PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว27/2/58

ทหารจับบ่อน

เด้ง ผบก.น.2 ปฏิบัติราชการศปก.ตร. พร้อม 5 เสื่อ สน.บางเขน และ สน.โคกคราม เซ็นบ่อนพนัน

พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 ได้มีหนังสือเลขที่ 80/2558 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ จึงมีคำสั่งให้ ข้าราชการตำรวจดังนี้ พ.ต.อ.ณัฐณวิทย์ สิทธาภิรมย์ ผกก.สน.บางเขน, พ.ต.ท.
ปรเมษฐ โพยนอก รองผกก.สส.สน.บางเขน ,พ.ต.ท.อำนาจ อินทรศวร รองผกก.ป.สน.บางเขน, พ.ต.ท.เสน่ห์ มณีฉาย สว.สส.สน.บางเขน, พ.ต.ต.สุรพล จันทร์สมศักดิ์ สว.ป.สน.บางเขน ไปปฏิบัติ
ราชการที่ บก.น.2 เป็นเวลา 30 วัน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ขณะเดียวกันก็ได้มีหนังสือเลขที่ 82/2558 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ จึงมีคำสั่งให้ ข้าราชการตำรวจดังนี้ พ.ต.อ.ดำรง บุญวิไลวงศ์ ผกก.สน.โคกคราม, พ.ต.ท.ศรีสันต์ เฟื่องสังข์ รอง ผกก.สส.สน.โคกคราม, พ.ต.ท.สุทัศน์ แดงประดับ สว.ป.สน.โคกคราม, พ.ต.ท.จักรพงศ์ ตราบดี สว.สส.สน.โคกคราม ไปปฏิบัติราชการที่ บก.น.2 เป็นเวลา 30 วัน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
เช่นกัน

หลังเจ้าหน้าที่บุกทลายบ่อนพนันในพื้นที่ของ สน.โคกคราม และบ่อนพนันไพ่ป๊อก ภายในอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ไม่มีเลขที่ ซอยพหลโยธิน 50 ย่านสะพานใหม่ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของ สน.บางเขน

และล่าสุด พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาตื เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ได้มีคำวั่งให้ พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.

ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.2558 เตรียมเรียก พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และพล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรทผบช.ก.) เข้าพบในวันนี้ (27 ก.พ.) เพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าว ส่วนการเอาผิดกับตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่นั้น เบื้องต้นในส่วนของ 5 เสือ สน. ต้องถูกย้ายออกจากพื้นที่ก่อนทันที ส่วนผู้บังคับบัญชาระดับผู้บังคับการ และรองผู้บังคับการ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบนั้น จะต้องมีการตรวจสอบก่อนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีเจตนาปล่อยปละละเลยหรือไม่ ยืนยันว่า เรื่องการปราบปรามอบายมุขการกระทำผิดกฎหมาย เป็นนโยบายสำคัญของ ผบ.ตร. ที่ได้กำชับไปแล้ว ดังนั้นหากพื้นที่ใดมีการจับกุมเจ้าของพื้นที่ต้องรับผิดชอบ
---------------------------
ทหารบุกจับบ่อนพนันสามพื้นที่ สน.บางเขน สน.ลาดพร้าว และสน.โคกคราม พร้อมนักพนันและของกลาง
     
     
วานนี้ ( 26 ก.พ.)เมื่อเวลา 18.00 น.พ.ต.อ.ณัฐณวิทย์ สิทธาภิรมย์ ผกก.สน.บางเขน ร่วมกับ ร.อ.สาคร วงษ์สุรินทร์ ผบ.ร้อย รส.1 ร.2 พัน 1 รอ. พ.ต.ท.อำนาจ อินทรศวร รองผกก.ป.สน.บางเขน ร่วมกันนำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ สน.บางเขน กว่า 30 นาย นำกำลังเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในซอยพหลโยธิน 50 แขวงคลองถนน เขตบางเขน หลังสืบทราบว่ามีการเปิดลักลอบเล่นการพนัน
     
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ไม่ติดเลขที่ ภายในซอยพหลโยธิน 50 ติดกับเซ็นจูรี่ สนุกเกอร์ จากการตรวจสอบบริเวณชั้นล่างของอาคารดังกล่าว พบเหล่าบรรดานักพนันที่กำลังนั่งและยืนล้อมวงกันเล่นพนันไพ่ป็อกแปด-เก้า ก่อนเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ 24 ราย เป็นผู้หญิง 16 รายชาย 8 ราย จากการตรวจค้นพบอุปกรณ์การเล่นพนัน ไพ่ 55 สำรับ โต๊ะสำหรับเล่นการพนัน 2 ตัว เก้าอี้ 20 ตัว ไม้อลูมิเนียม 4 อัน และเงินสดจำนวน 1,060 บาท จึงทำการรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาสอบสวน ที่สน.บางเขนต่อไป
     
เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักลอบเล่นการพนันไพ่แปด-เก้า พนันเอาทรัพย์สินกันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต” ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
     
ต่อมา พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มีสวัสดิ์ ผกก.สน.ลาดพร้าว และร.ท.ชลภัทร ผึ่งผาย นายทหารยุทธการบก.ชค.ร.12พัน 2รอ.นำกำลังตำรวจและทหารเข้าตรวจค้นร้านโต๊ะสนุกเกอร์คลับ เลขที่ 51/409 ซอย
ลาดพร้าว 128/2 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ตรวจยึดไพ่ป๊อก 93 สำรับ ไพ่นกกระจอก 1 สำรับ อุปกรณ์เล่นไฮโล1ชุด เงินสด 50,387บาท ใบกระท่อม 1 ก.ก.และชิปจำนวนหนึ่ง ส่วนนักพนันกว่า 20 คน ไหวตัวทันหลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายชนะ ตามมานนท์ อายุ 30 ปี ที่อ้างว่าเข้าไปเก็บเงินจากลูกหนี้ควบคุมตัวไปสอบสวน
-------------------
"พล.ต.ต.ฐิติราช" รับ ตำรวจดูแลบ่อนไม่ทั่วถึง เพราะมุ่งดูแลปัญหาอาชญากรรม 

พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลปัญหาบ่อนการพนันไม่ทั่วถึง เพราะมุ่งดูแลปัญหาอาชญากรรม หลังเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารนำกำลังบุกทลายบ่อนการพนันหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียก พล.ต.ต.ฐิติราช เข้าพบเพื่อให้รายงานเรื่องดังกล่าว หลังมีคำสั่งให้ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. และย้าย 5 เสือ สน.ในพื้นที่รับผิดชอบไปแล้ว รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่วยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลปัญหาบ่อนการพนันไม่ทั่วถึง เพราะมุ่งดูแลปัญหาอาชญากรรม หลังเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทหารนำกลังบุกทลายบ่อนการพนันหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียก พล.ต.ต.ฐิติราช เข้าพบเพื่อให้รายงานเรื่องดังกล่าว กลังมีคำสั่งให้ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.และย้าย 5 เสือ สน.ในพื้นที่รับผิดชอบไปแล้ว  
--------------------
โฆษก ตร. เผย ทหารบุกจับบ่อนพนันตำรวจไม่ขัดแย้งกัน ชี้ เป็นมาตรการทางทหาร - มอบ บช.ก. รับผิดชอบร่วมกับนครบาล ยันไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารระดมบุกจับบ่อนการพนันในพื้นที่นครบาล และปริมณฑล รวม 5 จุด เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับกระแสข่าวที่ว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด แต่ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นมาตรการทางทหารที่สืบสวนกวาดล้างจับกุมแบบครั้งเดียว

โดยขณะนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เข้าไปช่วยราชการที่
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว และเตรียมเรียกผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เป็นความบกพร่องและละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสายตรงในนครบาล

โดยจากนี้ไปจะให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้ามาร่วมดูแลรับผิดชอบเรื่องอบายมุข ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อเพิ่มการทำงานของตำรวจนครบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. เข้ามามีส่วนรับผิดชอบงานในกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นการก้าวก่ายความรับผิดชอบกันหรือไม่นั้น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า กำลังของนครบาล มีไม่เพียงพอ ต้องดูแลรับผิดชอบหลายหน้าที่ การให้ บช.ก. ซึ่งมีอำนาจจับกุมทั่วประเทศ เข้ามาช่วยเสริม จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น
-------------------------
ผบ.ตร. เปิด โครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปตำรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการ“เสียงสะท้อนจากตำรวจของประชาชน”

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปตำรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการ “เสียงสะท้อนจากตำรวจของประชาชน” ซึ่งผู้เข้าร่วมการสัมมนา ประกอบด้วยข้าราชการตำรวจระดับปฏิบัติการชั้นประทวน ทุกสายงานจากทั่วประเทศ จำนวน 600 นาย เพื่อรวบรวมแนวคิดข้อเสนอแนะจากข้าราชการตำรวจในกลุ่มชั้นประทวน มาปรับใช้ และกำหนดวางแนวทางเป็นยุทธศาสตร์ เสนอแนะแนวทางการปฏิรูประบบงานตำรวจและกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำหรับการสัมมนาในช่วงเช้าจะเป็นการบรรยายพิเศษโดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นตัวแทนจากภาคประชาชน สื่อมวลชน และผู้แทนข้าราชการตำรวจชั้นประทวนด้วย      
-------------------------
ผบ.ตร. เตรียมหารือ น.1 รับ บ่อน กทม. ยังมีอีกมาก พร้อมทำงานร่วมกับทหาร

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย กรณีที่ทหารบุกจับบ่อนการพนันในพื้นที่นครบาลและปริมณฑล เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า  หลายฝ่ายยังเข้าใจว่า ตำรวจทำงานบกพร่อง แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเพราะทหารมีอำนาจตามกฎอัยการศึกในการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยได้ แต่ขณะที่ ตำรวจต้องขอหมายค้นจากศาล  การบุกจับบ่อนการพนัน ต้องอาศัยความรวดเร็วและทำงานแบบฉับพลัน ดังนั้น ยืนยันยินดีที่จะทำงานร่วมกับทหาร และยินดีอย่างยิ่งที่ให้ทหารเข้าทำงานในลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะการตรวจค้นบ่อนการพนัน พร้อมระบุ บ่อนบางจุดที่จับเมื่อคืน เคยถูกจับมาแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ดังนั้นต้องตรวจสอบว่า ตำรวจมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย อำนวยความสะดวกให้บ่อนกลับมาเปิดอีกหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันนี้จะเดินทางไป กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อหารือกับ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ถึงเรื่องดังกล่าวว่า เหตุใดจึงเกิดความผิดพลาด เกิดบ่อนซ้ำซ้อนมาอีก แต่ ผบช.น. จะต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้ด้วยหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่า บ่อนการพนันในกรุงเทพฯ ยังมีอยู่อีกจำนวนมาก แต่การจับกุมทำได้อยาก เพราะบ่อนมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งการจัดเตรียมสถานที่ ที่มีความซับซ้อน ยากต่อการเข้าถึง อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบางคนมีส่วนในการอำนวยความสะดวกอีกด้วย
------------------------------
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันตำรวจทุกนายพร้อมรับการเปลี่ยน กรณีมีการปฏิรูปตำรวจ แต่ขอประชาชนได้ผลประโยชน์

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปตำรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติการ ภายใต้หัวข้อ "เสียงสะท้อนจากตำรวจของประชาชน" ที่สโมสรตำรวจ โดยมีข้าราชการตำรวจชั้นประทวนกว่า 600 คน เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เพื่อให้แนวทางการปฏิรูปเกิดประโยชน์ต่อข้าราชการตำรวจและประชาชนมากที่สุด

โดยมี 4 หัวข้อหลักที่ตำรวจชั้นประทวนห่วงใย คือ ตำรวจที่ประชาชนต้องการเป็นอย่างไรหลังการปฏิรูป, คุณภาพชีวิตของตำรวจจะเป็นอย่างไร, การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และจะทำอย่างไรให้เกิดความศรัทธาและได้ความรักมาจากประชาชน

โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยืนยันว่าตำรวจทุกนายพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง หากนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและประชาชนได้รับประโยชน์มากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำประเด็นหารือในวันนี้ไปวางกลยุทธ์เพื่อให้การปฏิรูปตำรวจสอดคล้องกับความต้องการของตำรวจและความพึงพอใจของประชาชน และยื่นเสนอ คสช. ต่อไป
-------------------------
ผบ.ตร. สั่งเด้ง ผบก.น.2 และ 4 ช่วยงาน ศปก.ตร. เซ่นจับบ่อนการพนันกลางกรุง

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มีหนังสือคำสั่งที่ 108/2558 ลงวันที่ 26 ก.พ. 2558 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการ เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และข้อ 8(1) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 จึงให้ พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. 2558 เป็นต้นไป โดยให้ไปรายงานตัวที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายในวันที่ 27 ก.พ. 2558 เวลา 14.00 น.
----------------------
"ป๋าชื่น" เจ้าของบ่อนโคลอนเซ่ มอบตัวปัดแอบอ้างสถาบันขอซื้อที่ดินลำตะคอง แต่ยอมรับ อยากซื้อที่ดินไว้ขายเก็งกำไรจริง ผบ.ตร. ยันให้ความเป็นธรรม


นายบุญธรรม บุญเทพประทาน หรือ ป๋าชื่น กรรมการบริษัท บ้านชุมทอง จำกัด และบริษัท เขาใหญ่ เบเวอร์ลี่ ฮิลส์ จำกัด เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังถูกออกหมายจับในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีหลอกลวงประชาชนเพื่อซื้อที่ดินนิคมสร้างตนเอง ลำตะคอง บริเวณเขาหนองเชื่อม ใน ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

โดย พล.ต.อ.สมยศ เปิดเผยว่า นายบุญธรรม ได้เดินทางเข้ามอบตัวด้วยความสมัครใจ และทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ ซึ่งรายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากคดีดัง
กล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ด้าน นายบุญธรรม ปฏิเสธว่า ตนเองไม่เคยแอบอ้างสถาบัน แต่ยอมรับอยากได้ที่ดินที่เขาใหญ่มาจัดสรรขายเพื่อเก็งกำไร โดยมี นายเสฏฐวุฒิ เพ็งดิษฐ์ ซึ่งเป็นนายหน้าค้าที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวมาเสนอขายที่ดินบริเวณนี้ให้ ในราคาแปลงละไม่เกิน 1 แสนบาท จึงตัดสินใจซื้อและนำไปจัดสรรขายต่อไร่ละ 6-7 แสนบาท หรือบางไร่ มีราคาสูงถึงหลักล้าน ซึ่งยืนยันว่า ไม่เคยไปบังคับชาวบ้านบนพื้นที่ และไม่ทราบว่า นายเสฏฐวุฒิ ใช้วิธีใดถึงได้เอกสารสิทธิ์มา ต่อมา พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีความสนิทสนมกันส่วนตัว มาเห็นพื้นที่ดังกล่าวและสนใจขอแบ่งซื้อ จึงได้ขายให้ราคาถูกในราคาไร่ละไม่เกินสองแสนบาท ต่อมา พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทราบเรื่องจึงอยากซื้อที่ดินบริเวณนี้ด้วย

ทั้งนี้ นายบุญธรรม ยอมรับว่า เคยได้ยิน พล.ต.ต.โกวิทย์ พูดคุยกันในกลุ่มว่า ต้องการซื้อที่ดินดังกล่าวเพื่อนำไปสร้างวัง หลังมอบตัวพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายทรงธรรม ปสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองปราบปราม
-----------------------
.ทหาร บุกค้นพื้นที่บ่อนเตาปูน งัดประตูเข้าตรวจสอบ-ปชช.ฮือต้าน -จับตรวจฉี่

ขณะนี้ดิฉันก็ติดตามเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาตรวจสอบบริเวณพื้นที่ย่านเตาปูน ซึ่งก่อนหน้านี้พื้นที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่ก็สงสัยว่ามีการเปิดเป็นบ่อนการพนัน ซึ่งก็มีการระดมกำลังจากทางเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชุดเฉพาะกิจของ คสช. เข้ามาตรวจสอบบริเวณของพื้นที่อดีตซึ่งเคยเป็นบ่อนเตาปูน ก่อนที่จะเดินทางขึ้นมาด้านบนก็พบว่ามีมวลชนนั้นเข้ามาต่อต้านกันจำนวนมาก ที่ออกมาต่อต้านเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่เข้ามาตรวจสอบในพื้นที่แห่งนี้ โดยเจ้าหน้าที่นั้นมีการงัดประตูของชาวบ้านที่อยู่ในระแวกนี้เพื่อที่จะขึ้นมาด้านบน ซึ่งจากหลังที่เราเดินขึ้นมาด้านบนก็จะพบว่ามีพวกเก้าอี้ แล้วก็มีตู้ต่างๆและก็มีห้องที่เปิดอย่างห้องนี้ก็จะมีโต๊ะการพนันอยู่ด้วยแล้วก็มีเก้าอี้อยู่จำนวนมาก ซึ่งขณะนี้บรรยากาศด้านบนก็ยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ในระแวกนี้ ซึ่งก็ตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่กันอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่เป็นบ่อนล้างแล้ว ไม่ใช่เป็นบ่อนที่มีการเปิดเล่นการพนัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็กำลังตรวจสอบดูบริเวณโดยรอบ แล้วเดี่ยวจะลงไปตรวจสอบที่อื่นต่อไป และนี้คือบรรยากาศการจับบ่อนเตาปูนในขณะนี้ ซึ่งยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายหรือว่ามีนักพนันแต่อย่างใด
---------------------
นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2.รอ นำกำลังบุกทลายบ่อนย่านเตาปูน - ไม่พบนักพนัน แต่พบอุปกรณ์ สิ่งผิดกฎหมายเพียบ

พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2.รอ พร้อมด้วย พ.อ.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ รองผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะฝ่ายปฏิบัติการคณะทำงานพิเศษ คสช. นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารกว่า 50 นาย เข้าตรวจสอบภายในพื้นที่บ่อนเตาปูน หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า เมื่อคืนที่ผ่านมามีการลักลอบเล่นการพนัน ภายในบ่อนเตาปูน ซึ่งถือเป็นการขัดคำสั่งของ คสช. เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเดินทางมาถึงก็พบมวลชน ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่พักอาศัยโดยรอบบ่อนเตาปูนเข้ามาขัดขวางเจ้าหน้าที่ และมีการปะทะคารมกัน โดยแบ่งเป็นฝ่ายชาวบ้าน และฝ่ายทหาร รวมถึงสื่อมวลชน จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหาร ได้กระจายกำลังงัดประตูและทุบห้องต่าง ๆ เพื่อจะขึ้นไปยังชั้น 2 ของอาคาร ที่มีบ้านเรือนประชาชนรายล้อมอยู่ในลักษณะห้องแถว โอบล้อมห้องโถงและอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งจากการตรวจสอบ ไม่พบนักพนัน หรือการลักลอบเล่นการพนันแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่พบเพียงอุปกรณ์บางส่วนที่ใช้ในการลักลอบเล่นการพนัน อาทิ โต๊ะบาคาร่าจำนวนมาก สำรับไพ่ และอุปกรณ์การเล่นพนัน สมุดโพยที่มีการจดบันทึกการเล่นพนัน ล่าสุดจดบันทึกการเล่นไปเมื่อวานที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการประกาศรับจำนำทองคำ เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดในการเล่นการพนัน ขณะเดียวกันยังพบอุปกรณ์การเสพยา อาวุธปืนหลายขนาด พร้อมเครื่องกระสุนปืน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทหารยังสุ่มตรวจปัสสาวะของชาวบ้านในชุมชนเตาปูน เพื่อหาสารเสพติดด้วย

ทางด้าน พ.อ.บุรินทร์ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้นอกจากจะพบห้องโถงเดิมที่เคยเป็นพื้นที่ที่ใช้เปิดบ่อนแล้ว บริเวณด้านในลึกเข้าไปในชุมชน ปรากฏพบมีการก่อสร้างอาคารยังไม่แล้วเสร็จ ภายในไม่พบนักพนัน มีเพียงอุปกรณ์ อาทิ โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ลิ้นชักใส่เอกสาร ที่คาดว่าจะเคยใช้ในการเล่นพนัน และมีความเป็นไปได้ที่จะเตรียมเปิดลักลอบเล่นพนันอีกครั้ง และการจับกุมบ่อนการพนันในครั้งนี้ เป็นคำสั่งโดยตรงจาก พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐาน ผบ.กองกำลัง หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการคณะทำงานพิเศษ คสช. ที่มีอำนาจสั่งการให้ตรวจค้นจับกุมบ่อนการพนันได้ทั่วประเทศ
----------------------
ผบ.ตร. ชี้กรณีจับบ่อนย่านเตาปูนเป็นการทำงานร่วมระหว่าง ตร. และทหาร ยันจุดดังกล่าวมีการตรวจก่อนที่จะได้รับร้องเรียน

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารบุกค้นบ่อนการพนันย่านเตาปูน ว่า เป็นการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารเนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของการบังคับใช้กฎอัยการศึก พร้อมยืนยันว่าจุดดังกล่าวได้มีการเข้าตรวจค้นก่อนจะมีการร้องเรียนมาแล้วถึง 4 ครั้ง รวมครั้งนี่เป็น 5 ครั้ง โดยที่ผ่านมามีการทำหนังสือบันทึกความร่วมมือในการบุกทลายบ่อนเตาปูน รวมถึงการประชุมที่ผ่านมาตำรวจระดับล่างอาจจะไม่ทราบ เนื่องจากเพื่อให้การทำงานที่ให้บรรลุเป้าหมาย

ด้าน พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีการดำเนินการตรวจค้นมาตลอด แต่ไม่ได้มีการนำเสนอข่าว แล้วทางเจ้าหน้าที่มีบันทึกการตรวจค้นอย่างชัดเจนมาตลอด และเข้าตรวจค้นแต่ละครั้งก็ไม่พบว่ามีการเปิดให้เล่นการพนันนั้น ส่วนกรณีที่เข้าตรวจค้นแล้วไม่พบนั้นเชื่อว่า มีอาจจะมีคนภายในพื้นที่เป็นสายในการแจ้งความเคลื่อน อีกทั้งสถานที่ตั้งบ่อนนั้นอยู่ในชุมชนแออัดเข้าถึงได้อยาก อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีการประชุมพูดคุยหน่วยงานที่รับผิดชอบ แบ่งพื้นที่รับผิดชอบการทำงานให้ชัดเจน อาทิ การบุกทำลายบ่อนการพนัน เป็นหน้าที่ของกองบังคับการกองปราบปราม การค้าประเวณีของกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
/////////////////
กมธ.ร่างรธน.

กมธ.รธน.วัน5งดสื่อฟังขอถกวาระแขวน

การประชุมคณะกรรมธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สัญจร วันที่ 5 จัดขึ้นที่โรงแรงฮอลลิเดย์ อิน พัทยา จ.ชลบุรี โดยวันนี้กรรมาธิการขอความร่วมมืองดสื่อมวลชนเข้าฟังการประชุม 1 วัน เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องถกเถียงหลายเรื่อง อาทิ การกำหนดสัดส่วนของสตรีที่จะเข้าไปเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นจำนวน 1 ใน 3 การกำหนดสัดส่วนของผู้หญิงจำนวน1ใน3ในการเข้ารับการหยั่งเสียงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. รวมถึงกระบวนการก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของพลเมือง ซึ่งถูกแขวนไส้ก่อนหน้านี้

สำหรับการประชุมวานนี้ มีมติเห็นชอบในประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรีให้มาจากการแต่งตั้งของระบบรัฐสภา ให้สมาชิก สส. รับรองไม่เกิน 1ใน5 ส่วนการลงมติเลือกต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด พร้อมกำหนดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีะรัฐมนตรีที่บัญญัติใหม่ จะต้องไม่เป็น สส.  หรือ สว. เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 อีกทั้งต้องแสดงรายการภาษีย้อนหลังเป็นเวลา3ปีต่อประธานวุฒิสภา พร้อมกำหนดบุคคลที่จะไปเป็นเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี หากเป็น สส. จะต้องลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อแยกอำนาจฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกัน และเมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งแล้ว ให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทน ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เมื่อคณะรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งแล้วยังต้องรักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญได้เปิดกว้างให้สามารถเสนอนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ หากเกิดวิกฤตบ้านเมือง โดยจะมีการเขียน พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะรัฐมนตรี ไว้เป็นครั้งแรก เพื่อกำหนดรายละเอียดของคณะรัฐมนตรี
-------------------
พล.อ.เลิศรัตน์ แย้ม รธน.ฉบับใหม่ เกิน 300 มาตรา ยันทุกเรื่องที่บัญญัติไว้ มีเหตุ มีผล หวังสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้ประเทศ

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษากรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และโฆษกคณะกรรมาธิการ เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ว่า การพิจารณารายมาตรา เสร็จสิ้นเกือบครบสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงเรื่องข้อกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 มาตรา และบทเฉพาะกาล ทียังไม่กำหนดว่มีกี่มาตราเท่านั้น ซึ่งถือว่าตลอดระยะเวลาการทำงานนั้น ลุล่วงตามกรอบ ส่วนเรื่องการนับมาตรารวมนั้น เดิมทีหวังไม่ให้เกิน 300 มาตรา แต่จากการพิจารณาทั้งหมดแล้ว อาจจะคุมไม่อยู่ เนื่องจากมีเนื้อหาเพิ่มขึ้น ในภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ที่มีประมาณ 20 มาตรา แต่จะเกิน 300 ไปกี่มาตรานั้น ต้องรอหลังจาก เสร็จสิ้นบทเฉพาะกาล ที่น่าจะพิจารณาได้ ในวันพรุ่งนี้ หรือ วันจันทร์

ทั้งนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกเรื่องที่บัญญัติไว้ มีเหตุ มีผล โดยหวังสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้กับประเทศ และเป็นการยืนยันว่าไม่ได้มีพิมพ์เขียวล่วงหน้าแต่อย่างใด ส่วนเรื่อง ที่ไม่กำหนดคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีให้ชัดเจนนั้น เพราะเห็นว่า ต้องให้สภาเป็นผู้เลือก ซึ่งจะเลือกใครก็ได้ แต่หาก เลือกคนที่เป็น ส.ส. ก็ต้องลาออกจาก ส.ส. เพื่อเป็นการแยกอำนาจ บริหารกับนิติบัญญัติให้ชัดเจนเท่านั้น และไม่ได้บัญญัติว่าให้มีนายกฯ คนนอกได้ ในยามวิกฤติแต่อย่างใด เป็นการตีความกันไปเองทั้งสิ้น ส่วน ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม นั้น เชื่อว่าจะได้บุคลากรที่เหมาะสม และดีกว่าการสรรหาด้วยวิธีการตามรธน. 2550
----------------------
"อลงกรณ์" ปัดแสดงความเห็น ร่าง รธน.ใหม่ หมวดปฏิรูป รอดูทั้งฉบับ นายกฯ เป็นใครก็ได้ มาจากการเลือกของสภา เป็นสิ่งที่รับได้ 

นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการธิการกิจการ สปช. (วิป สปช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า ในวันนี้ จะเป็นเดดไลน์ ให้คณะกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง 18 ด้าน ส่งกรอบความคิด และหลักการปฏิรูป เพื่อเข้าสู่โรดแมป ขั้นที่ 2 ในการทำพิมพ์เขียว และการออกแบบกลไกในการดำเนินการทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน และเข้าสู่ขั้นที่ 3 ต่อไป

ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในหมวดการปฏิรูป โดยระบุว่า ต้องให้ กมธ.ยกร่าง ส่งร่างแรกให้กับ สปช. พิจารณา ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ก่อน เพื่อดูรายละเอียดต่างๆ ทั้งหมด อีกครั้ง ส่วนเรื่องที่กำหนดให้นายกฯ เป็นใครก็ได้ แต่ต้องมาจากการเลือกของสภา ว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เช่นเดียวกับ ที่จะให้ ส.ส.ลาออก หากต้องไปเป็นคณะรัฐมนตรี ว่า กมธ.น่าจะมีความกังวลไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการครอบงำสภาของฝ่ายบริหารนั้นเอง
-------------------
"บวรศักดิ์" ขอประชุมภายในหาข้อยุติประเด็นที่แขวนไว้ 10 เรื่อง ก่อนทบทวนร่างรัฐธรรมนูญ ส่ง สปช. พิจารณา

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณารายมาตรา วันที่ 5 โดยวันนี้ กรรมาธิการขอประชุมเป็นการภายใน เนื่องจากมีประเด็นสำคัญที่ต้องถกเถียงหลายเรื่อง อาทิ การทำสนธิสัญญาตามมาตรา 190 เดิม เรื่องการปฏิรูปสื่อมวลชน การกำหนดสัดส่วนของสตรีที่จะเข้าไปเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น จำนวน 1 ใน 3 การกำหนดสัดส่วนของผู้หญิงจำนวน 1 ใน 3 ในการเข้ารับการหยั่งเสียงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. รวมถึงกระบวนการก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของพลเมือง เรื่องการออกเสียงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละมาตรา และก่อนการประชุม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า กรรมาธิการ จะประชุมเพื่อหาข้อยุติในประเด็นที่แขวนไว้กว่า 10 เรื่อง ให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ จากนั้นจะใช้เวลาตลอดเดือนมีนาคม ทบทวนและเรียงลำดับมาตราของรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนส่งร่างแรกให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ พิจารณาในวันที่ 17 เมษายน หลังจากนั้น อีก 1 สัปดาห์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเข้าร่วมประชุม สปช. เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิก ก่อนนำร่างมาปรับแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง
-----------------
กมธ.รธน.ถกลับประเด็นที่แขวนไว้10เรื่องจบวันนี้

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ วันนี้ ที่ประชุมขอประชุมเป็นการลับ เพื่อพิจารณาประเด็นที่แขวนไว้ก่อนหน้านี้หลายเรื่อง และจะพิจารณาให้เสร็จสิ้นทั้งหมดภายในวันนี้ จากนั้นจะใข้เวลาตลอดเดือนมีนาคมทบทวนและเรียงลำดับมาตราของรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนส่งร่างแรกให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในวันที่ 17 เมษายน

สำหรับการประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน โดยในวันนี้เป็นการพิจารณารัฐธรรมนูญรายมาตราที่ชะลอการพิจารณาไว้ก่อนหน้านี้10เรื่อง เนื่องจากไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้

ทั้งนี้ ใน10เรื่อง ที่ค้างการพิจารณา อาทิ สัดส่วนของสตรีในการเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น การก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของพลเมือง การกำหนดสัดส่วนผู้หญิงจำนวน 1ใน 3 ในการเข้ารับการหยั่งเสียงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. รวมถึงกรณีการกำหนดจำนวนเสียงของสมาชิกรัฐสภาในการเข้าชื่อยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปฏิรูปสื่อมวลชน ที่ต้องการให้ส่งเสริมการปฏิบัติงานวิชาชีพสื่อมวลชนบนความรับผิดชอบ และพัฒนากลไกหลักประกันความอิสระของสื่อมวลชนไม่ให้ถูกครอบงำ และเร่งพัฒนามาตรการและกลไกกำกับให้ดูแลสื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการกำกับดูแลตนเองด้านจริยธรรม การกำกับดูแลโดยภาคประชาชน และคุ้มครองการรู้เท่าทันสื่อ ตลอดจนการพิจารณาประเภทหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องผ่านรัฐสภา ที่มีหลักการคล้ายกับมาตรา190 ของรัฐธรรมนูญ 2550

อย่างไรก็ตาม และก่อนการประชุม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประการมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า กรรมาธิการจะประชุมเพื่อหาข้อยุติในประเด็นที่แขวนไว้กว่า 10 เรื่อง ให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้

จากนั้นจะใข้เวลาตลอดเดือนมีนาคมทบทวนและเรียงลำดับมาตราของรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนส่งร่างแรกให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในวันที่ 17 เมษายน หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเข้าร่วมประชุม สปช. เพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิก ก่อนนำร่างมาปรับแก้เพิ่มเติมอีกครั้ง
------------------
กมธ.ยกร่าง ตัดมาตรา 189 ออก แจงเป็นการให้อำนาจนายกฯ มากเกินไป ชี้มีกฎหมายใช้ได้ตามสถานการณ์แล้ว

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงการตัดมาตรา 189 ที่ได้มีการยกร่างระบุว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อย หรือกรณีที่เกิดความขัดแย้งอันอาจนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือนอกราชอาณาจักร จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะมีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นในการจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ หลังจากที่มีการหารือกันอย่างเป็นทางการกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เนื่องจากมองว่า มาตรานี้เป็นการให้อำนาจกับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลมากเกินไป เพราะอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎหมายฉุกเฉิน กฎอัยการศึกต่าง ๆ สามารถนำมาบังคับใช้อยู่แล้ว จึงเห็นว่าไม่ควรที่จะบัญญัติไว้
------------------------
กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณามาตราที่แขวนไว้ว่าด้วยเรื่องการทำหนังสือสนธิสัญญากับต่างประเทศ

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ของการสัมมนานอกสถานที่ ล่าสุด ยังอยู่ในช่วงการประชุมเป็นการภายใน ที่พิจารณาประเด็นที่มีการแขวนไว้กว่า 10 เรื่องที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ โดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ประชุมจะพิจารณามาตรา 196 ที่คณะอนุกรรมาธิการบทบัญญัติรัฐธรรมนูญรายมาตรา ได้มีการยกร่างไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้พระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเปิดเผยอีกว่า รัฐธรรมนูญมีการบัญญัติใหม่ในมาตรา 201 บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญและผู้รับสนองพระบรมราชโองการย่อมต้องรับผิดชอบทางกฎหมายและทางเมือง
--------------------------------
บวรศักดิ์พอใจกมธ.ยกร่างพัทยาชี้ถกมาตรารวดเร็ว

ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พอใจการพิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญรายมาตรา นอกสถานที่ พร้อมยอมรับสามารถทำให้สามารถพิจารณาได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะหวดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า การจัดการประชุม กรรมาธิการนอกสถานที่ ทำให้การพิจารณาเรื่องสำคัญผ่านได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะหมวดที่มีจำนวนมาตรามาก รวมถึงหมวดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เห็นได้จากกรรมาธิการสามารถพิจารณาได้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นอีกช่องทางให้กรรมาธิการได้รู้จักกันมากขึ้น เพราะหลังการประชุมได้นัดทานอาหารค่ำร่วมกัน ใช้โอกาสนั้นแลกเปลี่ยนทัศนะคติ ปรับความเข้าใจ หลังการประชุมถกเถียงกับเข้มข้น และในช่วงการปรับแก้ไขเพิ่มเติมรอบสุดท้ายอาจต้องอาจต้องจัดการประชุมลักษณะนี้อีกครั้ง ส่วนการประชุมครั้งนี้ ส่วนตัวพอใจ กับการประชุมครั้งนี้ เพราะเป็นไปตามกรอบที่วางไว้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่า การพิจารณาจะแล้วภายในวันนี้ โดยจะนำเอาบทเฉพาะกาลไปพิจารณาที่ กทม.

สำหรับการพิจารณารายมาตรา ที่ประชุมได้พิจารณาไป 291มาตราแล้ว โดยได้ตัดมาตรา 189 ที่ได้มีการยกร่างระบุว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อย หรือกรณีที่เกิดความขัดแย้งอันอาจนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นในประเทศ  ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือนอกราชอาณาจักร จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะมีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นในการจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ หลังจากที่มีการหารือกันอย่างเป็นทางการกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

 ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่า คณะกรรมาธิการฯมองว่ามาตรานี้เป็นการให้อำนาจกับนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลมากเกินไป เพราะอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย ทั้งพรบ.ความมั่นคง กฎหมายฉุกเฉิน กฎอัยการศึกต่าง ๆ สามารถนำมาบังคับใช้อยู่แล้ว จึงเห็นว่าไม่ควรที่จะบัญบัญญัติไว้
-------------------
บวรศักดิ์ พอใจประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญ นอกสถานที่ ชี้พิจารณารายมาตราได้เร็ว โดยเฉพาะประเด็นนักการเมือง

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า การจัดการประชุมกรรมาธิการนอกสถานที่ ทำให้การพิจารณาเรื่องสำคัญผ่านได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะหมวดที่มีจำนวนมาตรามาก รวมถึงหมวดที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เห็นได้จากกรรมาธิการสามารถพิจารณาได้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นอีกช่องทางให้กรรมาธิการได้รู้จักกันมากขึ้น เพราะหลังการประชุมได้นัดทานอาหารค่ำร่วมกัน ใช้โอกาสนั้นแลกเปลี่ยนทัศนะคติ ปรับความเข้าใจ หลังการประชุมถกเถียงกันเข้มข้น และในช่วงการปรับแก้ไขเพิ่มเติมรอบสุดท้ายอาจต้องจัดการประชุมลักษณะนี้อีกครั้ง

ส่วนการประชุมครั้งนี้ ส่วนตัวพอใจ เพราะเป็นไปตามกรอบที่วางไว้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าการพิจารณาจะแล้วภายในวันนี้ โดยจะนำเอาบทเฉพาะกาลไปพิจารณาที่กรุงเทพมหานคร
---------------------
รมว.พม. ตั้งรับเยียวยาประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พร้อมกำชับเยียวยาเด็กถูกกระทำชำเราที่สระบุรี

พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการชดเชยเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ เพื่อสร้างความปรองดอง โดยมาตรการเยียวยาด้านมนุษยธรรมที่ไม่ใช่ตัวเงิน มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ร่วมกับศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) สำรวจปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการเยียวยาด้านมนุษยธรรมของผู้ได้รับผลกระทบฯ อาทิ การบำบัดฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ การช่วยเหลือหาอาชีพ การให้คำแนะนำด้านกฎหมาย เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้เตรียมความพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนทุกคนที่ได้ผลกระทบดังกล่าว โดยเบื้องต้นตนได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อเท็จจริงและข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งข้อกำหนดกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อให้มีความพร้อมในมาตรการเยียวยาด้านมนุษยธรรมที่ไม่ใช่ตัวเงิน โดยมุ่งเน้นการเยียวยาประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง

“จากกรณีพ่อ อายุ ๓๘ ปี ข่มขืนกระทำชำเราลูกสาววัย ๑๕ ปี เป็นระยะเวลานานกว่า ๓ ปี ภายหลังแม่เด็กเลิกกันแล้วหนีไป โดยบังคับลูกสาวห้ามบอกใคร จนกลายเป็นเด็กซึมเศร้า และขณะนี้ตรวจพบว่าเด็กตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือน ที่จังหวัดสระบุรี ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระบุรี (พมจ.สระบุรี) เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น พร้อมทั้งฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจเด็กอย่างเร่งด่วน รวมทั้งประสานสถานพยาบาลดูแลเรื่องการตรวจสุขภาพร่างกายและครรภ์ของเด็ก อีกทั้งประสานกับสถานศึกษา เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง”
------------------------
พล.อ.เลิศรัตน์ แถลงบทสุดท้ายของร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดแก้ไขเพิ่มเติม 5 มาตรา

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการพิจารณาเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญว่า ล่าสุดที่ประชุมได้ผ่านการพิจารณา เนื้อหาของบทสุดท้ายในร่างรัฐธรรมนูญ โดยได้บัญญัติ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีทั้งสิ้น 5 มาตรา กำหนดวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้เป็นเจ้าหน้าที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี หรือ ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิก หรือ ส.ส. และ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของทั้งสองสภา หรือประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน เข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ เมื่อผ่านการพิจารณาขอรัฐสภาทั้งสามวาระต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 เมื่อผ่านการพิจารณาแล้ว ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความถูกต้องก่อนภายใน 30 วัน หากศาลวินิจฉัยว่าไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป
---------------------
"พล.อ.อนุพงษ์" ไม่วิจารณ์การยกร่างรัฐธรรนูญ รอให้มีข้อยุติ โยน สปช. ดูทำประชาพิจารณ์ ยังไม่ได้รับติดต่อให้ข้อมูลสลายม็อบ 53

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี ที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งในเรื่องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการสรรหา จะทำให้การปฏิรูปล่าช้าหรือไม่ ว่า ต้องรอข้อยุติของ กมธ.ยกร่างฯ ก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ เชื่อว่าขณะนี้มีความเห็นที่หลากหลายจึงขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวร่วมกันหาข้อสรุปให้ได้ก่อน

ส่วนเมื่อได้ข้อสรุปแล้วควรจะทำประชาพิจารณ์หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพราะหากตนเองให้ความเห็นตอนนี้อาจจะเป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนและยอมรับเมื่อผลของการปฏิรูปเสร็จสิ้น ทั้งนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญออกมาแล้วก็ไม่อยากให้ออกมามีความขัดแย้งต่อกัน

นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ทำหนังสือแจ้งให้ไปให้ถ้อยคำในคดีสั่งสลายการชุมนุมปี 2553 มาแล้วหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ได้รับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
///////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

นายกฯ เข้าทำเนียบ ติดตามงาน มอบ "วิษณุ" เป็นประธานพิธีมอบรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” การรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

ความเคลื่อนที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงสายของวันนี้ ซึ่งคาดว่าเป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของฝ่ายต่าง ๆ ตามปกติ ส่วนบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล โดยทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่เช่นเคย

อย่างไรก็ตาม สำหรับวาระงานภายในทำเนียบรัฐบาลที่น่าสนใจในช่วงบ่ายนี้ ในเวลาประมาณ 14.00 น. นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” ครั้งที่ 24 ประจำปีพุทธศักราช 2557 ที่ ตึกสันติไมตรี ขณะที่ในเวลาเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์  ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
--------------------
ตั้งคณะอนุกรรมการฯ 4 คณะ ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตามนโยบายรัฐบาล

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งที่ 1โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้เนื่องจากนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดทัศนียภาพสวยงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างสัญลักษณ์แห่งใหม่ (Landmark) รวมทั้งแนวคิดและออกแบบพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา รองรับการสัญจรด้วยจักรยาน หรือ bike lane

โดยที่ประชุมได้เสนอตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนโครงการด้านต่างๆ 4 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการฯ ด้านการบริหารโครงการ คณะอนุกรรมการฯ ด้านการออกแบบและภูมิสถาปัตย์ คณะอนุกรรมการฯ ด้านกฎหมาย และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ เพื่อเร่งโครงการให้สัมฤทธิ์ผล โดยคณะกรรมการทั้ง 4 คณะ จะเร่งหาข้อสรุป เพื่อส่งให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดำเนินการต่อไป
-----------------------
นายกฯ เข้าทำเนียบ ติดตามงาน มอบ "วิษณุ" เป็นประธานพิธีมอบรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” การรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

ความเคลื่อนที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงสายของวันนี้ ซึ่งคาดว่าเป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของฝ่ายต่าง ๆ ตามปกติ ส่วนบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล โดยทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่เช่นเคย

อย่างไรก็ตาม สำหรับวาระงานภายในทำเนียบรัฐบาลที่น่าสนใจในช่วงบ่ายนี้ ในเวลาประมาณ 14.00 น. นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” ครั้งที่ 24 ประจำปีพุทธศักราช 2557 ที่ ตึกสันติไมตรี ขณะที่ในเวลาเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์  ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
--------------------
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทยเข้ายื่นหนังสือถึงนายกฯ รายชื่อที่เสนอไม่ตรงกับที่ภาครัฐส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ

เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) นำโดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ นายรุ่งชัย จันทสิงห์ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมี นายกมล สุขสมบูรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ

ทั้งนี้ นายปานเทพ ระบุว่า จากการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนนั้น มีรายชื่อที่ภาคประชาชนเสนอไปไม่ตรงกับรายชื่อที่ภาครัฐส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ มองว่า เจ้าหน้าที่อาจไม่ทราบถึงรายชื่อดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดในการดำเนินการและมีความพยายามในการแทรกแซงการกำหนดตัวแทน โดยเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ รายชื่อที่เปิดเผยมาไม่มีชื่อของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งถือเป็นการทำลายบรรยากาศความจริงใจในการเจรจาหาทางออกด้านการปฏิรูปพลังงานของประเทศ

อย่างไรก็ตาม ได้มอบให้ นายปานเทพ เป็นผู้ประสานงานกับภาครัฐและภาคประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
--------------------------
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย เสนอรัฐตั้ง คกก.ร่วม 3 ชุด ทำงานครอบคลุมทุกประเด็นคู่ขนาน นโยบายของรัฐ แก้ กฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องกัน

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ในนามเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคประชาชน 3 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการจัดสรรทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศ คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิรูปกฎหมายปิโตรเลียม และคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและประชาชนในการบริหารจัดการปิโตรเลียมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อให้การทำงานครอบคลุมทุกประเด็นและคู่ขนานไปกับนโยบายของรัฐ พร้อมเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม กฎระเบียบ อำนาจอื่นๆ รวมถึง พ.ร.บ.ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ไม่มีความครอบคลุม

ทั้งนี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายกรัฐมนตรี ระบุให้มีผู้รับผิดชอบในเรื่องของพลังงาน ว่า ได้เสนอให้เปิดการสำรวจแหล่งพลังงานในแปลงใกล้เคียงกับแหล่งสัมปทานที่มีการขุดเจาะไปแล้ว สามารถตราเป็นพระราชกำหนดได้ทันที เพื่อเป็นการยืนยันว่า มีแหล่งพลังงานอยู่จริง และป้องกันข้อครหา โดยเชื่อว่า การสำรวจจะแล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน
----------------------
"พลังงาน" ชี้ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการร่วมดูแก้ไขกฎหมายสัมปทาน ด้านกรมเชื้อเพลงส่งตัวแทนร่วมสังเกตการณ์

นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวยกเลิกประกาศเชิญชวนให้นักลงทุนยื่นขอสิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 21 หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานลงนามเมื่อวานนี้ ว่า หลังจากนี้ กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้แก้ไขกฎหมายปิโตรเลียม หรือร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมใหม่ หรือออกกฎหมายเพื่อรองรับระบบแบ่งปันผลผลิต หรือพีเอสซี ตามนโยบายรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการร่วมฯ ภาครัฐ-ประชาชน เพื่อหารือเรื่องนี้ เพราะกระทรวงพลังงานได้ให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวมาหลายปี โดยหาก สนช. จะเรียกฝ่ายใดไปให้ข้อมูลก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ โดยกรมเชื้อเพลิงฯ ส่งตัวแทน 2 คน ในกรรมาธิการวิสามัญเพื่อแก้ไขกฎหมายของ สนช. เบื้องต้นให้ไปสังเกตการณ์และรับฟังความเห็นในที่ประชุมก่อน

ขณะที่ข้อเสนอให้รัฐดำเนินการสำรวจและจัดจ้างเอกชนเข้าสำนวจนั้น ไม่มีประเทศใดที่รัฐบาลจะลงทุนสำรวจเอง เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงสูง โดยจะเห็นได้ว่าสัมปทานรอบ 20 ที่ผ่านมามีเอกชนลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาท แต่พบเจอแหล่งที่คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในประมาณน้อยมาก 1 แปลง ซึ่งหากรัฐลงทุนหรือใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มี 2 หมื่นล้านบาท มาลงทุนตามที่ฝ่ายประชาชนเสนอแล้ว เงินกองทุนจะหมดลงโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร
----------------------
กรมเชื้อเพลิงฯ เผย หากไม่เปิดสัมปทานรอบ 21 ส่งผลปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลือใช้ 6 ปี

นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า กรมเชื้อเพลิงฯ ยังยืนยันว่า ไทยควรจะเปิดโอกาสให้กับประเทศในการสำรวจฯ ปิโตรเลียม เนื่องจากปัจจุบันไทยมีใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อการผลิตไฟฟ้า 5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่การผลิตในประเทศอยู่ที่ระดับ 3,000 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ที่เหลือเป็นการนำเข้าทั้งจากแหล่งพัฒนาร่วมไทยมาเลเซีย (JDA) 780 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และการนำเข้าจากพม่า 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน พร้อมนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯ ของไทยเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับการผลิตที่ลดน้อยลงและปริมาณสำรอง P1 ที่ค้นพบและมั่นใจ สัดส่วนร้อยละ 90 จะลดลงจากเดิม 7 ปี เหลือประมาณ 6 ปี ซึ่งการสำรวจเพื่อผลิตในประเทศหวังจะรักษาระดับการผลิตให้อยู่ในระดับ 3,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ไม่ให้ลดลงมาก เพื่อไม่ให้ไทยต้องนำเข้า LnG สูงในจำนวน 1400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2561 ซึ่งจะมีราคาแพง และจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน ประกอบกับสิ่งสำคัญคือ LNG ที่นำเข้าจะไม่สามารถนำมาผลิตปิโตรเคมีที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ นางพวงทิพย์ กล่าวด้วยว่า การยกเลิกประกาศสัมทานปิโตรเลียมรอบ 21 ยอมรับว่ากระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งเอกชน 1 รายที่ได้เสนอขอสัมปทานรอบ 21 ทางกรมฯ จะทำหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการโดยเอกชนก็มีความเข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศไทย

--------------------

นายกฯ เก็บตัวทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าตลอดทั้งวัน ขณะ พล.อ.ประวิตร เรียกประชุม คกก.นโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์

ความเคลื่อนที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยังปฏิบัติงานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้าตลอดทั้งวัน โดยเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่ห้องสีเขียว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) โดยมีข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวก่อนเริ่มวาระการประชุมว่า ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์เป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่า
10 ปี รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เนื่องจากมีผลกระทบต่อความมั่นคง สังคม รัฐบาลจึงพยายามแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ที่ขณะนี้สหรัฐอเมริกา และยุโรป กำลังติดตามการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ทั้งในส่วนรายงานการค้ามนุษย์และการทำประมงที่ผิดกฎหมาย
-------------------------
"พล.อ.ประวิตร" โยนกรรมาธิการยกร่างฯ สรุปที่มานายกรัฐมนตรี ยันทหารร่วม ตร.ปราบบ่อน - คดีมาร์คยึด กม.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธแสดงความเห็นกรณีที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. โดยระบุว่าต้องปล่อยให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการ แต่ทั้งนี้มองว่ายังต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอน ส่วนกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ทหารมีการจับกุมบ่อนการพนันในพื้นที่กรุงเทพมหานครบ่อยครั้งในช่วงนี้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้ดำเนินการอยู่ แต่อาจเป็นบ่อนวิ่ง โดยกำชับแล้วว่าไม่ให้มีการทำสิ่งผิดกฎหมาย และคงไม่ต้องกำชับตำรวจเพิ่มเติม เนื่องจากทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เร่งรัดแล้ว ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้มีการประสานงานกันเพื่อดูแลในเรื่องนี้

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังยืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายในกรณีที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. จะแจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และพระปภากโร หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 โดยยืนยันว่า ส่วนตัวยึดถือกฎหมายเป็นหลัก

////////////
กองทุนหมู่บ้าน

"สุวพันธุ์" ประธานเปิดการสัมมนาเพื่อมอบนโยบายกองทุนหมู่บ้าน "กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาชน" 

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อมอบนโยบายกองทุนหมู่บ้าน "กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาชน" ของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเดินหน้ากองทุนหมู่บ้านภายใต้แนวคิด "ส่งความสุข สร้างความรู้ เสริมคุณธรรม ควบคู่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทย พ้นจากความยากจน ด้วยกองทุนหมุนเวียนกว่า 2 แสนล้านบาท และเงินออมเงินสมทบกว่า 2.6 หมื่นบ้านบาท โดยการสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้นที่ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป
------------------
"สุวพันธุ์" ย้ำ กองทุนหมู่บ้าน เป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสัมมนาในครั้งนี้ จะถือเป็นการเริ่มต้นงานด้านกองทุนหมู่บ้านอย่างจริงจัง โดยเมื่อวานที่ผ่านมา ได้ประชุมคณกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งได้มีการอนุมัติงบประมาณระยะ 3 กว่า 5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มเงินทุนให้กับกองทุนหมู่บ้านกว่า 5 พันกองทุน ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว จากกองทุนทั้งหมดกว่า 12,000 กองทุน นำไปหมุนเวียนและช่วยเหลือประชาชนต่อไป ซึ่งบประมาณในส่วนนี้นั้น ติดขัดมานานกว่า 2 ปี ส่วนกองทุนที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ เนื่องจากมีปัญหาการคลังชำระหนี้ โดยหลังจากสำนักงานกองทุนจะตั้งคณะกรรมการไปแก้ไขดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สำนักนายกรัฐมนตรี จะร่วมกับ กระทรวงการคลัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารออมสิน และภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการใหม่ๆ ของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามแนวนโยบายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม นายสุวพันธุ์ ย้ำว่า การดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านเป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการสร้างความมั่งคง อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีประชาชนเป็นเป้าหมาย โดยวางแผนว่าจะลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับพนักงานกองทุนหมู่บ้านทุกภูมิภาคด้วย
///////////////
SCBใช้เงิน1.5พันล้าน

สื่อมวลชนเกาะติด คดี แบงก์ไทยพาณิชย์ เตรียมแถลงชดใช้คดีโกง สจล. 1,500 ล้าน แน่นห้องประชุม สกอ.

บรรยากาศที่ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ. มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เดินทางมาติดตามสถานการณ์ กรณีที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. และธนาคารไทยพาณิชย์ เตรียมร่วมกันแถลงข่าว "การบรรลุข้อตกลง" โดย ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. และ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ. หลังคดียักยอกทรัพย์ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ส่งผลให้เกิดความเสียหายกว่า 1,600 ล้านบาท

ซึ่งในเบื้องต้นทั้งสองสถาบัน ได้บรรลุข้อตกลงในการร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยทาง ธนาคารไทยพาณิชย์ จะให้เงินเพื่อดูแลความเสียหายในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท แก่ สจล. เนื่องจากปรากฏว่า มีพนักงานของธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต ทั้งนี้ การทำข้อตกลงข้างต้นจะไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้ทุจริตและทั้ง 2 สถาบัน ยืนยัน ให้ความช่วยเหลือและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดจนถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 สถาบัน จะแถลงรายละเอียดการบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ ในเวลา 10.00 น.
-----------------
ธนาคารไทยพาณิชย์ ยอมชดเชยค่าเสียหาย 1,500 ล้านบาท ให้ กับ สจล. ยืนยัน ให้ความร่วมมือตำรวจหาผู้กระทำผิดเต็มที่ - ด้าน รักษาการแทนอธิการบดี ปัด สจล. ปัดขาดสภาพคล่อง 

นายกำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา สกอ. นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พร้อม นายโมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. แถลงภายหลังธนาคารไทยพาณิชย์ และ สจล. ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแก้ไขปัญหาคดียักยอกเงินคงคลัง ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่เกิดขึ้น โดยธนาคารจะให้เงินเพื่อชดเชยความเสียหายในวงเงิน 1,500 ล้านบาท แก่ สจล. ตามมูลค่าความเสียหายที่ สจล. ได้ประเมินไว้ พร้อมยืนยันจะให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ในการส่งเอกสารหลักฐานทางคดี

ทั้งนี้ นายวิชิต กล่าวว่า ธนาคารยึดหลักธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อลูกค้า จึงดำเนินการชดเชยเงินดังกล่าวให้ทาง สจล เนื่องจากปรากฎว่าคดีนี้มีพนักงานธนาคารเกี่ยวข้องกับการทุจริต และหากปล่อยให้เหตุการณ์นี้ยืดเยื้อจะส่งผลต่อชื่อเสียงต่อของทั้งสองสถาบัน

ด้าน นายโมไนย กล่าวว่า ทางสถาบันมีความพอใจ และอยากให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำหรับทุกสถาบัน และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ส่วนการบริหารจัดการด้านการเงินของ สจล. จะมีแก้ไขการจัดการรัดกุมให้มากขึ้นในทุกๆ กระบวนการธุรกรรมทางการเงินต้องตรวจสอบได้ และขณะนี้ ได้มีการตรวจสอบการทำธุรกรรมย้อนหลังไปถึงปี 2551 ซึ่งยังไม่พบความผิดปกติ หรือพบผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ส่วนกรณีที่มีสื่อบางสำนัก นำเสนอพาดพิงว่า สถาบันขาดสภาพคล่องทางการเงินนั้น ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะเงินที่ถูกยักยอกไปนั้น เป็นเงินคงคลังของ สจล. และยืนยันว่า ไม่ใช่การกดดันจากธนาคารเพื่อให้ทำธุรกรรมร่วมกันต่อ แต่เป็นการแสดงน้ำใจและความรับผิดชอบจากทางธนาคาร

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้ เป็นต้นไปการให้ข้อมูลต่าง ๆ ทางคดี ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางคดี
-----------------
พฐ. ส่งลายเซ็นคดี สจล. คืนกองปราบ แล้ว ยืนยันลายมือชื่อตรงกับอดีตผู้บริหารที่ถูกจับก่อนหน้านี้

พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการปราบปราม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีลักทรัพย์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กว่า 1,474 ล้านบาท เปิดเผยความคืบหน้าว่า ภายหลังจากที่เราได้ส่งลายเซ็นชื่อบุคคลที่มีอำนาจลงนามการทำธุรกรรมการเงินของ สจล. ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจไปนั้น ล่าสุด กองพิสูจน์หลักฐานได้ส่งผลการตรวจสอบลายเซ็นมาให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว ซึ่งผลการตรวจ 90 เปอร์เซ็นเป็นลายเซ็นที่เป็นบุคคลคนเดียวกันตามที่ พฐ. ยืนยัน ซึ่งใน 90 เปอร์เซ็นนี้ มีลายเซ็นชื่อของอดีตผู้บริหารที่โดนจับกุมไปก่อนหน้านี้ด้วย จะมีอีกบางลายเซ็นที่การตรวจเรียกว่าใกล้เคียงเพราะว่าลายเส้นหรือตัวอย่างที่เราส่งไปเปรียบเทียบยังยืนยันร้อยเปอร์เซ็นไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เรายังคงทำงานกันตลอดไม่มีวันหยุด เพื่อจัดส่วนเส้นทางการเงินของแต่ละคนและเรียบเรียงพยานหลักฐานทั้งหลายก่อนสรุปสำนวนทั้งหมด คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะเสร็จ พ.ต.อ.ณษ กล่าวอีกว่า ส่วนทางอดีตผู้บริหาร สจล. ที่ถูกจับกุมตัวและได้รับการประกันตัวไปนั้นเรามั่นใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดี รวมถึงผลตรวจลายเซ็นที่ออกมาเป็นการใช้หลักวิทยาศาสตร์มาช่วยยืนยัน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายจับบุคคลใดเพิ่ม ในชั้นนี้เราพบพยานหลักฐานถึงแค่นี้ โดยภาพรวมหลังจากส่งฟ้องผู้ต้องหาในชุดแรกเสร็จสิ้นแล้ว ยังมีอีกชุดนึงที่เรากำลังสอบสวนหลังจากเรื่องนี้เสร็จ ยังต้องตรวจสอบบัญชีที่มีการหายในช่วงต่าง ๆ ซึ่งยังมีอีกประมาณ 4-5 บัญชี ซึ่งยังต้องตรวจสอบกันอีก ซึ่งตอนนี้ก็มีพยานหลักฐานมาบ้างแล้ว
///////////
คดีมั่นคง

ผบ.ตร. สั่งให้ จนท.ทุกนายงดให้ข่าวเกี่ยวกับการจับผู้ต้องสงสัยที่เป็นชาวต่างชาติ พร้อมฝากสื่อเผยแพร่ข่าวอย่างระวัง

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดย พลตำรวจเอก สมยศ กล่าวว่า วันนี้เป็นการมอบนโยบายอย่างเป็นทางการ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกนายทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติใช้ ส่วนที่ผ่านมาที่ตำรวจไม่ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนนั้นคงปฏิเสธไม่ได้เป็นเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง ซึ่งในเรื่องนี้ผู้บัญชาการพร้อมจะเปลี่ยนแปลงแล้ว และผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อทำให้เกิดความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน แต่หากไม่สามารถทำได้ สิ่งนี้ก็จะก้าวไปสู่การปฏิรูปตำรวจ แต่ตนบอกเสมอว่าอย่าไปกลัวการปฏิรูปหากการปฏิรูปนั้นทำให้ประชาชนมีความสุข และทำให้ได้รับการเคารพศรัทธาคืนมา พร้อมกันนี้ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสำคัญและปฏิบัติตามนโยบายของ คสช. และรัฐบาล อาทิ การปราบปรามอบายมุข ที่ผิดกฎหมาย การจับกุมบ่อนการพนัน การค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว การค้าประเวณี พร้อมให้ความสำคัญอำนวยความสะดวก และป้องกัน เรื่องอาชญากรรมการก่อการร้าย ต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเน้นดำเนินคดีตามกฎหมายและใช้วาจาที่สุภาพ ส่วนเรื่องมาตรการและการทำงานของเจ้าหน้าที่นั้นตนค่อนข้างพอใจ ขณะเดียวกันตนก็ได้สั่งการและห้ามเจ้าหน้าที่ทุกนายให้ข่าวเกี่ยวกับการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยที่เป็นชาวต่างชาติหรือผู้ร้ายข้ามแดนที่ก่อเหตุและหลบหนีการจับกุมมา รวมถึงฝากไปยังผู้สื่อข่าว ให้ระมัดระวัง เนื่องจากการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ตนหวังว่าเจ้าหน้าที่ทุกนายจะนำนโยบายดังกล่าวไปยึดถือปฏิบัติเป็นแนวทางเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนกลับมา
-----------------
ผบ.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างยานรกใน กทม. สามารถจับกุมได้ 18,000 คดี พร้อมยึดของกลางเพียบ

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามนโยบายของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีการเร่งรัดให้จับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ซึ่งจากผลการดำเนินการที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 57 - กุมภาพันธ์ 58 สามารถจับกุมคดียาเสพติด ได้กว่า 18,000 คดี ผู้ต้องหาอีกกว่า 18,000 คน จับกุมผู้ต้องหาในคดีค้างเก่าจำนวน 63 ราย ยึดของกลางยาบ้า กว่า 74,000 เม็ด ยาไอซ์ 10,058 กรัม กัญชา 2,982 กรัม ตรวจยึดทรัพย์สินในคดียาเสพติด กว่า 10 ล้านบาท พร้อมนำผู้ติดยาเสพติดเข้าบำบัดจำนวน 2,221 ราย และในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1-26 ก.พ. ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดตั้งหน่วย ซีซีโอซี ระดมกวาดล้างยาเสพติด ในการกวาดล้างจับกุมอย่างเข้มข้น โดยมีการปิดล้อมตรวจค้นกว่า 120 จุด ตามแหล่งแพร่ระบาด จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 3,232 ราย ผู้ต้องหา 3,77 คน พร้อมของกลางยาบ้า 184,993 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 1,948 กรัม กัญชา 1,391 กรัม ยึดทรัพย์สิน มูลค่าทั้งสิ้น 5,211,680 บาท ทั้งนี้ ยังมีการจับกุมผู้ต้องหาในข้อหาต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองได้อีก 118 คน จับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธและเครื่องกระสุนปืนได้ 16 คน อาวุธปืน 20 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 130 นัด

อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการตามนโยบายและมาตรการดังกล่าว บช.น. คาดว่าจะสามารถลดปัจจัยการก่อเหตุคดีอาญาทั่วไปให้ลดไปได้ในระดับหนึ่ง และสามารถกำจัดผู้ค้าในชุมชนและแหล่งแพร่ระบาดได้ในที่สุด
/////////////
ไฟไหม้ระเบิด

สุโขทัยชาวบ้าน อ.สวรรคโลก เจอลูกระเบิดลูกเกลี้ยงสภาพพร้อมใช้งานในสวนกล้วย

ร.ต.อ.สาธิต ไชยแก้ว สารวัตรเวรสายตรวจรถยนต์ สภ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า มีชาวบ้านพบวัตถุระเบิดบริเวณซอยลอยกระจ่าง ถ.ประชาราษฎร์ ต.เมืองสวรรคโลก อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สายตรวจบริเวณลานดินกลางซอยพบชาวบ้านจำนวนมากกำลังจับกุมยืนมุ่งดูลูกระเบิดอยู่ใต้ต้นกระจี้ จึงได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า เป็นลูกระเบิดชนิดลูกเกลี้ยง ยังอยู่ในสภาพใช้งานพร้อมระเบิด เนื่องจากสปริงบริเวณด้านท้ายได้หลุดออก จึงได้กันชาวบ้านออกจากจุดเกิดเหตุและนำยางรถยนต์มาครอบไว้ ซึ่งจากการสอบถาม นายมนัส รักถิ่น อายุ 45 ปี ผู้ที่พบระเบิดดังกล่าวทราบว่า ตนได้เข้าไปหาหัวปลีเพื่อนำมากินกับน้ำพริกในสวนหลังบ้านพบระเบิดจึงได้นำไปวางไว้ที่ลานดินหน้าบ้านก่อนที่จะโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดจากจังหวัดสุโขทัยมาทำการเก็บกู้ต่อไป
-----------------
เพลิงไหม้ห้างคลังพลาซ่า กลางเมืองโคราช คนวิ่งหนีแตกตื่น โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ

เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไม้ห้างสรรพสินค้าคลังพลาซ่า เป็นห้างเก่าแก่ของ จ.นครราชสีมา ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยเพลิงได้ลุกไหม้ชั้นล่างของห้าง ที่กั้นเป็นห้องอยู่ระหว่างการปรับปรุง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ขณะที่กลุ่มควันไฟได้กระจายคลุ้งไปทั่วบริเวณภายในห้าง ทำให้ประชาชนที่ไปจับจ่ายซื้อของ และพนักงาน ต่างวิ่งหนีออกมาอย่างแตกตื่น อย่างไรก็ตาม การเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด
////////////
เศรษฐกิจ

สศอ. เผย ดัชนี MPI ม.ค. 58 ติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 22 ที่ 1.3% คาดกลับมาเป็นบวกครึ่งปีหลัง จากนโยบายภาครัฐ

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2558 หดตัวร้อยละ 1.3 ซึ่งเป็นการหดตัวเดือนที่ 22 ติดต่อกัน แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่น้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่หดตัวร้อยละ 5.59 ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญส่วนใหญ่ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ 19 เดือน

ทั้งนี้ สศอ.ประเมินว่า ดัชนี MPI จะสามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากแรงกระตุ้นของภาครัฐโดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่จะเป็นแรงส่งให้การบริโภคขยายตัวได้ และส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวตาม โดยในขณะนี้เริ่มเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น โดยภาครัฐได้เริ่มเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลใน 3-4 เดือนนับจากนี้ ประกอบกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้เริ่มดำเนินการมากขึ้น แม้บางส่วนยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง แต่เมื่อรัฐมีเป้าหมายการลงทุนชัดเจน มีการนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบสำหรับการผลิต ก็ส่งต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสะท้อนให้เห็นถึงภาคอุตสาหกรรมจะกลับมาฟื้นตัว
------------------
สศอ. ชี้อุตยานยนต์ฟื้นตัวในเดือน ม.ค. สวนทางไฟฟ้าที่หดตัว ด้านผู้ผลิตย้ายฐานใช้สิทธิ์ GSP ไปประเทศเพื่อนบ้าน

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมหลักในเดือนมกราคมที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัวขึ้น โดยมีการผลิตรถยนต์ จำนวน 166,400 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.30 การส่งออกมีจำนวน 92,440 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.09 โดย สศอ. ประเมินว่าทั้งปี 2558 การผลิตรถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2,130,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.30 เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 930,000 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49 และผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 1,200,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.37 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศและตลาดส่งออกหลักมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย

อย่างไรก็ตาม นายอุดม กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงน้อยละ 6.95 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลงร้อยละ 5.26 จากสินค้า HDD ชิ้นส่วน ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.03 โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องปรับอากาศที่ได้รับผลกระทบจากตลาดส่งออกหลักในยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้ผลิตเครื่องรับโทรทัศน์บางราย อาทิ ค่ายแอลจี และค่ายซัมซุง ย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากมีต้นทุนการผลิต ค่าแรงที่ต่ำกว่าไทย และใช้ประเทศเพื่อนบ้านที่ยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) เป็นฐานการผลิต แต่ทั้งนี้คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าในปี 58 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1-2 จากกำลังซื้อในประเทศตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก
----------------------
กนง. เตรียมทบทวนตัวเลขการส่งออกจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 1 ในการประชุมรอบหน้า

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจ เดือนมกราคมปี 2558 พบว่าการส่งออกสินค้ายังคงมีมูลค่าลดลง หรือติดลบที่ร้อยละ 2.6 ตามราคาสินค้าส่งออกหลายหมวดที่ลดลง อาทิ ปิโตรเลียม ยางพารา และเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นเหตุผลมาจากทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ปรับตัวลดลง ประกอบการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน และกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งการตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือ จีพีเอส ในสินค้าทุกประเภท ในประเทศยุโรป ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย เชื่อว่าการส่งออกไทยทั้งปีจะเติบโตได้ไม่ถึงขั้นถดถอย แต่ยอมรับว่าต้องมีการปรับประมาณการใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 1 อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคมต่อเนื่องเดือนกุมภาพันธ์ตัวเลขภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ดี โดยเริ่มขึ้นร้อยละ 18 จากนักท่องเที่ยวชาวจีนและมาเลเซีย รวมไปถึงช่วยเทศกาลตรุษจีน ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นความหวังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้
------------
ธปท. เผยการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยเดือน ม.ค. 2558 ยังเป็นไปอย่างช้า ๆ ต่ำกว่าที่คาดการณ์

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. แถลงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมกราคม 2558 ว่า การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ ต่ำกว่าที่ ธปท.
คาดการณ์ โดยเฉพาะการบริโภคการใช้จ่ายภาคเอกชน ยังไม่ฟื้นตัว ตามความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่ยังกังวลเกี่ยวกับรายได้อนาคต และหนี้ครัวเรือน สะท้อนที่ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน ยังทรงตัวที่ 108.5 และกำลังซื้อถูกบั่นทอนจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง รายได้เกษตรกรตกต่ำตามราคาผลผลิต ทำให้ประชาชนไม่ใช้จ่ายแม้ราคาน้ำมันลดลง ส่วนใหญ่เก็บออม เพราะไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ซึ่งการบริโภคที่ฟื้นตัวช้า  จะนำเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ครั้งหน้า วันที่ 11 มีนาคม 2558 ว่า นโยบายการเงินควรผ่อนคลายมากขึ้นหรือไม่
//////////

9ตุลาการพิจารณาคดี"ปู"5คนเคยตัดสินคดีชินวัตร

 9 องค์คณะพิพากษาคดี“ปู” -5 คนเคยนั่งบัลลังก์ตัดสิน“ชินวัตร”
ศาลฎีกาเลือก 9 องค์คณะผู้พิพากษาคดีจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” แล้ว พบอย่างน้อย 5 คน เคยนั่งบัลลังก์พิพากษาชินวัตร “ศิริชัย-ชีพ-ธนสิทธิ์” คดี “สมชาย” สลายชุมนุม “วีระพล-ธานิต” คดี “ทักษิณ” ปมกรุงไทยปล่อยกู้-ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ประธานศาลฎีกาเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เป็นองค์คณะผู้พิพากษา โดยวิธีลงคะแนนลับ เพื่อพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อม. 22/2558 ระหว่าง อัยการสูงสุด (อสส.) โจทก์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลย ในคดีอาญาไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.20 น. ที่ประชุมใหญ่มีมติเลือกองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ดังนี้
1.นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา
2.นายวิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา
3.นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา
4.นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา (หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีอาญานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี-พวก กรณีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองในปี 2551)
5.นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา (หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีอาญานายสมชาย-พวก กรณีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองในปี 2551)
6.นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา (หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีอาญานายสมชาย-พวก กรณีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองในปี 2551)
7.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา (หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี-พวก กรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด และบริษัทในเครือ)
8.นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
9.นายธานิต เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา (หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท กรณีการขายหุ้นชินคอร์ปให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก)
โดยหลังจากนี้ ประธานศาลฎีกา จะลงนามรับรองการทำหน้าที่ขององค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ภายใน 5 วัน และจะติดประกาศเพื่อให้คู่ความ (น.ส.ยิ่งลักษณ์) รับทราบ และมีโอกาสคัดค้านผู้พิพากษาที่ได้รับการรับเลือก หลังจากนั้นองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จะประชุมกันเพื่อเลือกผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนในคดีนี้
ต่อมาองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จะต้องร่วมพิจารณาคำฟ้องของ อสส. ว่าชอบด้วยกฎหมายที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ หากองค์คณะลงมติประทับฟ้อง จะกำหนดวันพิจารณาครั้งแรก และส่งสำนวนให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้มาศาลเพื่อต่อสู้คดี และกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานเพื่อดำเนินกระบวนการต่อไป
ทั้งนี้ หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาต่อสู้คดีในวันพิจารณาคดีนัดแรก องค์คณะผู้พิพากษามีสิทธิ์พิจารณาออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้
แหล่งข่าวจากศาลฎีกาฯ เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่า ในองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนดังกล่าว หากนับตามลำดับอาวุโส และไม่มีเหตุขัดข้องอะไรในอนาคต มีบุคคลที่มีโอกาสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเป็นประธานศาลฎีกาฯ จำนวน 3 คน คือ นายชีพ จุลมนต์ นายศิริชัย วัฒนโยธิน และ นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว26/2/58

Jab26Feb15

กมธ.ยกร่าง

บวรศักดิ์โวยสื่อเรียก "ส.ว.ลากตั้ง"

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 09.20 น.ก่อนจะเข้าสู่วาระการประชุมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้แถลงกับสื่อมวลชนถึงกรณีการ

บัญญัติที่มาของวุฒิสภาว่า โทรทัศน์บางแห่งได้ระบุว่าวุฒิสภาชุดใหม่เป็นวุฒิสภาจากการลากตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ารักและเป็นการนำเสนอข่าวไม่ครบถ้วน เนื่องจากวุฒิสภาชุดใหม่ที่คณะ

กมธ.ยกร่างฯได้ให้ความเห็นชอบไปนั้นจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยมาจากบุคคลที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะส.ว.ที่จะมาจากผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมด้านการเมือง การบริหารราชการ

แผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงด้านสังคม ชาติพันธุ์ ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น บุคคลคนเหล่านี้จะมาเป็นส.ว.ได้นั้นจะมาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา เมื่อสรรหาเสร็จ

แล้ว จะต้องนำเสนอบัญชีรายชื่อให้สมัชชาพลเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกของประชาชน มาทำการเลือกบุคคลที่จะมาเป็นส.ว. ดังนั้น การมากล่า

วหาว่าวุฒิสภาชุดใหม่เป็นส.ว.ลากตั้ง จึงไม่ถูกต้อง

นายบวรศักดิ์ระบุว่า ในต่างประเทศก็มีการใช้กระบวนการเลือก ส.ว.เช่นนี้ เช่น ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น การใช้เสรีภาพของสื่อ ผมไม่ได้มีปัญหา คอลัมนิสต์จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ถือว่าเป็น

เสรีภาพ แต่สำหรับการนำเสนอข่าวและมีการใช้การพาดหัวหรือการอ่านข่าวของนักอ่านข่าว จำเป็นอย่างยิ่งต้องนำเสนอให้ครบถ้วนรอบด้านและปราศจากอคติ มิเช่นนั้นแล้วประชาชนจะได้รับ

ข่าวสารเพียงด้านเดียว
-------------------
ดิเรกชี้สว.สรรหา ควรหั่นอำนาจให้เหลือแค่กรองกม.
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี กล่าวถึงมติกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม จำนวน 200 คน มีวาระ 6 ปีว่า โดยหลักการแล้วถ้าส.ว.มา

จากการสรรหาก็ควรมีอำนาจเฉพาะการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายเพียงอย่างเดียว จึงจะถูกต้อง ไม่ควรมีอำนาจอื่นๆร่วมด้วย อาทิ การพิจารณาแต่งตั้ง หรือโยกย้ายข้าราชการ หรือบุคคลอื่นๆด้วย

ซึ่งไม่ใช่หลักการของส.ว. และส่วนตัวเห็นว่า ควรให้มีส.ว.เลือกตั้งอยู่ต่อไป เพราะถือเป็นตัวแทนที่มาจากประชาชนโดยตรง ซึ่งตัวแทนที่มาจากประชาชนสามารถมีอำนาจในการแต่งตั้ง หรือถอด

ถอนได้
-------------------
นิคมติงสว.เลือกตั้งโดยอ้อมอันตรายกว่าสภาฯผัวเมีย
       เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมจำนวนไม่เกิน 200 คนว่า

เรื่องนี้อันตราย เพราะเป็นการลดอำนาจประชาชน แต่เพิ่มอำนาจอดีตข้าราชการของรัฐเข้ามาในสัดส่วนของส.ว.สรรหาเพื่อให้มาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอีกทีหนึ่ง และยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก

หากมีการเพิ่มอำนาจให้ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เพราะจะยิ่งกลายเป็นพรรคการเมืองของข้าราชการขนาดใหญ่ อันตรายกว่าคำว่าสภาฯ ผัวเมียอย่างที่เคยว่ากันไว้แน่นอน เนื่องจากการ

ปฏิบัติงานจะพัวพันและถูกใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการ รวมถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะผู้ตรวจสอบกับผู้ถูกตรวจสอบนั้นมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน
               
       ทั้งนี้ หากถามว่าจะผ่านความเห็นชอบของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)หรือไม่นั้น คงไม่ต้องวิจารณ์ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่สปช.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันจะคัดค้าน อีกทั้งคน

เขียนรัฐธรรมนูญรอบนี้ก็เคยออกแบบหรือลองผิดลองถูกมาหลายครั้งแล้ว ย่อมทราบและรู้ดีว่าเขียนรัฐธรรมนูญแบบไหนแล้วจะเกิดผลแบบใด
///////////
ปปช.

ปปช.ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาอภิสิทธิ์-สุเทพสลายม็อบสัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 11.30 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช. มี

มติแจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กรณีสั่งการใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการ

พลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 ว่า สำหรับการเตรียมส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปยังนาย

อภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้นต้องรอการรับรองมติที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. ก่อน คาดว่าสัปดาห์หน้าคงจะส่งไปยังผู้ถูกกล่าวหาได้ ซึ่งทราบว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเองก็พร้อมที่จะมาแก้ข้อ

กล่าวหาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ทั้ง 2 คนต้องมาดำเนินการแก้ข้อกล่าวหาและชี้แจงข้อกล่าวหาต่อป.ป.ช.ภายใน 15 วัน
               
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ถูกกล่าวหาอ้างพยานจำนวนหลายบุคคล จะพิจารณาอย่างไร นายสรรเสริญ กล่าวว่า หากมีการกล่าวอ้างป.ป.ช.ก็ต้องมาพิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไรหรือไม่ ซึ่งเป็นไป

ตามหลักเกณฑ์ ลักษณะคดี ทุกคดีที่ป.ป.ช.ได้พิจารณามาโดยดูว่าพยานที่อ้างมานั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นคดีที่กำลังไต่สวนหรือไม่ หากเกี่ยวข้องในการไต่สวนก็อนุญาต เช่นเดียวกันหากเป็นพยาน

ที่ฟุ่มเฟือยหรือไม่เกี่ยวข้องโดยตรง กรรมการก็สามารถพิจารณาได้ว่าจะตัดหรือไม่ หรือหากเห็นว่าพยานที่อ้างมานั้นมีอยู่ในข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ไม่ต้องทำเพิ่มก็อาจจะไม่อนุญาตได้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ผู้ถูกกล่าวหาคงจะอ้างพยานจำนวนไม่มาก ส่วนรายชื่อต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์ได้ให้ข่าวไปนั้น ป.ป.ช.ก็ต้องดูก่อนว่า รายชื่อเหล่านั้นเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ หรือมีข้อมูลข้อเท็จ

จริงเกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งกรรมการป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาว่าพยานที่อ้างมานั้น มีความจำเป็นที่จะทำให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมนั้นครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ แต่หากไม่จำเป็นหรือมีข้อเท็จจริงครบถ้วนอยู่

แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอนุญาต ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป
                 
ต่อข้อถามว่า นายสุเทพ ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นภิกษุอยู่ จะต้องเดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตัวเองหรือไม่ นายสรรเสริญ กล่าวว่า หากนายสุเทพจะทำหนังสือ หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นมารับทราบ

ข้อกล่าวหาแทนก็สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองได้
                       
นายสรรเสริญ กล่าวอีกว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีชื่อถูกร้องเรียนด้วยนั้น ยังคงดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป ยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ดังนั้นหากถูกอ้างเป็น

พยาน ก็ต้องมาให้ถ้อยคำในฐานะพยาน ยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา เพราะป.ป.ช.ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาพล.อ.อนุพงษ์แต่อย่างใด
--------------------
ประยุทธ์พร้อมให้ความร่วมมือปปช.คดีสลายม็อบปี 53
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 เวลา 10.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ระบุว่าในช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมในปี 2553 มีบุคคลทั้ง 3 คน ประกอบด้วย ตนเองในฐานะรอง ผบ.ทบ. ในขณะนั้น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผบ.ทบ.และรองผอ.ศอฉ.

และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ซึ่งดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมเกี่ยวข้องด้วยว่า ถ้าจะให้ตนไปเป็นพยาน กระบวนการยุติธรรมว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมไปเป็นพยานใช่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า "ว่าตามนั้น ถ้าไปได้ก็ไป จะจำเป็นหรือไม่ตนยังไม่รู้ ยังไม่รู้เหมือนกัน กลไกเขาว่าอย่างไร ตอนนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีนะ"
 
เมื่อถามย้ำว่า ป.ป.ช.จะเชิญบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ไปให้ปากคำนั้น พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพร้อมจะให้ข้อมูล ซึ่งการให้ข้อมูลบางครั้งก็ไม่ต้องไปเอง สามารถให้ข้อมูลเป็นเอกสารได้ อย่าให้

เป็นเรื่องใหญ่โตเลย "แล้วมันจะยังไง แล้วทำไมไม่สนใจว่าทำไมทำข้างนี้ ทำไมไม่พูดว่าทำทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่ต้นทำไมมาบอกว่าไล่ล่าข้างเดียวกันอยู่ ยืนยันไม่ได้เป็นการไล่ล่าข้างเดียว ใครทำผิด

กฎหมายก็ว่ามา ใครที่แก้ข้อกล่าวหาได้ก็จบไปเท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม"
 
เมื่อถามต่อว่า จะเป็นโอกาสที่จะได้เคลียร์คดีนี้เลยใช่หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ไม่ตอบคำถามดังกล่าวและได้เดินขึ้นไปยังตึกไทยคู่ฟ้าและหันมาตอบคำถามอีกครั้ง
 
เมื่อถามว่า คดีนี้จะเดือดร้อนไปถึงกองทัพหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า จะเดือดร้อนเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่เขาก็ทำงาน ที่ผ่านมาก็มีการรายงานการสอบสวนมาตลอดทุกครั้ง ผลการสอบ

สวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหมด ตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อนๆ ได้มีการดำเนินการไปครั้งหนึ่งแล้ว รัฐบาลที่แล้วก็มีการปรับปรุงแก้ไขอีกส่วนจะได้หรือไม่อย่างไรก็ต้องไปดูในข้อเท็จจริง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์มาถึงตรงนี้ได้หันกลับมายังกลุ่มผู้สื่อข่าว พร้อมตะโกนถามว่า "ขอถามข้อเท็จจริงว่ามีคนใช้อาวุธในประชาชนหรือเปล่า มีหรือเปล่าขอให้พูดดังๆ

มีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า และมีคนยิงใส่ทหารหรือเปล่า ถ้ามีก็จบ"
////////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

“นายกฯ” ชวนคนไทยทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล
เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ร่วมกันเปิดตัวโครงการ

ปณิธานความดีปีมหามงคล ทำดี เริ่มได้ ที่ใจเรา พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ โครงการ ปณิธานความดีปีมหามงคล ทำดี เริ่มได้ ที่ใจเรา รัฐบาลได้ริเริ่มขึ้นเพื่อให้

ประชาชนมีโอกาสรวมใจถวายของขวัญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ในช่วงเวลาที่เป็นมงคลฤกษ์ระหว่างปี 58-60 ซึ่งเป็นช่วง

เวลาที่มีวาระอันเป็นมงคลเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี โดยในปี 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 88 พรรษา และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา

สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษาส่วนในปี 2559 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ ครบ 70 ปี และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 7

รอบ 84 พรรษา และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเจริญพระชนมายุ 65 พรรษา ส่วนในปี 2560 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 65 พรรษา และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ซึ่งผู้สนใจ

สามารถร่วมโครงการได้โดยการตั้งปณิธาน อาทิ จะอาสาสมัครทำความดี โดยแสดงการตั้งปณิธานผ่านเว็บไซต์ www.panithand.com และ www.facebook.com/panithand นอกจากนี้คณะกรรมการ

ขับเคลื่อนโครงการฯยังมีกิจกรรมมอบรางวัลให้แก่ผู้มีผลงานการดำเนินโครงการที่น่าสนใจด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานได้มีการแสดงภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เปรียบเทียบระหว่างคนสมชาย ที่ตื่นเพื่อทำงานแต่เข้าแล้วประสบความสำเร็จ และคนสมนึก ที่นอนดึกตื่นสายแล้วมีปัญหากับ

การทำงานให้ผู้ร่วมงานได้รับชม
 
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า คุณสมชาย คือชื่อย่อของ คสช. ดังนั้นก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี ตื่นเช้าทำประโยชน์คิดสิ่งดีงามแก้ไขปัญหาต่างๆของชาติ ตนก็ต้องทบทวนตัวเอง

เพื่อทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเช่นกัน เช่นรู้ตัวว่าโมโหเร็ว ก็จะทำตัวให้ดีขึ้นไม่ให้โมโหง่ายเพราะจะเสียเวลาในการทำงาน งานที่เราจัดขึ้นในครั้งนี้เพื่อสร้างความรักสามัคคีสร้างความปรองดองในสังคม

และปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีในสังคมทุกวัย โดยเริ่มจากการมุ่งมั่นคำความดี ให้สังคมเต็มไปด้วยคนที่มีคุณธรรม ซึ่งคนทั่วไปคงรับทราบในส่วนนี้ แต่คนที่ทำงานหนักไม่มีเวลาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นใน

สังคมเราก็ต้องทำให้เขารับทราบในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ความดีทุกคนสามารถทำได้ทุกวัน ถ้าเราเริ่มต้นทำความดี ครอบครัวและสังคมก็จะดีขึ้น เราจึงใช้โอกาสมหามงคลนี้เป็นจุดเริ่มตนในการทำ

ความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ประเทศชาติมีวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง อยากให้ใช้ตรงนี้เป็นโอกาสในการทำงานร่วมกัน ตนในฐานะรัฐบาลยืนยันว่าจะสนับสนุนการทำความดี

ทุกอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติและประชาชน และสิ่งที่เห็นในตอนนี้คือมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมาก ส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นส่วนตัว หรือคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้าง แต่ก็มีตัว

ตนอยู่ในนั้นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราจึงต้องตัดคำว่าตัวตนออกไป แล้วจะมองเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเพื่อแก้ปัญหาของประเทศอยู่ตรงไหน ถ้าทุกคนมองตรงนั้นออกก็จะไปแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและ

จะไม่เกิดความขัดแย้งในทุกเรื่องทุกสถานการณ์ วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อมวลชนต้องช่วยกันขยายการทำความดี อีกทั้งต้องตั้งมั่นว่าจะช่วยส่ง

เสริมรัฐบาลและประเทศชาติอย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งให้เกิดความปรองดองซึ่งกันและกัน ทุกคน ทุกกลุ่ม รวมถึงแม่น้ำทั้ง 5 สาย ก็ต้องช่วยกันทำความดี ต้องลด ละ เลิกสิ่งต่างๆให้ประเทศ

เดินหน้าให้ได้ ฝ่ายการเมืองหรือใครก็แล้วแต่ต้องร่วมด้วย
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนต้องทำความดีในสามส่วนด้วยกัน คือการแก้ไขตัวเอง สองคือเรื่องภายในครอบครัวและ สามคือรัฐบาล ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน ซึ่งแน่นอนว่า

ความขัดแย้งต้องเกิดขึ้น ในเมื่อสิ่งต่างๆบางครั้งไม่ได้รับการแก้ไข จึงต้องมีความขัดแย้ง แต่ความขัดแย้งต้องมีข้อยุติเพื่อเดินหน้าประเทศให้ได้ สิ่งที่ทำวันนี้คือการเอาทุกอย่างมาแก้ไข แต่ทำทันที

ไม่ได้เพราะไม่ได้แก้มาก่อน อีกทั้งตอนนี้โลกก็มีความเปลี่ยนแปลงมากมายมีกติกาต่างๆ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ถ้าอยู่ในโลกคนเดียวก็เชิญทะเลาะกันไม่เป็นไร แต่เมื่อเราอยู่ในสังคมโลก

ประเทศไทยจะถูกลบออกจากแผนที่ ดังนั้นไม่ได้อะไรที่ยังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งทะเลาะกัน
 
“วันนี้ก็ไปถึงเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างต้องมีกติกา ทุกคนอยากให้ประเทศไทยดีขึ้น ก็ขอให้ไปบอกคนที่ออกมาสร้างความขัดแย้งอยู่ทุกวัน ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการ

วันนี้ต้องรบกับทั้งพระ ทั้งฆราวาส และคนในประเทศ วันนี้เราต้องแก้ปัญหาให้ถูกวิธี มีมาตรการที่รัดกุมซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน ทั้งคน ทั้งระบบ ทั้งกฎหมาย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันใน

การแก้ปัญหา ทุกองค์กรต้องมองว่าจะว่างตัวเองอย่างไรในสังคม การจะให้รัฐดูแลทุกอย่างคงไม่ไหวเพราะการทำงานต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา ต้องมีงบประมาณ และกฎกติกาอีกมากมายไม่ใช่

ว่ารัฐบาลดันทุรังหรือถอยกรู ใช่คำพูดพวกนี้กับพวกเราไม่ได้ อะไรที่สงสัยผมก็พร้อมเปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและต้องฟังเหตุผลกันบ้าง ยืนยันว่าผมไม่ต้องการผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

รวมถึงต้องใช้ความอดทนสูงในการทำงาน รัฐมนตรีคนอื่นก็เช่นกัน เพราะไม่ใช่นักการเมืองไม่ได้สมัครเข้ามา ผมเป็นคนเลือกเข้ามาคนที่ให้คะแนนก็คือผม ใครจะให้อย่างไรผมไม่ฟังหรอก เพราะ

ผมสั่งผมรู้ว่าทะไรทำได้แค่ไหน คนที่ออกมาให้คะแนนทำไมก่อนๆนี้ไม่ให้เขาละ คอยจับจ้องแต่คุณสมชายนี้ละ” นายกฯ กล่าว
///////////
ห้ามชุมนุม

สนช.รับหลักการร่างกม.ม็อบห้ามชุมนุมรัฐสภา-ทำเนียบ     
        เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2558 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ....ใน

วาระแรก ซึ่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมในระหว่างการชุมนุมสาธารณะต้องอยู่ภายใต้

ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จ

เจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตำหนัก หรือจากที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ฯลฯ หรือสถานที่พำนักของพระราชคันตุกะ จะกระทำมิได้ นอกจากนี้การจัดการชุมนุมสาธารณะ

ภายในพื้นที่ของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาลและศาลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีการจัดให้มีสถานที่เพื่อใช้ในการชุมนุมสาธารณะในพื้นที่นั้น โดยให้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบ

หมายในการประกาศห้ามชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรรอบสถานที่ดังกล่าวได้
             
        ส่วนผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องระบุวัตถุประสงค์ วัน ระยะเวลา และสถานที่ด้วย ในกรณีที่ผู้ชุมนุม

กระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นจนเกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งเลิกการ

ชุมนุม และในระหว่างการรอคำสั่งศาลให้เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการกระทำนั้น หากมีการฝ่าฝืนให้ประกาศพื้นที่นั้นเป็นพื้นควบคุมและให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ภายในระยะเวลาที่

กำหนด สำหรับบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนได้กำหนดโทษไว้ 9 กรณี ซึ่งมีทั้งจำและปรับ โดยมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
               
        จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการในวาระ 1 ด้วยคะแนน 182 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 โดยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 22 คน เพื่อดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน
---------------------
“กปปส.”จี้รัฐเยียวยาเหยื่อชุมนุมเทียบเท่ารบ.ยิ่งลักษณ์    
           
         นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลได้ส่งหนังสือถึงนายเอกนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูป

แห่งชาติ (สปช.) โดยเนื้อหาระบุว่า พระสุเทพ ปภากโร หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลให้ชดเชยเยียวยาแก่เหยื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ปี 56-

57 ว่า กปปส.ได้ทำหนังสือไปถึงรัฐบาลตั้งแต่ช่วงปลายปี 57 แล้ว โดยชี้แจงเหตุผลการชุมนุม หลักการเยียวยา พร้อมกับส่งข้อมูลผู้ที่เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุมไปให้ด้วย
         
         ยืนยันว่า เราชุมนุมด้วยความสงบตามรัฐธรรมนูญ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ ควรได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ ส่วนรัฐบาลจะเยียวยาเท่าไหร่นั้น รัฐบาลต้องพิจารณาตามความเหมาะสม

เพราะตามหลักเกณฑ์เดิมในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น มีการปรับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยในสมัยน.ส.

ยิ่งลักษณ์ มีการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตรายละ 7.75 ล้านบาท ดังนั้นผู้สูญเสียจึงสมควรได้รับการเยียวยาเหมือนในอดีต เพราะการเยียวยาถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างความปรองดอง
---------------------
บิ๊กป็อกบอกไม่ห่วงสถานการณ์บ้านเมือง แต่ห่วงสื่อเขียนนิยาย           
     
           พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความเป็นห่วงในสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันว่า “ผมไม่เป็นห่วง เป็นห่วงอย่างเดียวคือ เรื่องที่เกี่ยวกับสื่อ” พร้อมกับ

หัวเราะและกล่าวต่อว่า สื่อมวลชนชอบเขียนนิยายไปเรื่อย เรื่องดังกล่าว ยืนยันว่า ถ้าประชาชนคนไทยยังมีความรู้สึก บ้านเมืองต้องมีความสงบเรียบร้อย ถึงจะพัฒนากันต่อไปได้ แต่ถ้าต่างคนต่าง

ยังขัดแย้งกัน ถือโอกาสกันอยู่ มันก็แย่เราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกันแล้ว.
------------------
ยังไม่ประชุมคกก.ร่วมสัมปทานฯรอบที่ 21 วันนี้
 
   
       เมื่อเวลา 11.00น.26 ก.พ.2558  หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ถึงความคืบหน้าในการประชุมคณะกรรมการร่วมกรณีเปิดสัมปทาน

ปิโตรเลียมรอบที่ 21 ว่า ในวันนี้(26ก.พ.) ไม่มีการนัดประชุมแต่อย่างใด และอยู่ในช่วงระหว่างของการกำหนดช่วงเวลาวัน -เวลาอยู่ว่าจะประชุมได้เมื่อไหร่
           
         ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพรวมของคณะกรรมการฯชุดนี้ถือว่ามีความลงตัวแล้วใช่หรือไม่ เพราะเห็นว่าภาคประชาชนระบุว่ายังไม่เห็นหนังสือเป็นทางการจากรัฐบาล ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า โดย

ภาพรวมค่อนข้างชัดเจน ส่วนเรื่องหนังสือนั้นก็ได้ส่งไปให้ครบแล้ว ส่วนจะนัดประชุมกันเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งต้องรอให้ทั้งสองส่วนคือฝ่ายรัฐและภาคประชาชนเห็นตรงกัน ซึ่งสถาน

ที่นัดประชุมคือที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ(สปน.) เป็นฝ่ายเลขาฯของคณะกรรมการชุดนี้ที่จะทำหน้าที่เชิญและจัดประชุม
----------------------
“ดอน”ยืนยันสหรัฐส่งทูตมาไทยก่อนมีรัฐบาลจากเลือกตั้ง               
             
             
        นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เข้าพบนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง

ใหม่ว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติปกติในฐานะเข้ารับตำแหน่งใหม่ แต่ตนยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง สำหรับเรื่องการชี้แจงทำความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยถือเป็นหน้าที่

ของสถานทูตทุกแห่งอยู่แล้ว แต่จะทำมากน้อยหรือบ่อยเพียงใดอยู่ที่โอกาสและประเด็นที่จะพูดคุยกัน ยกตัวอย่างเรื่องพัฒนาการในประเทศไทยและความคืบหน้าเรื่องการเดินตามโรดแม็พ หากเรา

ต้องการจะแจ้งให้ทราบทางทูตจะไปทำการนัดหมายเพื่อชี้แจง ถือเป็นกลไกหนึ่ง
         
         อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาพรวมเรื่องความเข้าใจของประเทศต่าง ๆ ที่มีต่อไทยดีขึ้น แต่ไม่ได้ห่วงมาก เพราะความสัมพันธ์ที่มีอยู่ถือว่าเป็นปกติ มีการติดต่อธุรกิจการค้าเหมือนเดิม แต่เราเองอย่า

ให้มีปัญหาภายในประเทศอย่างเรื่องการค้ามนุษย์ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนยอมรับ ส่วนความคืบหน้าการส่งทูตมาประจำประเทศไทยของสหรัฐฯนั้น ยืนยันว่ามาแน่นอน และมาก่อนที่จะมี

รัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วย ขณะนี้กระบวนการกำลังเดินอยู่ เหตุที่ว่างเว้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มีหลายประเทศเหมือนกันที่ไทยยังไม่ได้ส่งเข้าไปทันทีเมื่อหมดวาระ เพราะมีกระบวนการภายใน

ประเทศต่าง ๆ อยู่ ดังนั้น จึงไม่ใช่กรณีสหรัฐฯ จำเพาะเจาะจงไม่ส่งทูตมาประจำประเทศไท
/////////////
คดีมั่นคง

โฆษกตำรวจยันคดีเพลิงไหม้ SCB ยังไม่ชัด
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ก.พ.2558  พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยถึงความคืบหน้าของคดีเพลิงไหม้ที่ชั้น 10 ตึก SCB ว่า คดีนี้จากการตรวจสอบมีการพบ

ความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ภายในห้องเกิดเหตุเพลิงไหม้ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งจุดดังกล่าว เป็นจุดที่ใกล้เคียงกับจุดต้นเพลิง ที่กองพิสูจน์หลักฐานพบ ซึ่งระบบไฟฟ้าในห้องดัง

กล่าว มีการเดินสายไฟใต้พื้น จึงทำให้ในช่วงเกิดเหตุครั้งแรก ไม่สามารถตรวจสอบพบ และยังไม่ยืนยันว่า กรณีนี้ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้หรือไม่ โดยต้องรอผลการตรวจสอบทางนิติ

วิทยาศาสตร์ยืนยันอีกครั้ง เช่นเดียวกับ กรณีเครื่องฉีดพ่นยุง ที่ตำรวจยังคงให้น้ำหนักในเรื่องนี้อยู่  เพราะจากการตรวจทดลอง ยืนยันว่า เครื่องฉีดพ่นยุง ทำให้เกิดประกายไฟได้ แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่า

ยังไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ฉีดยุง เข้าไปในห้องเกิดเหตุจริงหรือไม่  โดยผลการตรวจวิเคราะห์ จากกองพิสูจน์หลักฐาน จะทราบผลทั้งหมดในสัปดาห์หน้า

พุทธอิสระ :ผู้นำกับเรื่องรุมเร้า

พักนี้เห็นท่านผู้นำออกมาบ่นถึงสารพัดปัญหาที่หลั่งไหลถาถมเข้ามารุมถล่มรัฐบาล แล้วบอกว่าเบื่อ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ฉันอยากบอกว่าคนในประเทศนี้เห็นท่านผู้นำและพวกคุณเป็นผู้ส่องแสงสว่างให้แก่แผ่นดิน พวกคุณคือความมุ่งหวังของคนทั้งชาติ ซึ่งก็เป็นธรรมชาติที่ต้องแบกรับทุกปัญหา ของทุกสังคม ทุกสี ทุกกลุ่ม การที่แต่ละสังคม แต่ละสี แต่ละกลุ่ม แสดงปัญหาที่ถูกปกปิด อำพราง จนสร้างความทุกข์ยากเดือดร้อน กัดกร่อนหลักการของศีลธรรม คุณธรรม ดุจดังสนิมร้ายที่กัดกินทองคำมาช้านาน ออกมาแสดงว่าวิธีแก้ปัญหา รักษาไข้ของคุณตรงจุด ตรงใจ พวกเราเลยวางใจ ไว้ใจ กล้าที่จะแสดงปัญหา ชี้จุดที่เกิดปัญหา ให้ท่านได้รับรู้และหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาเหล่านี้พึ่งจะมี แต่มันมีมาช้านาน ดุจดังสนิมร้ายที่คอยกัดกินทองคำ
อีกทั้งสนิมทองนี้ มันมิได้เพิ่งจะเกิด เพิ่งจะมี มันสะสมมายาวนานมากว่า ๘๒ ปี ของวิถีแห่งประชาธิปไตย ที่นำพาเอาสนิมมากัดกินทอง คือหัวใจของคนไทยที่เคารพยอมรับในจารีตวัฒนธรรม คุณธรรม ประเพณี ขนบธรรมเนียมอันดีงามของบรรพบุรุษไทยผู้มีจิตใจงดงาม แต่พอลัทธิประชาธิปไตยเข้ามาในเมืองไทย ก็ได้นำพาเอาคำว่าสิทธิและหน้าที่เข้ามาเผยแพร่ จนดอกไม้พิษสิทธิเสรีภาพพากันเบ่งบานทั้งแผ่นดิน แต่ดอกไม้แห่งหน้าที่กลับเหี่ยวเฉา ตายลง ตายลง แทบไม่หลงเหลือ
ด้วยคำว่าสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนในสังคมไขว่คว้า เรียกร้อง และมีอยู่ ทำให้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่สังคมนักบวช ต่างมีสิทธิที่จะพูด จะทำ จะคิด อย่างอิสระ ขาดการระลึกว่าได้ก้าวล่วงเส้นแบ่งของจารีต วัฒนธรรม คุณธรรม ประเพณีอันงดงาม ที่บรรพบุรุษไทยได้วางรากฐานให้ไว้เป็นหลักในการทำ พูด คิด ดำเนินชีวิตของลูกไทยผู้มีหัวใจรักชาติ
ทั้งนี้ก่อนที่ลัทธิประชาธิปไตยจะเข้ามา แผ่นดินไทย คนไทย แม้จะมีหลายเชื้อชาติ หลายชนเผ่า แต่แผ่นดินไทยเราล้วนมีประชาชนที่มีจิตใจงดงาม มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว มีศีลธรรมคุณธรรม สมดังคำที่ว่า แผ่นดินทอง แผ่นดินธรรม
เมื่อบ้านเมืองเกิดสนิมร้าย เกาะกุมกัดกร่อนมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อท่านผู้นำ คสช. รัฐบาล อาสาเข้ามาช่วยแก้ปัญหา กำจัดสนิมร้ายของบ้านเมือง ยิ่งลื้อ ยิ่งเจอ ยิ่งกำจัด ยิ่งโผล่
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลที่มาจากลัทธิประชาธิปไตย มิได้เข้ามากำจัดสนิมร้ายอย่างจริงจัง บางครั้งทำแค่นำแผ่นทองคำมาปิดไว้ และกลายร่างเป็นสนิมร้ายมากัดกร่อนแผ่นดินไทยเสียเองก็มี เหตุการณ์เช่นนี้ มันพอกพูนสะสมมายาวนาน จึงกลายเป็นว่า ยิ่งแก้ ยิ่งลื้อ ยิ่งเจอ
แต่คุณประยุทธ์ต้องเข้าใจด้วยว่า สนิมร้ายที่เกาะกัดกินแผ่นดินไทยและสังคมไทยในช่วงเวลาที่ท่านเข้ามาบริหารบ้านเมือง “มันมิได้เพิ่มขึ้น” มันมีแต่จะลดลง ขอเพียงคุณประยุทธ์อย่ายอมแพ้
เนื้อเพลง อย่ายอมแพ้
หากวันนี้เราล้มลง
ยังคงลุกขึ้นได้ใหม่
ถ้ายังคงมีหนทาง ถ้ายังมียิ้มสดใส
ก้าวไปอย่าหวั่นไหวหวาดกลัว
พร้อมทนทุกข์หมองหม่น
ผจญความมืดหมองมัว
ไม่กลัวจะฝันถึงวันใหม่
* หากวันใดอ่อนแอ ท้อแท้อย่าหวั่นไหว
ขอให้ใจไม่สิ้นหวัง
ปัญหาแม้จะหนัก ก็คงไม่เกินกำลัง
อย่าหยุดยั้งก้าวไป
** ขออย่ายอมแพ้
อย่าอ่อนแอแม้จะร้องไห้
จงลุกขึ้นสู้ไป
จุดหมายไม่ไกลเกินจริง
(ซ้ำ *, **, **)
ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ แม้จะเหนื่อยหน่าย
พวกเราคนไทยทุกคนคอยช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือที่จะช่วยคุณขุดคุ้ย ชี้จุดที่มีสนิมร้ายหลบซ่อนอยู่ สู้ สู้ นะจ๊ะ
พุทธะอิสระ


วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ธงชัย วินิจจะกูล: มหาอวิชชาลัย

ธงชัย วินิจจะกูล: มหาอวิชชาลัย

ในสังคมรวยปัญญา มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งอุดมปัญญา อุดมศึกษา และอุดมจรรยา
ในสังคมจนปัญญา มหาอวิชชาลัยเป็นทะเลทรายแห้งแล้งปัญญา การศึกษา และจรรยา
อุดมปัญญา หมายถึง การแสวงหาความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป ปรับเปลี่ยนให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม บ่อยครั้งควรนำหน้าหรือชี้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำไป การแสวงหาความรู้ใหม่ๆ “ต้อง” ส่งเสริมการคิดนอกกรอบ ท้าทายความคิดที่มีอยู่เดิม
ปัจจัยพื้นฐานของการส่งเสริมเช่นนี้คือ “ต้อง” มีเสรีภาพในการแสดงออกและความเคารพต่อการคิดแตกต่างกัน ทั้งยังรังเกียจผู้ที่มักดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นที่คิดต่างจากตน มหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาจึงเปี่ยมด้วยความหลากหลายเพราะนักศึกษานักวิชาการกล้าคิดกล้าลองกล้าแสดงออกตามศักยภาพของตน
มหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาไม่เต็มไปด้วยข้อห้ามที่จำกัดการคิด เพราะการคิดไม่ใช่อาชญากรรม แถมมีมาตรการเพื่อปกป้องเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก มิให้ถูกจำกัดหรือกลัวที่จะคิดและแสดงออก เช่น ห้ามลงโทษเลิกจ้างหรือไล่ออกด้วยเหตุทางความคิด
นี่เป็นอุดมคติที่เป็นรากฐานของมหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาทั้งโลก
อุดมศึกษา หมายถึง เป็นแหล่งให้การศึกษาอบรมบ่มเพาะคนรุ่นถัดๆ ไปให้เป็นผู้รู้ คือมีความรู้และมีวิจารณญาณเพื่อเลือกสรรและรู้จักใช้ความรู้เหล่านั้นอย่างเหมาะสมเพื่อประโยชน์ต่อตนเองและรับใช้ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงความรู้เทคนิคจำนวนหนึ่งเพียงเพื่อทำตามตัวอย่างที่มีมาก่อนหรือทำตามครูบาอาจารย์อย่างงมงาย หรือทำซ้ำๆ ซากๆ อย่างปรับประยุกต์ไม่ได้คิดเองไม่เป็น
การอบรมบ่มเพาะคนเช่นนี้ต้องอาศัยความรู้กว้าง ไม่คับแคบ ให้รู้จักทางเลือกและรู้จักตัดสินใจเลือกปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น ดังนั้นต้องไม่ผลิตคนที่คับแคบ เชื่องตามอำนาจหรือคำบัญชา ทั้งต้องใจกว้างต่อความแตกต่าง เพื่อรู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่หลากหลายต่างกัน มีความสัมพันธ์กันอย่างอารยะ และรู้จักผลกระทบที่ตัวเองอาจกระทำต่อผู้อื่น
ดังนั้นอุดมศึกษาตามอุดมคติจึงมักไม่มีเรื่องงมงายหรือพิธีกรรมหรือความเชื่อตายตัวที่บังคับให้นักศึกษาต้องทำตามโดยห้ามคิดห้ามใช้สมอง ต้องยอมให้มีการละเมิด ให้มีการแหวกกรอบ แหกคอก หาเรื่อง คิดท้าทายความคิดความเชื่อที่มีอยู่เดิม ไม่จำเป็นต้องทำตัวสอดคล้องกับผู้อื่นไปหมด อุดมศึกษาในสังคมที่รวยปัญญาจึง “ต้อง” อนุญาตให้นักศึกษากล้าทดลองเพราะพวกเขาอยู่ในวัยของการเรียนรู้ที่ต้องการท้าทายและกล้าทดลองโดยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายต่อผู้อื่น มหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาคือห้องทดลองทางปัญญาที่ก่อความเสียหายจำกัดแต่ก่อผลบวกมหาศาล
อุดมจรรยา หมายถึง ประชาคมมหาวิทยาลัยต้องอยู่ด้วยหลักการและจรรยาบรรณทางวิชาชีพและทางวิชาการเป็นบรรทัดฐาน ไม่แกว่งปัดเป๋ไปตามอำนาจหรือผลประโยชน์ ไม่เลือกข้างทางการเมือง (หมายถึงว่านักศึกษาบุคลากรเลือกข้างได้ แต่มหาลัยต้องยืนให้มั่นเพื่อต้อนรับความหลากหลายทางการเมืองของปัจเจกบุคคลจำนวนมากให้ได้) และไม่แกว่งไกว่ไปตามความใฝ่ต่ำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอคติ ความเกลียดชัง ความ เคียดแค้น หรือหลงตัวเอง
มหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่แหล่งให้การศึกษาและองค์ความรู้ใหม่เท่านั้น แต่มักถูกคาดหวังให้เป็นประภาคารของสังคมด้วย เพื่อนำทางให้ผู้คนที่อยู่ท่ามกลางความมืดมัวของความไม่รู้ ให้สามารถมองเห็นหลักหมายที่พวกเขาควรเดินมุ่งไป ประภาคารมีภารกิจต้องยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลเชี่ยวและความมืดมิดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดให้ได้
เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยชั้นนำในโลกมิได้มาจากการสามารถผลิตบัณฑิตเพื่อป้อนตลาดเพียงแค่นั้น นั่นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มาจากความมั่นคงต่อภารกิจตามอุดมคติของมหาวิทยาลัยดังที่กล่าวมา สั่งสมต่อมาหลายชั่วคนแม้จะเผชิญอุปสรรคสารพัดก็ตาม
มหาอวิชชาลัยในสังคมจนปัญญา มีลักษณะตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาทุกประการ กล่าวคือ หนึ่ง เป็นทะเลทรายที่ทำให้ปัญญาความรู้เหือดหาย ไม่ส่งเสริมความรู้ใหม่ๆ แต่ผลิตซ้ำและตอกย้ำความงมงายของสังคม แถมยังกลัวการพัฒนาความรู้ใหม่ๆ กลัวความคิดท้าทาย จึงต้องจำกัดและกำจัดเสรีภาพที่พอมีอยู่ให้แห้งเหือดลงไปทุกที ใครหากแหวกกรอบก็ต้องอัปเปหิออกจากมหาอวิชชาลัยไปเลย

สอง มหาอวิชชาลัยเป็นสถาบันที่มุ่งผลิตนักศึกษาที่มีความสามารถทำตามๆ กัน ไม่สามารถใช้วิจารณญาณอย่างมีเหตุมีผลได้ ฝึกฝนอบรมให้คนรุ่นถัดๆ ไปเชื่องกลัวต่ออำนาจ หวาดกลัวการใช้สมอง แต่กลับบ้าอำนาจต่อผู้ต่ำชั้นกว่า

มหาอวิชชาลัยสร้างคนที่เชื่องๆ อยู่ในกรอบ ทำลายปัจเจกภาพของผู้เรียน ผลิตมนุษย์สมองฝ่อที่คิดได้แค่แคบๆ สั้นๆ มองไกลๆ ไม่เป็น ปรับตัวไม่เป็น กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวคนที่คิดต่าง กลัวที่ตัวเองจะแตกต่างจากคนอื่นด้วยซ้ำไป ไม่มีมหาวิทยาลัยที่ไหนในโลกหรอกที่แจ้งตำรวจให้จับนักศึกษาตัวเองเพียงเพราะเขาคิดแตกต่างออกนอกกรอบ

มหาอวิชชาลัยไม่ปกป้องนักศึกษาหรืออาจารย์ที่ถูกรังแกจากอำนาจรัฐ เพราะมหาอวิชชาลัยเป็นแค่เครื่องมือของอำนาจในสังคมจนปัญญาเพื่อผลิตประชาชนพันธุ์เชื่องๆ ตามที่ Big Brother ปรารถนา

สาม มหาอวิชชาลัยไม่ยืนยันหลักการ ไม่ทำตัวเป็นประภาคาร ทั้งกลับทำตัวเป็นแค่เครื่องมือของชนชั้นนำในการแพร่ความหลงตัวเองอย่างดัดจริต และหลอกตัวเองอย่างดักดานจนเห็นกะลาเป็นจักรวาล

ทั้งหมดนี้มิใช่การก่นด่าอย่างอคติด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นการสรุปรวบยอดถึงความเกี่ยวโยงเชื่อมร้อยกันหมดของมหาวิทยาลัยกับสังคม การสร้างความรู้ใหม่กับเสรีภาพและความหลากหลาย การอบรมบ่มเพาะประชากรที่เข้มแข็งกับภัยของการผลิตคนที่คับแคบเชื่องตามอำนาจ ความสำคัญอันดับหนึ่งของหลักการและจรรยาบรรณและภารกิจตามอุดมคติของมหาวิทยาลัย

(มาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าผมรู้จักมหาวิทยาลัยในสังคมรวยปัญญาพอสมควร จึงพอรู้ว่ามหาวิทยาลัยต่างกับมหาอวิชชาลัยอย่างไร ต้องการปัจจัยต่างๆ เชื่อมโยงกันอย่างไร เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเคยพูดเขียนวิจารณ์โลกวิชาการและมหาวิทยาลัยของไทยเพียงเบาๆ ก็ถูกมองว่าเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาอบรมสั่งสอนพวกแก่พรรษาในมหาวิทยาลัยของไทย ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นโดยมากรู้จักมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างผิวเผินจากประสบการณ์สมัยเรียนหรือจากการเดินทางไปดูงานแค่นั้นเอง)

ผมเห็นว่ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้ล้มละลายแทบกลายเป็นมหาอวิชชาลัยกันไปหมด ทุกแห่งล้มละลายทางจรรยาต่อสังคม เพราะกลายเป็นแค่เครื่องมือค้ำจุนสังคมจนปัญญา จนทั้งระบบอุดมศึกษาและสังคมโดยรวมตกต่ำง่อยเปลี้ยอย่างเหลือเชื่อ บางแห่งยังพอประคองตัวรอดได้ในทางการศึกษา แค่ไม่กี่แห่งและบางสาขาวิชาเท่านั้นที่สมควรต่อชื่อเสียงทางปัญญา

ธรรมศาสตร์ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ผมเห็นว่าในภาพรวมได้ล้มละลายหรือได้กลายเป็นมหาอวิชชาลัยไปแล้วทั้งทางปัญญา การศึกษา และจรรยาบรรณ ตั้งแต่หลายปีก่อนวันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เสียอีกนักวิชาการดีๆ ที่นั่นช่วยพยุงให้เราเข้าใจว่ายังดีอยู่ต่อมา

ผู้มีปัญญาทั้งหลายในมหาวิทยาลัยจงช่วยกันตรองดูเถอะว่าเราจะปล่อยให้มหาวิทยาลัยอยู่ในภาวะลักษณะใกล้ล้มละลายเช่นนี้ หรือได้เวลาแล้วที่จะต้องช่วยกันกอบกู้ฟื้นชีวิตของมหาวิทยาลัยขึ้นมาใหม่ ผลักไสภาวะมหาอวิชชาลัยให้หลุดออกไป

เริ่มต้นด้วยการให้ความคุ้มครองกับนักวิชาการและนักศึกษาที่กล้าแหวกกรอบ ท้าทายขัดกับผู้มีอำนาจในสังคม เพียงแค่นี้ก็จะเปิดช่องทางให้กับเสรีภาพอีกมากมายทั้งในมหาวิทยาลัยและในสังคม แล้วช่องทางที่เปิดขึ้นนี้จะช่วยให้ความหลากหลายทางปัญญาผลิดอกออกผลขึ้นมาใหม่

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ต้องการเติบใหญ่ในแวดวงอื่นๆ กรุณาออกไปพ้นๆ เสียเถอะ อย่าเอามหาวิทยาลัยเป็นเพียงบันไดไตเต้าของพวกคุณเลย เพราะการทำเช่นนั้นก็คือเป็นกาฝากที่ดูดเอาพลังชีวิตของมหาวิทยาลัยจนใกล้ตายกันหมดแล้ว

ถึงเวลาแล้วก็ได้ที่เราต้องช่วยกันขับไล่กาฝากจำพวกนั้นออกไป ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะตายสนิท