแผนที่ปรากฏว่า ที่ดินที่นำรังวัดดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 108 ที่นำมาขอออกเป็นโฉนด
ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2556 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายธวัชชัย อนุกูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตร่วมกันปลอมเอกสารโฉนดที่ดิน และออกหนังสือรับรองราคา ประเมินที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42650 และ 42651 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต เป็นเท็จ มีมูลความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง และ มีมูลความผิด ทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 161  
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 30 ส.ค.2559 ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ว่า ดีเอสไอ ขอยกเลิกภารกิจทำข่าวการนำตัวผู้ต้องหาอดีตข้าราชการสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตไปฝากขัง ที่ศาลอาญา เวลา 10.00 น.ไปก่อน เนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิตแล้ว 
ต่อมาเวลา 08.30 น. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสำนักข่าวอิศรา ว่า  ผู้ต้องหาในคดีนี้ได้เสียชีวิตแล้วจริง โดยมีการผูกคอตาย ช่วงเวลาตี 1 วันที่ 30 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา ในห้องควบคุมตัวที่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นห้องแอร์อย่างดี โดยใช้เสื้อของตนเองผูกคอ เมื่อเจ้าหน้าที่มาพบเห็น จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนที่ผู้ต้องหาจะเสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ ตี 4-5 สำหรับสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากความเครียด เนื่องจากผู้ต้องหารายนี้มีคดีจำนวนมาก รวมถึงคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอ อยู่ระหว่างการตรวจสอบความชัดเจนอยู่ 
"เดิมที่วันนี้ (30 ส.ค.59) ดีเอสไอจะมีการแถลงข่าว แต่เนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิต ทำให้ต้องยกเลิกไปก่อน และอยู่ระหว่างการประสานแจ้งญาติของผู้เสียชีวิตเข้ามาดูศพ และจะทำการชันสูตรต่อไป"พ.ต.อ.ไพสิฐ ระบุ