PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ทนายความกัมพูชา รับกลางศาล แผนที่ 1:2 แสน ขัดแย้งหลักสันปันน้ำ


ทนายความกัมพูชา รับกลางศาล แผนที่ 1:2 แสน ขัดแย้งหลักสันปันน้ำ ถ่ายทอดลงแผนที่ปัจจุบันไม่ได้ อ้างไม่สำคัญ เหตุ คำพิพากษาปี 05 ตัดสินให้มีสถานะเป็นเหมือนสนธิสัญญา จึงไม่ต้องคำนึงว่าจะถูกต้องตามเส้นสันปันน้ำหรือไม่ ส่วนที่ถ่ายทอดลงแผนที่ปัจจุบันไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะไม่เกี่ยวกับคำร้องขอของกัมพูชา ยืนกระต่ายขาเดียว คำพิพากษาปี 05 ใช้แผนที่นี้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา สวนทนายไทย ให้ศาลยึดสันปันน้ำ เท่ากับเป็นการรื้อฟื้นคดีปี 05 ใหม่ เย้ย ไทยเคยแพ้มาแล้ว ปฏิเสธไม่เคยใช้ปลอมแปลงเอกสารฟ้องไทยตามที่ถูกกล่าวหา ย้ำ มีข้อพิพาท กัมพูชา ไม่เคยยอมรับการล้อมรั้วลวดหนามของไทย ยัน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขมร อ้าง เอ็มโอยู 43 มีไว้ทำหลักเขตแดนในพื้นที่อื่น

Rodman Bandee ทนายความของกัมพูชา (แถลงด้วยวาจารอบสุดท้าย)

กัมพูชาประท้วงการล้อมรั้วลวดหนามตามมติ ครม.ปี 2505 ของไทยมาโดยตลอด ส่วนกรณีที่รมว.ต่างประเทศของกัมพูชาพูดในสหประชาชาติว่าประเทศไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นพูดเพียงส่วนเดียว เพราะยังมีคำกล่าวอีกว่า ประเทศไทยน่าจะทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสามารถฟื้นคืนได้ แต่โชคร้ายสิ่งที่ประเทศไทยทำเป็นการหลอกลวงและเข้ามายึดครองบริเวณปราสาทซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่กินเวลาเพียงสองสามวัน โดยมีการนำรั้วลวดหนามมายืนยัน แสดงว่ากัมพูชาประท้วงเสมอมา และประเทศไทยไม่ได้ถอนทหารออกไป

กรณีสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุไปเยี่ยมพื้นที่นั้นมีการพูดถึงเอกสารที่พูดถึงรั้วลวดหนามว่ารุกล้ำเพียงสองสามเมตรไม่มีความสำคัญ แต่กลับไม่ได้พูดถึงบริบทที่เจ้านโรดมสีหนุไปเยี่ยมเพราะสี่เดือนก่อนหน้านั้นมีการประท้วงรั้วลวดหนามนี้ไปแล้ว โดยเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้นยังมีการพูดถึงข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอาจมีปัญหาเรื่องเขตแดนตามมา

ปราสาทพระวิหารเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยเคยยึดครองและพยายามทำให้เกิดปัญหาในวันที่เจ้านโรดมสีหนุไปเยี่ยมแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้เจ้านโรดมสีหนุแสดงออกว่าไม่ติดใจในเรื่องรั้วลวดหนาม แต่ยังมีรายงานที่ระบุถึงเจ้านโรดมสีหนุเกี่ยวกับการมาเยี่ยมปราสาทพระวิหารว่า ไทยได้ถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหารแต่ทำรั้วลวดหนามรุกล้ำดินแดนกัมพูชาโดยละเมิดคำพิพากษา เพราะประเทศไทยเกเรอ้างฝ่ายเดียว

ส่วนที่อ้างว่าเรื่องนี้เหมือนกับกรณีสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพราะบริบทแตกต่างกัน เนื่องจากเจ้านโรดมสีหนุประท้วงทั้งก่อนไปและหลังจากเดินทางกลับมาแล้ว แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชนุภาพไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีการประท้วงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชาด้วย เพราะรั้วดังกล่าวไม่สอดคล้องกับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยภาพรวมในปี 1960 ไม่สามารถบอกได้ว่ากัมพูชามีความเข้าใจเหมือนไทยว่าไม่มีข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ เพราะข้อพิพาทปรากฏอยู่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่เคยยอมรับเรื่องนี้เลย

หลังจากนั้นมีเขมรแดงเข้ามาในปราสาทพระวิหารจึงไม่มีใครทำอะไร และในช่วงที่ไทยเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว กัมพูชาก็ไม่เคยยอมรับมีการสร้างวัดแก้ว มีชุมชนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว โดยไทยไม่ได้ประท้วงจนกระทั่งมาถึงปี 2543 และปี 2544 ประเทศไทยพูดถึงมลภาวะแต่ไม่ได้คัดค้านในเรื่องอื่น กัมพูชามีกิจกรรมในดินแดนนี้

ข้อพิพาทเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2007 หลังจากที่ไทยผลิตแผนที่แอล 7017 ขึ้นมา แต่กัมพูชาปฏิเสธเพราะไม่สอดคล้องกับแผนที่ภาคผนวก 1 ตามคำตัดสิน ส่วนที่ไทยอ้างว่าข้อพิพาทเกิดเพราะกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ความจริงมีข้อพิพาทเพราะมีแผนที่ใหม่ของประเทศไทยเกิดขึ้นมา ซึ่งก็ถือเป็นข้อพิพาทที่ศาลต้องตีความตามคำขอของกัมพูชา

ส่วนที่พยายามใช้แผนที่ต่าง ๆ มาจำกัดบริเวณปราสาทพระวิหาร ว่าไม่ใช่พันธะกรณีที่จะต้องถอนทหารออกมานั้น ไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ กับการตัดสินของศาล เพราะคำพิพากษาไม่เคยระบุถึง แต่คำพิพากษาของศาลอ้างอิงถึงแผนที่ภาคผนวก 1 และเป็นความพยายามของฝ่ายไทยที่จะนำแผนที่เหล่านั้นมาจำกัดพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ทั้งนี้ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ามีการดัดแปลงแผนที่ว่าไม่เป็นความจริง เพราะแผนที่ที่กัมพูชานำมาแสดงนั้นเป็นแผนที่ตามที่มีข้อพิพาทกันอยู่

ข้อโต้แย้งทนายฝ่ายไทยที่พูดถึงพื้นที่ที่ไทยถอนทหารออกมาเป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงได้จากแผนที่ในภาคผนวก 85D แต่แผนที่ตามครม.ปี 05 ไม่มีเหตุผลใดรองรับว่าทำไมจึงเส้นสีแดงและสีเหลือง และไม่สอดคล้องกับแผนที่ 85D ด้วยแม้ว่าศาลจะแนบเอกสารนี้ไปด้วยแต่ศาลไม่ได้ระบุว่านำมาใช้อ้างอิงอะไร เพราะได้ให้เหตุผลชัดเจนว่า ไม่มีความสำคัญว่าแผนที่ภาคผนวก 1 จะสอดคล้องกับสันปันน้ำหรือไม่ เรื่องสันปันน้ำจึงไม่มีความสำคัญกับการตัดสินใจของศาลเลย

สำหรับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ทนายความฝ่ายไทยระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับคำตัดสินในปี 2505 นั้น ความจริงกัมพุชาสามารถระบุได้ กัมพูชาใช้เส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 แต่ประเทศไทยต้องการให้เขตแดนแล่นไปตามเส้นสันปันน้ำของไทย ที่ศาลไม่ได้ให้ความสำคัญ

ทนายความกัมพูชายังชี้พิกัดพื้นที่รอบปราสาทตามที่ผู้พิพากษาได้ตั้งคำถามเมื่อานนี้ว่าอยู่ในบริเวณเส้นใต้แผนที่ภาคผนวก 1 จนถึงจุดตัดด้านตะวันตกและตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นเส้นเขตแดน

ส่วนเรื่องแผนที่ที่ประเทศไทยกล่าวอ้างว่าเส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 ไม่สามารถถ่ายทอดสู่ผื้นที่จริงได้นั้น ทำให้เกิดคำถามว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงต้องการฟื้นคำพิพากษาเดิมหรือไม่ เพราะทนายความฝ่ายไทยต้องการให้ศาลยึดเรื่องสันปันน้ำทั้งที่ศาลไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่ากับกำลังขอให้ศาลมีคำพิพากษาใหม่ในคดีที่ศาลตัดสินให้ประเทศไทยแพ้คดีไปแล้ว โดยศาลยอมรับแผนที่

ภาคผนวก 1 ทำให้มีแผนที่มีสถานะเป็นสนธิสัญญา และคำตัดสินก็ระบุว่าไทยไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับสันปันน้ำ ดังนี้นไม่ว่าแผนที่ภาคผนวก 1 จะตรงกับเส้นสันปันน้ำหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาในคดีนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องถ่ายทอดแผนที่ภาคผนวก 1 เนื่องจากจะทำให้เกิดความสับสนไปจากคำพิพากษาของศาล สิ่งที่ทนายความฝ่ายไทยนำมาแสดงไม่มีความสำคัญเพราะไม่ได้ขอให้มีการถ่ายทอดแผนที่ภาคผนวก 1 ลงในภูมิศาสตร์จริง เนื่องจากไม่ได้เป็นปัญหาในปี 2505 เพราะศาลบอกว่าเขตแดนกำหนดไปแล้วในปี 1908 ส่วนปัญหาเรื่องการถ่ายทอดแผนที่ภาคผนวก 1 จะทำตามเอ็มโอยู 43

ประเทศไทยไม่ได้ตอบเรื่องการถอนกำลังออกจากบริเวณปราสาทได้อย่างไร หากกองกำลังยังอยู่ในฝั่งของกัมพูชาในเส้นเขตแดนที่ไทยยอมรับแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: