PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

อภิชัย รัตนวราหะ : เมืองไทย จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่

อภิชัย รัตนวราหะ : เมืองไทย จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่

วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:12:40 น.

 โดย อภิชัย รัตนวราหะ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


"ไม่มีแผ่นดินใดอยู่ได้บนพื้นฐานของความขัดแย้ง ไม่มีชาติใดมั่นคงได้หากชาติยังแตกแยก"
(สงครามกลางเมือง : วีระชัย โชคมุคดา) พ.ศ.2553



สงครามกลางเมือง (civil wars) คือ การฆ่ากันเองบนแผ่นดินเกิด นี่คือคำจำกัดความอย่างสั้นๆ ที่หนังสือเรื่องสงครามกลางเมือง โดย คุณวีระชัย โชคมุคดา

เขียนไว้

ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพราะขณะนี้...สังคมไทยกำลังพูดประเด็นนี้กันมาก โดยเฉพาะการตั้งคำถามว่า...ไทยจะเกิด civil wars หรือไม่ พอดีได้เคยอ่านเรื่องนี้จากหนังสือดังกล่าวมานานหลายปีก็เลยจับมาอ่านใหม่ และเห็นว่าเป็นหนังสือที่รวบรวม และให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องสงครามกลางเมืองไว้ค่อนข้างจะครบถ้วนและตรงกับสถานการณ์ของบ้านเราพอดี ก็เลยอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

ภายในหนังสือเล่มนี้ ได้นำเสนอเรื่องสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ที่เด่นๆ ไว้ 7 เรื่อง คือ สงครามกลางเมืองของอเมริกา สงครามเกาหลีปี 1950-1953 สงครามเวียดนาม 1957-1975 การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร สงครามกลางเมืองในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และโคโซโว รวันดา และที่ซูดาน ซึ่งคำจำกัดความสั้นๆ ของสงครามกลางเมืองในแต่ละประเทศมีดังนี้

1.สงครามกลางเมืองของอเมริกา : สงครามเหนือ-ใต้ ก่อนกลายเป็นสหรัฐอเมริกาที่ยิ่งใหญ่

2.สงครามเกาหลี : คือ การฆ่ากันเองในฐานะตัวแทนของคนอื่น

3.สงครามเวียดนาม : คือ บาดแผลของเวียดนามที่ต้องเยียวยาจนถึงปัจจุบัน

4.ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร : กว่า 2 ล้านชีวิตสังเวยอำนาจของผู้นำ

5.บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และโคโซโว: ความอัปยศของประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจดจำ

6.รวันดา : แผ่นดินเดียวกันผิวสีเดียวกัน แต่ใจต่างกัน

7.สงครามที่ยังไม่สิ้นที่ดาร์ฟูร์ ซูดาน : ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

จำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองที่สำคัญๆ 7 ประเทศประมาณไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน (ยังไม่รวมผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก)

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองดังกล่าว ก็มีจากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ผลที่เหมือนกันก็คือ...การฆ่ากันเองบนแผ่นดินเดียวกันนั่นเอง!

สิ่งต่างๆ ที่ผมได้พยายามจะสรุปจากหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่า การเกิดสงครามกลางเมืองที่เคยเกิดมาแล้วในประเทศต่างๆ นั้น...ได้เกิดมาแล้ว และขณะนี้ก็ยังเกิดขึ้นมาอีกในหลายประเทศ เช่น การสังหารโหดในคองโก ยูกันดา ซูดาน แอฟริกาตะวันตก และโคลอมเบีย ฯลฯ

นักวิชาการหลายท่าน (ที่พยายามมองในแง่ดี) ได้บอกว่า...เมืองไทยไม่มีทางจะเกิดสงครามกลางเมือง ผมก็อยากเสนอไว้ว่าอย่าได้มองในแง่ดีจนเกินไปนัก! เผื่อๆ ไว้บ้าง และเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้น อาจจะดีกว่า

เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ...บทเรียนที่ผ่านมาของสงครามกลางเมืองในหลายประเทศคือ...คนที่ไม่ตระหนักและมองในแง่ดีเกินไป...มักจะตายก่อน! โดยเฉพาะชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงนี่แหละครับ! ผู้นำที่เป็นต้นเหตุของการฆ่ากัน ไม่เคยเห็นตายสักคน! ลองพิจารณาดูก็ได้

สำหรับเมืองไทย จะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นไหม!...โดยส่วนตัวของผู้เขียนอยากจะเสนอว่า...ไม่แน่ 100% อาจจะเกิดหรือไม่ 50:50 ก็แล้วกัน

50% ที่จะเกิด...สิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกวิตกคือ กระบวนการยุติธรรมที่เราเรียกกันว่า "ตุลาการภิวัฒน์" แบบสองมาตรฐาน โดยมีความอคติ เป็นตัวตั้งนี่แหละครับ...จะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการนำไปสู่...civil wars ให้เกิดขึ้นในประเทศเราได้มากที่สุด

130 กว่าปี...ไม่เคยมีระเบิดลงที่ศาลอาญา แต่ปีนี้มี เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิด คนใหญ่ๆ โตๆ เคยคิดกันบ้างไหม! นั่นคือคำถามที่ผมและประชาชนไม่น้อยอยากถาม ที่สำคัญคือ ตุลาการไปตรวจสอบคนอื่น ถ้าคนอื่นจะตรวจสอบตุลาการบ้าง จะยอมไหม?

นี่แหละครับ! คือ 50% ที่ผมคิดว่าเมืองไทยอาจจะเกิด civil wars

ปัจจัยอื่นๆ ที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง เช่น การสร้างวาทกรรม Hate Speech (คือวาจาที่สร้างความเกลียดชัง เพื่อโจมตีกันด้วยความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนในสังคม) ให้เกิดความแตกแยกทำให้บาดแผลอันนี้มากขึ้นๆ กฎหมายบ้านเมือง (Rule of Law) เกือบจะไม่มีเพราะกลไกของกระบวนการยุติธรรมง่อยเปลี้ยเสียขาไปจนหมด กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย อภิชนกลุ่มหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่กับอีกกลุ่มหนึ่งขบวนการยุติธรรมข่มเหง รังแกเอาๆ...คนที่มีอำนาจมีบารมีไม่ทักท้วงห้ามปรามแถมยัง "ปากว่าตาขยิบ" อย่างนี้จะไม่นำไปสู่สภาวะฟางเส้นสุดท้าย ซึ่งก็คือ civil wars อย่างไรได้!

บทสรุปของสงครามกลางเมืองในเขมร ที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ด้วยการวางความชอบธรรมเอาไว้ที่ผู้นำเพียงไม่กี่คนนั้น นำมาซึ่งความเจ็บปวดที่ไม่มีใครจะคาดคิด และต้องการจะเห็นอีกแล้วในชีวิตนี้ เกิดขึ้นมาจาก "คนในชาติ" ต่างมีมุมมองและความคิดด้านการเมืองการปกครองแตกต่างกัน (เหมือนเมืองไทยขณะนี้)

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และโคโซโว ผลของการสังหารโหดว่ากันว่ามีผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะชาวมุสลิมกว่า 200,000 คน แม้ผู้นำในการออกคำสั่งให้สังหารโหดในครั้งนี้จะถูกดำเนินการตามกฎหมายสากลไปแล้วก็ตาม แต่บาดแผลใหม่ที่เกิดขึ้นมาก็ใช่ว่าจะสามารถปิดงำหรือลบล้างแผลเดิมของอดีตที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้อยู่นั่นเอง

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา กลายเป็นความเศร้าเสียใจที่ได้เห็นว่า...มนุษย์เรานั้นเมื่อถึงเวลาที่ "ไร้เหตุผล" และ "จิตสำนึก" แล้วเราเองก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ชนิดหนึ่งที่พร้อมเสมอที่จะห้ำหั่นและเข่นฆ่ากันเอง บทเรียนจากรวันดา กลายเป็นกรณีศึกษาของคนทั่วโลกที่จะหยิบเอาประเด็นความขัดแย้งเหล่านั้นมาบอกกับตัวเองให้รู้จักมองและทำความเข้าใจในรายละเอียดของปัญหาให้ดียิ่งขึ้น

และที่สำคัญที่สุดคือ ทางออกของปัญหาย่อมต้องไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ เพราะความรุนแรงนั้นมีแต่นำความเศร้าเสียใจมาสู่เท่านั้น

บทสรุปของหนังสือเล่มนี้ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า..."สงครามไม่สิ้่นฆ่ากันเองในแผ่นดินเดียวกันยังไม่หมด"

คนที่มองในแง่ดี (จนเกินไป) ที่ว่า...เมืองไทยไม่มีทางเกิดสงครามกลางเมือง...อย่าได้ประมาทและประเมินต่ำจนเกินไป!

เพราะ "ความประมาท คือ ความตาย" พระท่านสอนไว้นานมาแล้ว




..................

(ที่มา:มติชนรายวัน 18 มี.ค.2557)

ไม่มีความคิดเห็น: