PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การเบิกจ่ายยารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาล

น่าสนใจติดตาม กรณีระเบียบใหม่ เรื่องการเบิกจ่ายยารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลที่ผลกระทบตกอยู่ที่ข้าราชการ
////
กำลังติดตาม · 5 ตุลาคม ผ่านทาง โทรศัพท์มือถือ
ใกล้ Amphoe Dusit 

ถึงกรมบัญชีกลางที่เคารพรัก

ท่านทำงานและทำหน้าที่ได้ดีมาก
ที่ช่วยหลวงช่วยรัฐรัดเข็มขัดเรื่องการจ่ายยาและการรักษาผู้ป่วย
ถึงแม้ว่าการออกมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้เงินผลาญเงินแก้ปัญหาด้านอื่นมันสวนทางกันสิ้นดี กับสิ่งที่ท่านกำลังทำ

อ่าน(ตามรูป)แล้วหมออยากลาออกกันเป็นทิวแถว
เพราะอย่าลืมว่า!! หมอก็ป่วยได้ กลายเป็นคนไข้ได้
พอตัวเองป่วย จะกินยาตัวนั้นก็เบิกไม่ได้
จะกินยาตัวนี้ก็ไม่มีในโรงพยาบาลรัฐ
ต้องไปหาที่ร้านยาหรือโรงพยาบาลเอกชน
นึกถึงตัวเองตอนนั้น...มันน่าเศร้าใจมากๆ
ทำงานได้ค่าแรงถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน 7 เท่า แต่สวัสดิการเทียบเท่ากับประกันสังคมและ 30 บาท

คุณกรมบัญชีกลางจงอ่าน...แล้วคิดตาม...

เหล่าครูบาอาจารย์ พยาบาล เภสัช หมอหมอฟัน ตำรวจ ทหาร ทนาย ข้าราชการชั้นผู้น้อย พวกเขาทำงานให้คุณเต็มที่ เพราะคิดแค่ว่า พอแก่ตัวจะพึ่งพาให้พวกคุณหายาดีๆ มารักษา ดูแลเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขาได้
อดทนรับเงินเดือนน้อยกว่า ไม่มีโบนัสปลายปีหรือมีแต่ก็น้อยกว่า ..น้อยกว่าบริษัทเอกชน
แต่สิ่งที่คุณกำลังทำ!!
มันกีดกันการรักษา ไม่ใช่การควบคุมการใช้ยาอย่างที่คุณคิด
คุณกำลังจะพาระบบการรักษาของประเทศไทยลงเหว!!!

คุณทำได้แม้กระทั่งการริดรอนสิทธิ์การเข้าถึงยาและการรักษา
ของครูบาอาจารย์ที่เคยสอนคุณ หรือกำลังสอนลูกของคุณ
คุณทำร้ายทหาร ตำรวจ รั้วของชาติที่ปกป้องให้ส่วนกลางทำงานอย่างปกติ
และคุณทำร้ายคนทำงานในด้านสาธารณสุขกันเอง
ให้เขาทำงานยากขึ้น ลำบากใจและอึดอัด
อึดอัดต่อกระบวนการงี่เง่าที่มีมากขึ้นทุกปี
(คุณมันเป็น Autoimmune disease ชัดๆ)

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการใช้กฏระเบียบนี้หลังวันที่ 1 มกราคม 2557
1. ยา original หลุดออกจากโรงพยาบาลรัฐ เพราะสู้ราคากลางไม่ได้ ไม่คุ้มที่จะจ้างผู้แทนยา แม้กระทั่งโรงเรียนแพทย์ ทำให้เหลือแต่ยาที่เป็น local made ที่ใช้หลักการผลิตด้วยวิธี biosimilar หรือภาษาชาวบ้านคือ ก๊อปปี้ แน่นอน การก๊อปปี้ยา บางทีดูแค่ยามีโครงสร้างคล้ายกัน กินแล้วแตกตัวดูดซึมเหมือนยา original ดูแค่นี้พอ!! เลิก!!! ยาบางหรือหลายตัวไม่เคยเอามาเทียบผลการรักษาเลยว่า ได้ผลเท่ากับ original ไหม เอาแค่ดีกว่า placebo ก็หรูแล้ว จะบ้าเหรอครับคุณ คนนะไม่ใช่หมาแมว!!!
เมื่อไม่มียา original ใน โรงพยาบาลรัฐ
ยาพวกนี้จะไปสถิตที่โรงพยาบาลเอกชน
(เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

2. เมื่อจำกัดการขายยาทุกตัว กำไรก็น้อยลง
ปกติราคาจัดซื้อยา โรงพยาบาลบวกกำไรได้ 10% ยา original ซื้อมา 30฿ กำไรได้ตั้ง 3฿/เม็ด พอไม่มียา original ให้ขาย ต้องขายแต่ยา local made เม็ดละ 1 บาท หรือกำไรเม็ดละ 10 สตางค์ จะต้องขาย 30 เม็ด ถึงได้กำไร 3 ฿

อย่าลืม!!! กำไรที่ได้..
โรงพยาบาลเอาไป จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าจ้างลูกจ้างต้ังแต่พนักงานทำความสะอาด ยาม เข็นเปล ผู้ช่วยพยาบาล พยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ โรงพยาบาลต้องจ่ายเงินเดือนเอง จ่ายค่าเวรค่าโอที ค่าเวรหมอก็ด้วย

เมื่อรายได้ลด!!!
แต่รายจ่ายมีเท่าเดิม
พอมีค่าซ่อมหลังคารั่ว ค่าเปลี่ยนลิฟท์ ค่าซ่อมเครื่องมือแพทย์
เงินเก็บโรงพยาบาลจะค่อยๆ ถูกดึงมาใช้
และลดลง จนเกิดการขาดสภาพคล่อง
สุดท้าย...โรงพยาบาลต้องลดภาระ
เลิกจ้างคนงาน ทำให้งานหนักขึ้น
ลดค่าเวร ทำให้เจ้าหน้าที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง
สุดท้าย...ลาออก ไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน ที่ได้รายได้สูงกว่าและการเข้าถึงยาดีกว่า ทำให้โรงพยาบาลเอกชนขยายเครือข่ายได้มากขึ้น เพราะตอนนี้หาหมอมาเป็น full time ยาก เพราะหมอยังอยู่ในระบบด้วยใจและศรัทธา ถ้ามันเกินรับไหว ก็พร้อมที่จะย้ายที่ทำงาน โรงพยาบาลเอกชนจะดูดหมอและเจ้าหน้าที่ดีๆ เก่งๆ จากระบบไปง่ายขึ้น
(เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

3. ยา original ราคาแพงเพราะอะไร
ก็เพราะกว่าจะพัฒนาขึ้นมา ต้องใช้งบประมาณสูง และกว่าจะนำมาใช้แพร่หลายต้องลองใช้กับสัตว์และสุดท้ายคือคน
ต้องลองอย่างน้อย 3-5 ปีกว่าจะออกมาขายได้ พอนำมาขาย ก็ต้องศึกษาต่ออีกว่ามีผลข้างเคียงในระยะยาวกับคนไข้ไห
ราคายาจึงแพงมากในช่วงแรกๆ แต่พอเมื่อถึงจุดคุ้มทุน เค้าก็ลดราคาให้ หรือประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย บางตัวขายถูกกว่าประเทศแถบยุโรปครึ่งต่อครึ่ง
ใช่ว่าเขาจะไม่มีมนุษยธรรม
แถมสนับสนุนงานวิจัยและการศึกษาให้แพทย์ พยาบาล เภสัช ด้วย
ในขณะยา local made ก๊อปปี้มาขายถูก
ลดต้นทุน ไม่มีค่าสนับสนุนอะไร เน้นทำให้ตัวเองถูกไว้ก่อน ไม่มีการศึกษาเทียบผลการรักษาในระยะยาว

จะว่าไป...ยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก
มักจะเป็นยาที่เคยเป็นยานอกยัญชียาหลัก
เหตุผลเดียว...ตอนนั้นมันแพง!!!
ไม่ดูเลยว่า..คนไทยจะมีโอกาสเข้าถึงยาดีๆ มีมาตรฐานในการรักษาอย่างประเทศอื่นไหม!! กว่าจะเข้าถึงยาตัวเดียวกัน
คนไทยต้องรอ 10 ปี ให้มันราคาตกก่อน
น่าสังเวช!!!
อย่างงี้..ไม่ต้องย้ายเข้ามาให้ใครด่าดีกว่า
คิดว่ามันไม่ควรเข้าก็ไม่ต้องเอามาเข้า

สุดท้าย...ยา original จะหาซื้อได้ที่โรงพยาบาลเอกชน (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

4. คนไทยจะหมดศรัทธาต่อโรงพยาบาลรัฐ
แล้วเข้าหาโรงพยาบาลเอกชน (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!) เพราะหมอรู้ดีว่า
คนไข้บางราย กินยา local made ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงเยอะกว่า original จนคนไข้ติดชื่อยา
ถ้าในโรงพยาบาลรัฐไม่มียาชื่อนี้
โรงพยาบาลเอกชนคือคำตอบ!!! (เพราะตระกูลใหญ่บางตระกูลถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนนี่นา!!)

ธุรกิจประกันชีวิตจะล้อตามไปกับการเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชน..ก็ดี!!!

เมื่อโรงพยาบาลเอกชนได้กำไรดี
ค่าแรงหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็จะมากขึ้น ทำให้ส่วนต่างรายได้ระหว่างรัฐกับเอกชนห่างกันมากๆ แล้วใครจะอดใจอยู่ที่เดิมได้!!!

เมืี่อกรูกันเข้ามา..มีตัวเลือกเยอะ...ราคาก็ตก
แต่จะหันหลังกลับก็ไม่ได้!!!
(อันนี้ฝากเตือนไว้ด้วยครับ)

5. การฟ้องร้องจะมากขึ้น...เพราะกินยาแล้วไม่หาย แล้วไม่มียาดีๆ ที่มีการศึกษาชัดเจนของเขาเองให้รักษา
เป็นคุณ คุณจะมองหมออย่างไร ถ้าคนไข้ที่เป็นตัวคุณหรือครอบครัวของคุณ ไม่หายหรือตาย!!! คุณจะยังศรัทธาอยู่อีกไหม
ออกข่าวสรยุทธเลย!!!

******ก่อนที่จะออกมาตรการการรัดเข็มขัดการจ่ายยา คุณควร...
1. ทำให้หมอและคนไข้ เชื่อมั่นยา local made ว่าให้ผลการรักษาดี มีผลข้างเคียงน้อย นั่นคือ...ต้องทำการศึกษาอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มาพูดลอยๆ ว่ากินแล้วดูดซึมได้เท่ากัน โครงสร้างยาคล้ายกัน...มันไม่พอ

2. ทุกโรงพยาบาลยังต้องมียาทั้ง 2 กลุ่ม เพราะ ต้องมียาพร้อมให้เปลี่ยนแก่คนไข้ที่กิน local made แล้วมีปัญหา อาจลอง original ก่อน และกำไรที่เกิดจากการขายยา สามารถนำมาใช้จ่ายและพัฒนาโรงพยาบาล พัฒนาความรู้และจัดกิจกรรมให้ลูกจ้างเจ้าหน้าที่ในวันปีใหม่บ้าง

จนกว่า...กรมบัญชีกลาง
จะเข้ามาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เงินเดือน ค่าเวรลูกจ้างเจ้าหน้าที่และหมอ
การจัดหาหรือจ่ายค่าซ่อมเครื่องมือแพทย์ การก่อสร้างตึกใหม่หรือซ่อมแซมตึกเก่าๆ
หากกรมบัญชีกลางรับภาระเองทั้งหมด
อยากจะทำอะไร...ก็ทำ!!!

3. อย่าทำตัว...เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด
มัวแต่เอางบประมาณไปใช้สิ้นเปลือง
แต่ทำให้ปิดโรงพยาบาลเพราะขาดทุนหรือไม่มีหมอตรวจ
งบซื้อ Tablet งบอุดหนุนข้าว ยางพารา ล่าสุดข้าวโพด!! งบเยียวยาประท้วง
งบสร้างเขื่อนแค่ชะลอน้ำ ไม่ได้แก้น้ำท่วม
แต่ตัดงบการรักษา...ทุกวิถีทาง
ตั้งแต่โครงการ 1 โรค 1 โรงพยาบาล
โครงการจำกัดการจ่ายยา 9 ประเภท
ดีที่...อาจารย์แพทย์เบรคเรื่องเหล่านี้ไว้กับ สว. ได้

อย่างไรก็ตาม...
ที่ว่ามา...ไม่ได้จงเกลียดจงชังหรืออคติต่อกรมบัญชีกลา
แต่อยากให้คุณมีทัศนคติในการทำงานใหม่
ให้มองพวกเราที่เป็นข้าราชการเป็นกลุ่มคนที่คุณต้องดูแลอย่างดีที่สุด ถ้าข้างบนบังคับหรือทำอะไรให้พวกเราถูกริดรอนสิทธิ์
พวกคุณต้องช่วยโต้แย้งและให้เหตุผลที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ตามน้ำตามคำสั่ง
แล้วมองข้าราชการกว่า 2 ล้านคนเป็นขี้ข้า
เป็นลูกไก่ ที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตาย
มันใช้ไม่ได้...

ฝากไว้ด้วยครับ...คุณกรมบัญชีกลาง

หมอเอ้ รักษ์โลกและข้าราชการทั่วไท

ไม่มีความคิดเห็น: