PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สยบข่อนแก่มโมเดลมุ่งสังหารผู้นำ

Manager การเมือง

26 พ.ย. 2558 06:36

สยบขอนแก่นโมเดลภาค 2 ถล่มกรุงเทพฯสังหาร ประยุทธ์-ประวิตร !?

เมืองไทย 360 องศา 
เมื่อปีที่แล้วหลังเกิดเหตุรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่กี่วันก็ได้มีการควบคุมตัวกลุ่มบุคคลหลายรายพร้อมอาวุธสงคราม พร้อมทั้งเอกสารโฆษณาชวนเชื่ออีกจำนวนมากได้ที่จังหวัดขอนแก่น โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าเตรียมก่อเหตุรุนแรงตามจุดสำคัญต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้ล้วนเป็น"เครือข่ายของกลุ่มอำนาจเก่า" เป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีการจัดตั้งมาก่อนหน้านี้ ซึ่งจากการขยายผลจับกุมครั้งนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า "ขอนแก่นโมเดล"
แต่ที่เป็นเหตุการณ์ครึกโครมก็คือการลอบวางระเบิดที่ศาลพระพรหมที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาธร ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แม้ว่ามูลเหตุจูงใจและคนที่ลงมือจะเป็นคนต่างชาติจะเกียวพันกับเรื่องการส่งกลับผู้อพยพชาวอุยกูร์ แต่ในเวลาต่อมาก็มีการออกหมายจับคนไทยจำนวนหนึ่งและถูกระบุว่าคนไทยดังกล่าวน่าจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดที่"สมานเมตตาแมนชั่น"ที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี 53 และเหตุระเบิดที่มีนบุรีเมื่อปี 57 แม้ว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเงียบหายไป มีแต่ผู้ต้องหาที่เป็นชาวต่างชาติสองคนที่เพิ่งถูกอัยการสั่งฟ้องใน 10 ข้อหาฉกรรจ์ 
ที่น่าสังเกตก็คือการลงมือก่อเหตุที่แยกราชประสงค์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 โดยผ่านพ้นวันมหามงคลและรายการ"ไบท์ฟอร์มัม"หรือปั่นเพื่อแม่ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ขณะเดียวกันการก่อเหตุที่แยกราชประสงค์ถือว่ามีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการทำลาย"บรรยากาศการท่องเที่ยว" โดยเฉพาะบริเวณนั้นเป็นที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากต้องมากราบไหว้ ซึ่งก็ได้ผลหลังเกิดเหตุก็ทำให้การท่องเที่ยวในบ้านเราซบเซาไปพักหนึ่ง เพิ่งจะมาฟื้นตัวขึ้นมาอีกไม่นาน 
แน่นอนว่าเมื่อแนวทางการสอบสวนก่อนหน้านี้ระบุว่ามีผู้ต้องหาจำนวนหนึ่งที่เป็นคนไทยมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่นที่บางบังทองเมื่อปี 53 และเหตุระเบิดที่มีนบุรี มันก็สามารถโยงไปถึงกลุ่มการเมืองที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติอยู่ในเวลานี้ 
อย่างไรก็ดีคำว่า"ขอนแก่นโมเดล"ก็โผล่ขึ้นมาอีก จากคำพูดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาเปิดเผยว่าเวลานี้ได้มีการออกหมายจับและควบคุมตัวบุคคลหลายคนที่ก่อเหตุในช่วงที่มีการซ้อม"ไบท์ฟอร์แด๊ด"หรือ"ปั่นเพื่อพ่อ"และจากการสอบสวนขยายผลทำให้ทราบว่ามีการเตรียมที่จะลงมือในวันจริงโดยเฉพาะมีการวางแผนจะลงมือในกรุงเทพมหานครด้วย 
มีรายงานข่าวว่าเบื้องต้นมีการจับกุมผู้ต้องหาไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 คน มีการระบุชื่อและภูมิลำเนา โดยหนึ่งในนั้นเป็นอดีตตำรวจตระเวณชายแดนอายุ 60 ปี ยศจ่าสิบตำรวจ ที่เหลือเป็นชาวจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 112 รวมอยู่ด้วยนอกเหนือจากคดีความมั่นคงอื่นๆ ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีคำสั่งย้ายผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 
จากการเปิดเผยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เปิดเผยเกี่ยวกับการเตรียมการก่อเหตุในลักษณะ"ขอนแก่นโมเดลภาค2" ในพื้นที่กรุงเทพฯและที่น่าตกใจก็คือมีรายงานระบุว่าคราวนี้ยังมีเป้าหมายลงมือกับ"บุคคลสำคัญในรัฐบาล"อีกด้วย ซึ่งหากพิจารณาจัดลำดับบุคคลสำคัญในรัฐบาลนอกเหนือจากตัวเขาแล้วในจำนวนนั้นย่อมต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.อีกคนหนึ่งแน่นอน
ขณะเดียวกันหากตามรายงานข่าวระบุว่ากลุ่มคนร้ายเตรียมลงมือในช่วงเทศกาลสำคัญ รวมทั้งในช่วงวัน"ปั่นเพื่อพ่อ"นั่นย่อมหมายความว่าในวันดังกล่าวมี"บุคคลสำคัญ"เข้าร่วมและอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมาก ดังนั้นการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปิดเผยว่ามีการจับกุมคนที่เตรียมก่อเหตุมาได้"หลายคน"ก็ถือว่าน่าตกใจ แต่อีกด้านหนึ่งก็พอใจชื้นขึ้นมาได้บ้างเมื่อมีการออกหมายจับและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเอาไว้ได้ นั่นเท่ากับว่าทางการสามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวและสกัดกั้นแผนร้ายดังกล่าวได้ทันท่วงที 
ดังนั้นการเปิดเผยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกี่ยวกับการทลายแผน"ขอนแก่นโมเดล"ที่มีเป้าหมายทำร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล และเตรียมลงมือก่อเหตุในกรุงเทพฯในช่วงวันสำคัญ ถือว่าน่าหวาดเสียว เพราะหากเกิดเหตุร้ายขึ้นมาจริง นั่นก็เท่ากับว่า"หายนะ"จนไม่อยากจะหลับตาจินตนาการ นั่นคือการท่องเที่ยว เศรษฐกิจที่กำลังเริ่มมีความเชื่อมั่นกลับมาก็จะดำดิ่ง รวมไปถึงความวุ่นวายจากการสร้างสถานการณ์ผสมโรง จะตามมาอีก แต่นาทีนี้ก็ยังไม่อาจวางใจได้เต็มร้อยแน่นอน !!

ไม่มีความคิดเห็น: