PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หมอวรงค์ ซัดทุนสามานย์อันตรายกว่าทหาร เห็นต่างอภิสิทธิ์ เดินหน้ารับร่างรธน.

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Warong Dechgitvigrom” แสดงความเห็นทางการเมืองระบุว่าจะไปรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า
นี่คือความงดงาม ของประชาธิปไตย ในพรรคประชาธิปัตย์ครับ ที่ไม่ห้ามการแสดงความเห็นต่าง โดยส่วนตัวผม ผมมองประโยชน์ และความอยู่รอดของประเทศเป็นที่ตั้ง “ผมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้”
ผมมองว่าวันนี้ประเทศยังไม่อยู่ในภาวะปกติ ประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยง โดยเฉพาะภัยคุกคามจากทุนสามานย์ และพวกประชาธิปไตยจอมปลอม ยิ่งเห็นพฤติกรรม ความพยายามบิดเบือนรัฐธรรมนูญ ด้วยการพิมพ์เอกสารที่มีข้อมูลไม่ถูกต้อง ส่งเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด
เป็นการสะท้อนว่าพวกทุนสามานย์และประชาธิปไตยจอมปลอม ยังเป็นอันตรายต่อประเทศ และไม่สมควรที่จะไปยืนจุดเดียวกับคนพวกนี้
ผมมีความกังวลว่า คนเหล่านี้จะเอาผลประชามติ ไปสร้างความวุ่นวาย ที่สำคัญผมคิดว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงต่อประเทศ จะไปกลัวอะไรกับรัฐธรรมนูญ เราต้องทำให้ประเทศอยู่รอดก่อน ดังนั้นผมจึงมีความเห็นว่า “การรับ”รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าต่อได้
ระหว่างทุนสามานย์กับทหาร ผมคิดว่าทุนสามานย์อันตรายต่อชาติมากกว่า ถึงขนาดผลาญชาติเปลี่ยนแผ่นดินได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีกลไกปฏิรูปไม่ให้ ทุนสามานย์ครอบงำพรรคการเมือง ประชาธิปไตยไทยจึงจะยั่งยืน
“7 สิงหาคม ผมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ”
counter

“สายหยุด” แนะ “บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ยกเลิกบทเฉพาะกาล


เมื่อเวลา14.00 น. วันที่ 29 กรกฎาคม ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานคณะรัฐบุคคล แถลงข่าวเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอข้อแก้ไขก่อนลงประชามติ ว่า ตนขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ดำเนินการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา8 เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ป้องกันให้ไม่เกิด รัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญได้ อีกทั้งหากเกิดวิกฤตทุกฝ่ายก็รู้ว่าตนเองต้องทำอย่างไร จึงเสนอให้ทหารออกมาปฎิบัติหน้าที่ด้วยการประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยใช้อำนาจดำเนินการควบคุม พร้อมทั้งเชิญสถาบันหลักของบ้านเมือง และบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมปรึกษาหารือพิจารณาแก้ไขวิกฤตประเทศ แล้วให้ผู้บัญชาการบังคับใช้กฎอัยการศึกร่างพระบรมราชโองการเพื่อนำทูลเกล้าถวาย เพื่อทรงวินิจฉัยลงพระปรมาภิไธย

พล.อ.สายหยุด กล่าวต่อว่า ตนขอให้คสช.ใช้มาตรา 44 ยกเลิกบทเฉพาะกาลร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งหมด เพราะตนคิดว่าไม่มีความจำเป็น ดังนั้นขอให้คสช. ทำตามสัญญาตามกรอบโรดแมปที่วางไว้แล้วกลับไปทำหน้าที่ทหารตามเดิม ซึ่งมั่นใจว่าระยะเวลา7 วันคิดว่าไม่น้อยไป เพราะมาตรา 44 สามารถบังคับใช้ได้ทันที ดังนั้นตนมาเสนอในวันนี้ก็เพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนที่ตนจะลงประชามติหรือไม่นั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคล

แพลมโฉม 5 เสือ ทบ. สูตรลับ “บิ๊กแกละ-บิ๊กเจี๊ยบ” วัดใจ 2 ป. กับ 1 ป. จับตา ตท.17-18 “บิ๊กแช” ม้ามืด และ “บิ๊กอ้อม” บูรพาพยัคฆ์ ที่ถูกซ่อนไว้


เป็นธรรมชาติของฤดูกาลแต่งตั้งโยกยายทหาร ที่จะต้องมีกองเชียร์ของแต่ละฝ่าย ตราบใดที่ยังมีเวลา ตราบใดที่ยังไม่มีโปรดเกล้าฯ ลงมา เมื่อนั้น ความหวังก็ยังไม่สิ้น
และยังไม่เรียกว่า “จบ”…
ด้วยท่าทีของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ส่งสัญญาณออกมาวงใน บ้าน ร.1 รอ. และสายบูรพาพยัคฆ์ ทำให้ชื่อของ บิ๊กแกละ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก กลายเป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทบ.คนใหม่
แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าววงในตึกไทยคู่ฟ้า เม้าธ์กันให้แซดว่า บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ไม่ค่อยอยากได้ พล.อ.พิสิทธิ์ เป็น ผบ.ทบ. นักก็ตาม
ถึงขั้นที่คนใกล้ตัวนายกฯ บิ๊กตู่ ฟันธงในหมู่เพื่อนฝูงพี่น้องเลยว่า บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผช.ผบ.ทบ. จะได้เป็น “ทบ.1” นั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.คนใหม่แน่
แต่ในสายบูรพาพยัคฆ์ ยังเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ที่เป็นรองนายกฯ และคุมกลาโหม เป็นคนตัดสินใจเลือก ผบ.ทบ. เอง
ด้วยเหตุผลของสถานการณ์ทางการเมือง ที่จำเป็นจะต้องเอานายทหารในสายขั้วอำนาจเดียวกันอย่าง พล.อ.พิสิทธิ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นบูรพาพยัคฆ์อยู่ครึ่งตัว เพราะทำงานกับ พล.อ.ประวิตร ตอนเป็นนายทหารเด็กๆ อยู่ พล.ร.2 รอ. และไว้วางใจได้ที่สุด ขึ้นมาคุมกำลัง คุมอำนาจกำลังรบ ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง และมั่นใจให้รัฐบาล คสช.
ขณะเดียวกัน ก็เป็นการแก้ปัญหาเรื่องขั้วอำนาจบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญ เพราะ พล.อ.พิสิทธิ์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นวงศ์เทวัญ เพราะจาก พล.ร.2 รอ. ก็มาเติบโตใน พล.1 รอ. จาก ร.11 รอ. ผ่านทุกตำแหน่งสำคัญ จนเป็นทั้ง ผบ.พล.1 รอ. และ ผบ.พล.ร.2 รอ. เลยทีเดียว
แม้ว่าอาจจะทำให้สายทหารรบพิเศษ ที่เทใจกันเชียร์ พล.อ.เฉลิมชัย จะอดนึกน้อยใจไม่ได้ก็ตาม แม้แต่ตัว พล.อ.เฉลิมชัย เองก็ดูจะเผื่อใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองอาจจะไม่ใช่ “ตัวเลือก” ของผู้บังคับบัญชาในยุคนี้
นี่จึงทำให้การจัดสูตรอำนาจใน ทบ. ลงตัว โดยให้ พล.อ.พิสิทธิ์ เป็นหัว เป็น “ทบ.1” โดยมี บิ๊กต้อ พล.ท.สสิน ทองภักดี รองเสนาธิการทหารบก เพื่อนร่วมรุ่น ตท.17 ขึ้นเป็น เสธ.ทบ. คู่ใจ
พล.ท.สสิน ทองภักดี
พล.ท.สสิน ทองภักดี
แถมทั้ง พล.ท.สสิน ที่ปัจจุบันช่วยงาน กอ.รมน. ในตำแหน่ง รองเลขาธิการ กอ.รมน. และเป็น ผบ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติหมายเลข 5 (ศปป.5) คุมการแก้ปัญหาภาคใต้ด้วยตนเอง
ที่สำคัญ ได้ชื่อว่าเป็นมือหนึ่งด้านยุทธการของ ทบ. เพราะเติบโตมาในสายงานนี้ตลอด และได้ชื่อว่าเป็นสายตรง พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กเบี้ยว พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข อดีต เสธ.ทบ. คีย์แมนคนสำคัญของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 น้องรักบิ๊กตู่อีกด้วย
การมี พล.ท.สสิน เป็น เสธ.ทบ. และจะต้องเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. ด้วยนั้น ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งไม่ต้องห่วง ไม่ว่าตัวเขาเองจะแฮปปี้กับ พล.อ.พิสิทธิ์ หากขึ้นเป็น ผบ.ทบ. หรือไม่ก็ตาม
ส่วนเก้าอี้ ผช.ผบ.ทบ. ตัวหนึ่งนั้น ถูกจองไว้ให้ดาวรุ่งบูรพาพยัคฆ์ บิ๊กเข้ พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักบิ๊กตู่ บิ๊กป้อม ที่จะขึ้นมาเป็น พลเอก เพื่อจ่อคิวชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในกันยายน ปี 2560 เมื่อ พล.อ.พิสิทธิ์ เกษียณราชการ
แต่ที่ต้องจับตามองอย่างยิ่งคือ ม้ามืดที่จะมาเสียบเก้าอี้ ผช.ผบ.ทบ. อีกตัวหนึ่ง ที่จะสะท้อนการจัดทัพ จัดวางขุนพลคุมกองทัพของ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ เลยว่า วางตัวใครไว้เป็น ผบ.ทบ.คนต่อๆ ไปด้วย
คนหนึ่งก็คือ บิ๊กอ้อม พล.ท.วีรชัย อินทุโศภน ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) น้องรักของ พล.อ.ประวิตร ที่ได้ชื่อว่าเป็นบูรพาพยัคฆ์พันธุ์แท้อีกคน ที่ทำงานกับ พล.อ.ประวิตร มายาวนาน ตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ที่ พล.ร.2 รอ. อยู่มาทั้ง ร.2 รอ. และ ร.12 รอ.
พล.ท.วีรชัย อินทุโศภน
พล.ท.วีรชัย อินทุโศภน
รวมถึงทำงานใกล้ชิดกับ บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน พี่เลิฟในสายบูรพาพยัคฆ์ด้วย
เพราะต้องยอมรับว่า นอกจากใกล้ชิด บิ๊กหมู บิ๊กป้อม แล้ว ยังมีผลงานในฐานะ ผบ.นรด. ที่ปลุกกระแสนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) และ รด.จิตอาสา มาช่วยชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติ ที่กำลังลงพื้นที่กันพรึบทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่วงนี้
อีกทั้งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 18 ของ พล.ท.เทพพงศ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่จะขึ้นมาเป็นห้าเสือ ทบ. เช่นกัน
หากมาเสียบ ห้าเสือ ทบ. นี่ก็ทำให้ไม่อาจมองข้าม พล.ท.วีรชัย นี่ไปได้ เพราะเขามีอายุราชการถึงกันยายน 2562 เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ขึ้นมาจ่อเป็น ผบ.ทบ. ชิงกับ เพื่อนเข้ พล.ท.เทพพงศ์ ในโยกย้ายกันยายนปีหน้าได้เลย หรืออาจจะรอจ่อเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป ก็ยังได้
เพราะเส้นทางเดินของ พล.ท.วีรชัย ก็ไม่ธรรมดา โตมาในสายกำลังรบ เป็นทั้ง ผบ.หมวด ร.2 พัน 1 รอ. และเป็น ผบ.พัน ร.12 พัน 1 รอ. และ เสธ.ร.12 รอ.
แม้ในระหว่างทาง อาจจะไม่ได้โตในสายคอมแมนด์ แต่เส้นทางชีวิตเบี่ยงมาอยู่กรมวิทยาศาสตร์ ทบ. จนได้เป็นเจ้ากรมวิทยาศาสตร์ ทบ. ก่อนมาเป็น รอง ผบ.นรด. และขึ้นเป็น ผบ.นรด. ก็ตาม
แต่ก็ไม่อาจมองข้ามนายทหารที่เป็นน้องรักผู้ใกล้ชิดลำดับต้นๆ ของ พล.อ.ประวิตร เลยทีเดียว จนถูกเรียกว่าเป็น “บูรพาพยัคฆ์” ที่ พล.อ.ประวิตร ซ่อนเอาไว้ รอการเผยตัว ส่งเข้าไลน์ในไม่ช้านี้ และก็ใช่ว่าโฉมหน้าห้าเสือ ทบ. ในโผโยกย้ายใหม่นี้ จะชี้วัดว่าใครจะเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตได้หมด
เพราะต้องไม่มองข้าม บิ๊กแช พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อน ตท.17 ของ พล.อ.พิสิทธิ์ ที่อาจจะเข้ามาเป็นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายกันยายน 2560 แล้วจ่อชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ได้ด้วย เพราะเขาเกษียณกันยายน 2562 เลยทีเดียว
พล.ท.วิชัย แชจอหอ
พล.ท.วิชัย แชจอหอ
เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่านายทหารเสือราชินี พิเศษ ที่แม้ไม่ได้อยู่ ร.21 รอ. แต่ก็ตามเสด็จมาตลอด และเติบโตเป็นทหารอีสานมาตลอด
รวมทั้งเป็นน้องเขยของ พล.อ.ณพล บุญทับ อดีต ผช.ผบ.ทบ. ที่ยังคงถวายงานในโครงการพระราชดำริอยู่ และที่สำคัญ ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.ประวิตร ให้ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 2 ในโยกย้ายครั้งก่อนด้วย
ดังนั้น คราวนี้หากให้ พล.ท.วิชัย ขึ้นห้าเสือ ทบ. เลย ทั้งๆ ที่เพิ่งขึ้นแม่ทัพภาคที่ 2 อีกทั้งเกษียณ 2562 แต่ก็จะกลายเป็นแคนดิเดตชิง ผบ.ทบ. กับ พล.ท.เทพพงศ์ ได้ จึงเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตร จะให้บิ๊กแช รอไปก่อน
แต่หากขึ้นห้าเสือ ทบ. กันยายน 2560 ก็มีโอกาสที่จะชิงเป็น ผบ.ทบ. ตัดหน้า ก่อน ตท.20 ขึ้นมา หรือเป็นคู่ชิง ผบ.ทบ. ในอนาคตกับ ตท.20 ที่จะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ในโผนี้ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กตู่ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองแม่ทัพภาคที่ 1 หรือ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 1 ที่เกษียณ 2563 หรือ บิ๊กณัฐ พล.ท.ณัฐ อินทรเจริญ รอง เสธ.ทบ. ที่เกษียณ 2564 เลย
ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นศึกของ ตท.17 และ ตท.18 ที่จะชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. กันยกสองในอนาคต กับ ตท.20 เลยด้วยซ้ำ
ปัญหาของการจัดโผห้าเสือ ทบ. ครั้งนี้ ไม่ใช่อยู่ที่เก้าอี้ ผบ.ทบ. เท่านั้น
แต่เก้าอี้ รอง ผบ.ทบ. อยู่ในสภาวะที่ต้องหานายทหารบกยศพลเอก ที่จะเกษียณมานั่ง เพื่อไม่ให้มีผลต่อการวางตัว ผบ.ทบ. คนต่อไป
เพราะหาก พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. ก็คงจะให้ พล.อ.พิสิทธิ์ รุ่นน้อง ตท.17 นั่งเป็น รอง ผบ.ทบ. ได้ และเล็งกันว่า เสธ.ทบ. คู่ใจของ พล.อ.เฉลิมชัย คือ บิ๊กหน่อย พล.ท.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) เพื่อน ตท.16 นั่นเอง
แต่หาก พล.อ.พิสิทธิ์ เป็น ผบ.ทบ. ก็ต้องหาพลเอก ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ที่จะเกษียณปี 2560 มาเป็น รอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพล เพื่อไม่ให้มีผลต่อการชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไป
แต่ครั้นจะเอา พล.อ.เฉลิมชัย มาเป็น รอง ผบ.ทบ. อาจไม่เหมาะนัก เพราะนอกจากเป็น ตท.16 รุ่นพี่แล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้ามาเป็น รอง ผบ.ทบ. ก็จะจ่อเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไปได้เลย เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย เกษียณกันยายน 2561 ก็จะกลายเป็นคู่แข่งของ พล.ท.เทพพงศ์ น้องรักนายกฯ และบิ๊กป้อม ที่จะขึ้นมาเป็น พลเอก ผช.ผบ.ทบ. ในโผนี้ แถมเกษียณกันยายน 2561 พร้อมกันด้วย
ดังนั้น จึงคาดกันว่า หากไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.เฉลิมชัย ก็ต้องถูกโยกออกไปนอก ทบ. และคาดว่าจะเป็นเก้าอี้ รองปลัดกลาโหม
อย่างน้อยก็ให้มีความหวังที่จะจ่อชิงเก้าอี้ปลัดกลาโหม ในโยกย้ายกันยายน 2560
ด้วยเวลานี้ในกลาโหม ฟันธงกันแล้วว่า บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกลาโหม จะขึ้นเป็นปลัดกลาโหมคนใหม่แน่นอน
ส่วนที่ บก.กองทัพไทย นั้น ก็เกิดกระแสหวาดหวั่น กลัวว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะข้ามห้วยมาเป็น รอง ผบ.สส. แล้วจ่อชิงเก้าอี้ ผบ.สส. ในปีหน้า
เพราะเป็นที่รู้กันว่า ที่ บก.ทัพไทย นั้นมีการวางตัว “สายแข็ง” เรียงกันไว้เลยว่า ใครจะเป็น ผบ.สส.
หลังจากที่ บิ๊กเต้ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ เกษียณราชการกันยายนนี้ ก็จะส่งไม้ต่อให้ บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เสนาธิการทหาร เพื่อนร่วมรุ่น ตท.15 เป็น ผบ.สส. ต่อ
เพราะหาก พล.อ.เฉลิมชัย ข้ามจาก ผช.ผบ.ทบ. มาเป็น รอง ผบ.สส. ก็สามารถขึ้นเป็น ผบ.สส. ต่อได้เลย
แต่ทว่าก็จะไปแทรกคิวของ บิ๊กต๊อก พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ รอง เสธ.ทหาร ที่คาดว่าจะถูกขยับขึ้นมาเป็น เสธ.ทหาร จ่อไว้ เช่นเดียวกับที่จะมีการขยับ บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี หัวหน้าฝ่าย เสธ.ประจำ ผบ.สส. มาเป็น รอง เสธ.ทหาร เตรียมจ่อเพื่อเข้าแถวในการเป็น ผบ.สส. ตามที่ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบ.สส. วางตัวเอาไว้
ดังนั้น จึงมีแรงพัดเป่าให้ พล.อ.เฉลิมชัย ไปนั่งรองปลัดกลาโหม หากว่าพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ.
การโยกย้ายให้จับตามองให้ดีๆ เพราะในฤดูกาลโยกย้ายทหารคราวนี้ ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มต่อต้าน คสช. และทหารแตงโม จับตามองกันเขม็ง เพราะคาดการณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะต้องเอานายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. เพื่อสร้างฐานอำนาจ คุมกองทัพให้มั่นคง เพื่อเป็นมือเป็นไม้ให้ คสช. ต่อไป
จึงเกิดกระแสเชียร์ พล.อ.เฉลิมชัย นายทหารสายรบพิเศษ ให้เป็น ผบ.ทบ. ขึ้นมา
อันเป็นแผนหลายชั้น เพราะฝ่ายต่อต้าน คสช. และทหารแตงโม ลุ้นให้ พล.อ.เฉลิมชัย นายทหารสายรบพิเศษ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องขั้วอำนาจในกองทัพ ที่อยู่ในมือบูรพาพยัคฆ์ และทหารเสือราชินี มายาวนาน
ที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ ต้องการทำให้เกิดขัดแย้งระหว่าง สายบูรพาพยัคฆ์ของ ป.ป้อม ประวิตร กับสายบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ ป.ป๋าเปรม
เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.เฉลิมชัย เป็นน้องรักของ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ลูกป๋าคนโปรด เพราะเป็นนายทหารรบพิเศษ ทำงานมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ
จนทำให้เกิดข่าวสะพัดใน ทบ. ว่า การเลือก ผบ.ทบ.คนใหม่ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ ป.ประวิตร หรือ ป.ประยุทธ์ 2 คนเท่านั้น
แต่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ป.ป๋าเปรม อีกด้วย
เพราะก็ต้องยอมรับว่า พล.อ.สุรยุทธ์ คือลูกรักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่จะต้องมีส่วนในการดูรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ก่อนที่จะทูลเกล้าฯ ด้วย
แม้ว่า พล.อ.เปรม จะเป็นทหารม้า ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.เฉลิมชัย แต่ก็มี พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนกลางที่เคยแนะนำ จนในระยะหลังๆ นี้ พล.อ.เปรม รู้จัก พล.อ.เฉลิมชัย มากขึ้น เพราะในช่วงเกือบปีที่เป็น ผช.ผบ.ทบ. นั้น พล.อ.ธีรชัย ผบ.ทบ. มักมอบหมายให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นตัวแทนไปงานป๋าเปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ ทุกงานแทน โดยเฉพาะโครงการสายใจไทยสู่ใจใต้ ในแต่ละรุ่น ที่ พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาร่วมงานเสมอ ปีละหลายรุ่น
อีกทั้ง พล.อ.เปรม ก็บ่นเสมอว่า เมื่อไหร่จะมีทหารม้าได้เป็น ผบ.ทบ. บ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่จะขึ้นมาทัน หรือขึ้นมาจ่อ แต่ก็เกษียณราชการเสียก่อน ก็อาจทำให้นายทหารม้าอย่างป๋าเปรม หันมาหนุนน้องรักของ พล.อ.สุรยุทธ์ อย่าง พล.อ.เฉลิมชัย ก็เป็นได้
เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารอาชีพ และเติบโตมาตามไลน์อย่างสวยงาม ในไลน์ของทหารรบพิเศษ เป็นทั้งผู้พัน ผู้การ จนเป็น ผบ.พล.รบพิเศษ และเป็น ผบ.นสศ. ก่อนขึ้น ผช.ผบ.ทบ.
เหล่านี้จึงทำให้ฝ่ายต่อต้าน คสช. จับตามอง และหันมาเชียร์ให้ พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. และก็คาดหวังว่า เมื่อ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. 2 ปี อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้
เพราะลึกๆ แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ก็มีเรื่องค้างคาใจกันมานาน ตั้งแต่อยู่ใน ทบ.
แต่ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสถานะที่ดีเยี่ยม และลึกซึ้ง จนร่ำลือกันว่า ก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมานั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้รับข้อคิดจาก พล.อ.สุรยุทธ์ ด้วย
จนวันนี้ ทหารในกองทัพ ก็ไม่มีใครพูดได้ว่า โผโยกย้ายทหารนี้จบแล้ว จบลงที่ พล.อ.พิสิทธิ์ เป็น ผบ.ทบ. เพราะตราบใดที่ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 เดือน และตราบใดที่ยังไม่มีโปรดเกล้าฯ ออกมา ตราบนั้น ก็คือยังไม่จบ
เห็นทีต้องให้ พี่ป้อม กับ น้องตู่ ป.ประวิตร และ ป.ประยุทธ์ ตกลงกันให้ชัดๆ เสียก่อน แบบไม่ต้องใช้ ม.44 เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า งัดข้อ หรือขัดแย้งกัน แล้วมาตบท้ายที่ ป.ป๋าเปรม จึงจะเรียกว่า ไฟนอล…

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ย้อนดู“เบญจา หลุยเจริญ” เฉลยคำวินิจฉัย ปิดตำนานหุ้นชินคอร์ป "ไม่ต้องเสียภาษี" (โพสต์ 16 มีนาคม 2555)

วันนี้ 28 กรกฎาคม 2559 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา คดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เป็นโจทย์ฟ้องนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง และอดีต รองอธิบดีกรมสรรพากรกับพวกรวม 5 ราย กรณีการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ชินวัตร ในการไม่ต้องชำระภาษีจากการโอนหุ้นกว่า 8,000 ล้านบาท ล่าสุดศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1-4 ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
///

“เบญจา หลุยเจริญ” เฉลยคำวินิจฉัย ปิดตำนานหุ้นชินคอร์ป "ไม่ต้องเสียภาษี" (โพสต์ 16 มีนาคม 2555)

16 มีนาคม 2012
นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต
นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต
นับตั้งแต่วันที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ชื่อของบุคคลที่ถือว่าฮอตที่สุดของกระทรวงการคลังที่ถูกจับตาอย่างเสมอมา จึงมีชื่อ “เบญจา หลุยเจริญ” อธิบดีกรมสรรพสามิต ติดโผทุกครั้งที่มีกระแสข่าวโยกย้ายคนคลังขึ้นมาทีไร ชื่อนี้ไม่เคยตกขบวน ด้วยความสัมพันธ์แบบสายตรงกับคนในบ้านจันทร์ส่องหล้ามาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เคยรับราชการอยู่ที่กรมสรรพากร
“เบญจา” เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ปฯ) ในฐานะอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ตอนนั้นทำหน้าที่ให้บริการตอบข้อหารือผู้เสียภาษี แต่เป็นประเด็นขึ้นมา คือ “เบญจา” ตอบข้อหารือ กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า “ไม่ต้องเสียภาษี” จึงกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างแดน กลายเป็นปมจุดประเด็นความขัดแย้งอื่นๆตามมามากมาย
เวลาผ่านมา 5 ปี “เบญจา” ยังยืนยันในหลักการที่เธอวินิจฉัย กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ก่อนที่คดีนี้จะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคม 2555 อธิบดีกรมสรรพากรออกมายืนยันซ้ำอีกครั้งว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องเสียภาษี” (อ่านเพิ่ม “ปิดตำนานซุกหุ้นชินคอร์ป สรรพากรยุติบี้ภาษีครอบครัว “ทักษิณ ชินวัตร” – “แก้วสรร” คาใจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล”) สำหรับ “เบญจา” แล้วเธอคิดอย่างไร ถึงได้กล้าตัดสินใจลงนามในหนังสือตอบข้อหารือฉบับนั้น
เธอเล่าว่า “เรื่องหุ้นมันต้องมีเจ้าของแน่นอน ถ้าจะถามเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเล่นการเมืองได้โอนหุ้นให้กับบริษัท แอมเพิลริช จากนั้นแอมเพิลริชขายหุ้นให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร (โอ๊ค-เอม) บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และต่อมาทั้งคู่ได้นำหุ้นไปขายให้กองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ”
ตามหลักการของกฏหมาย หากเป็นกรณีการขายสินค้าและบริการในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง กรมสรรพากรจะใช้มาตรา 65 ทวิ (4) เข้าไปประเมินภาษีผู้ขายได้ แต่ถ้าเป็นกรณีของการขายหุ้นต่ำกว่าราคาตลาดจะใช้มาตรานี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การขายสินค้าและบริการทั่วไป
ยกตัวอย่าง น้ำอัดลมขวดละ 10 บาท แต่ขาย 8 บาท กรณีนี้กรมสรรพากรใช้อำนาจตามมาตรา 65 ทวิ (4) เข้าไปประเมินภาษีคนขายได้ แต่ถ้าเป็นกรณีหุ้นเพิ่มทุนราคา 10 บาท แต่ขายให้พนักงานแทนโบนัสในราคา 8 บาท ตรงนี้จะไปประเมินภาษีกับคนขายไม่ได้
ฟากหนึ่งกรมสรรพากรไปประเมินภาษีกับคนขาย อีกฟากหนึ่งไปประเมินภาษีกับคนซื้อ กรมสรรพากรไม่สามารถเรียกเก็บภาษี 2 ทางได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง กรณีของเซ็นทรัลการ์ดให้ส่วนลด 5% แก่สมาชิกที่ใช้บัตรรูดซื้อสินค้า ถ้าคนขายไม่มีเหตุผลอันสมควร กรมสรรพากรใช้มาตรา 65 ทวิ (4) เรียกเก็บภาษีกับคนขายได้ แต่จะไปไล่ประเมินภาษีกับคนซื้อไม่ได้
ขณะที่กรณีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ กรมสรรพากรกลับไปไล่เก็บภาษีเอากับผู้ซื้อ และถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องไปเก็บภาษีกับคนใช้บัตรเซ็นทรัลการ์ดรูดซื้อสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงด้วย เพราะได้ส่วนลด 5%
ความหมายที่ยกตัวอย่างขึ้นมาในข้างต้นก็เพื่อจะบอกว่า กรณีขายหุ้นชินคอร์ปฯ ก็ต้องไปเก็บภาษีกับคนที่ขายหุ้น (บริษัท แอมเพิลริช) นี่เป็นแนวทางที่ใช้ในการตอบข้อหารือในสมัยที่เป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร ถ้าบริษัทแอมเพิลริชมีสถานประกอบการอยู่ในประเทศไทย ป่านนี้คงถูกกรมสรรพากรไล่เก็บภาษีไปเรียบร้อยแล้ว แต่บังเอิญ บริษัท แอมเพิลริช เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ จึงเก็บภาษีไม่ได้ พอเก็บภาษีกับคนขายหุ้นไม่ได้ ก็เลยมาเก็บเอากับคนซื้อหุ้น

ไทยพับลิก้า : แล้วมีความคิดเห็นอย่างไรต่อคำตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร และกรมสรรพากร

อธิบดีกรมสรรพสามิตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเข้าประชุม เพราะกลัวจะเป็นประเด็น จึงมอบหมายให้คุณจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ไปประชุมแทน แต่พอคณะกรรมการฯ มีคำวินิจฉัยออกมา คุณจุมพลเอาผลการวินิจฉัยมาให้อ่านก็เข้าใจ
สรุปง่ายๆ อีกครั้ง คือ เดิมที พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับโอ๊ค-เอม และโอ๊ค-เอมก็เอาหุ้นมาขายให้กองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อมาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลภาษีอากรกลางตัดสินว่าไม่ใช่หุ้นของโอ๊ค-เอม ก็เท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นให้กับกองทุนเทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้รับการยกเว้นภาษี จบ

ไทยพับลิก้า : ไม่ใช่บริษัทแอมเพิลริช ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับเทมาเส็กโดยตรง

หากไปตีความอย่างนั้นยิ่งเก็บภาษีไม่ได้กันไปใหญ่เลย เพราะแอมเพิลริชเป็นบริษัทต่างประเทศ ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ข้อเท็จจริงทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ วันนี้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ จบแล้ว

ไทยพับลิก้า : จากเรื่องชินคอร์ปฯ ขอเปลี่ยนมาถามเรื่องแผนการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิต ขณะนี้มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

เรื่องแผนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ขณะนี้เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงรอเสนอคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เท่านั้น (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) มีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว
รายการไหนถูกบรรจุอยู่ในแผนระยะสั้น หากผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้วส่งให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติเมื่อไหร่ ก็จะมีผลบังคับใช้ทันที ส่วนแผนระยะยาว กรมสรรพสามิตต้องยกร่างกฏหมายแก้ไข พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต เสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาอนุมัติ ถึงจะมีผลบังคับใช้

ไทยพับลิก้า : รายละเอียดของแผนการปรับโครงสร้างภาษีเป็นอย่างไร

เรื่องภาษีเป็นถือเป็นความลับ คงจะแจกแจงในรายละเอียดมากไม่ได้ แต่จะให้พูดก็พูดได้แค่ภาพรวมกว้างๆ รายการสินค้าที่ถูกบรรจุอยี่ในแผนระยะสั้นก็มีอยู่หลายรายการ อย่างเช่น น้ำมันดีเซล เดิมเก็บอยู่ที่ลิตรละ 5 บาท แต่ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ปรับลดลงเหลือ 0.005 บาท ต่อลิตร ทำให้รายได้ของกรมสรรพสามิตหายไปเดือนละ 9,000 ล้านบาท แต่ช่วงนี้คงจะปรับภาษีขึ้นไปลำบาก เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
แต่แนวทางที่กรมสรรพสามิตดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ ทำเรื่องเสนอที่ประชุม ครม. ขอให้มีการต่ออายุมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลแค่ 1 เดือน และทำต่อเนื่องทุกเดือนๆ ไปจนถึงเดือนเมษายน 2555 แล้วมาดูกันอีกครั้งว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงแล้วหรือยัง ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ประกอบกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการมีผลบังคับใช้ ก็มีโอกาสที่จะปรับภาษีน้ำมันดีเซลขึ้นไปได้
ถัดมาก็เป็นเรื่องการปรับโครงสร้างอัตราภาษีรถยนต์ ซึ่งจัดเก็บภาษีจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยออกมา นโยบายนี้ทำไว้ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกำลังจะมีผลบังคับใช้ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2555 นี้ คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง สั่งให้ขยายเวลาในการบังคับใช้ออกไปก่อน และสั่งให้พิจารณาอย่างรอบครอบ เพราะของเดิมที่ทำไว้มีหลายออปชั่น โครงสร้างภาษีใหม่จะต้องไม่สลับซับซ้อนและง่ายต่อการจัดเก็บภาษี
หลักการใหญ่ๆ คือ ถ้าเป็นกรณีรถยนต์ที่มีราคาแพง หากมีปริมาตรกระบอกสูบเกิน 3,000 ซีซี เก็บไปเลย 50% ของมูลค่า แต่ถ้าต่ำกว่า 3,000 ซีซี จะแยกออกมาเป็นหมวดย่อยๆ และมีหมวดของรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนแยกมาอีกต่างหาก เช่น รถยนต์ที่ติดก๊าซเอ็นจีวีมาจากโรงงานผู้ผลิต, รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน E-85 และอีโคคาร์ แต่ตอนนี้ตนได้ทำเรื่องเสนอไปกระทรวงการคลัง ขอขยายเวลาในการบังคับใช้โครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ออกไปก่อน
อีกตัวที่กรมสรรพสามิตจะเสนอรัฐบาลให้มีการปรับอัตราภาษีขึ้นไป คือ ก๊าซแอลพีจี ขณะนี้เก็บอยู่ที่ลิตรละ 2.17 บาท ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือมีการลักลอบส่งก๊าซแอลพีจีไปขายประเทศเพื่อนบ้าน เพราะแอลพีจีในประเทศไทยขายกันที่กิโลกรัมละ 18 บาท แต่ประเทศเพื่อนบ้านขายกิโลกรัมละ 40 บาท การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตขึ้นไปก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหานี้ได้
ส่วนเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับภาคครัวเรือน รัฐบาลจะต้องไปคิดหาวิธีการจ่ายเงินชดเชยกันใหม่ และอยากจะเสนอให้เก็บภาษี คือก๊าซเอ็นจีวีที่ใช้กับรถยนต์ แต่ถ้าใช้กับโรงงานผลิตไฟฟ้าไม่ต้องเก็บ เพราะไม่อยากจะให้มีผลกระทบกับค่าไฟฟ้า
ส่วนที่เหลือก็จะมีภาษีโทรคมนาคม จะเสนอกระทรวงการคลังให้กลับไปเก็บที่อัตราเดิม 10% ของรายได้, ภาษีสลากกินแบ่งรัฐบาล แอร์ น้ำผลไม้ ชา กาแฟ น้ำมันหล่อลื่น บัตรเข้าชมภาพยนต์ที่มีราคาแพง เช่น เก้าอี้นั่งคู่ ส่วนภาษีเหล้าและบุหรี่เสนอ ครม. ให้มีการปรับอัตราขึ้นไปได้อีกเล็กน้อย แต่ในระยะยาวต้องทำเรื่องเสนอรัฐสภา ขอแก้ไขกฏหมายเพื่อขยายเพดานภาษีขึ้นไป

ไทยพับลิก้า : แล้วเตรียมแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีไว้อย่างไรบ้าง

มีหลายเรื่องที่จะทำ คือ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของแสตมป์เพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลง ในแสตมป์จะมีรหัสบาร์โค้ดฝังอยู่ ตรวจสอบง่าย เช่น สินค้าผลิตเมื่อไหร่ เสียภาษีเมื่อไหร่ ขอจริงหรือของปลอม กรมสรรพสามิตสั่งซื้อแสตมป์ปีละหลายพันล้านดวง ดวงละ 10 สตางค์ แต่ละปีใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท หากจะปรับเปลี่ยนรูปแบบแสตมป์ ครั้งแรกต้องลงทุนมากหน่อย แต่ในระยะยาวจะดีขึ้น

ไทยพับลิก้า : ปัญหาผู้ประกอบการแจ้งราคานำเข้า (C.I.F.) หรือ ราคาหน้าโรงงานต่ำกว่าความเป็นจริงจะแก้ไขอย่างไร

ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตไปฝากกรมศุลกากรจัดเก็บภาษี ซึ่งศุลกากรเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก ต้องใช้ราคาแกตต์ ผู้นำเข้าสำแดงราคามาเท่าไหร่ ก็ต้องยอมรับตามกฏ หากสำแดงราคามาต่ำกว่าความเป็นจริง กรมสรรพสามิตจะเก็บภาษีไม่ได้ด้วย นอกจากนี้ยังต้องมองข้ามไปถึงปี 2558 ด้วย ประเทศไทยต้องเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หากไม่เตรียมมาตรการไว้รับมือ ผู้นำเข้าอาจจะแจ้งราคานำเข้าต่ำกว่ากันหมด ในที่สุดก็เก็บภาษีไม่ได้ ประเทศชาติเสียหาย
อย่างเช่น บุหรี่ไทยสำแดงราคาที่ ซองละ 2.7 บาท ขณะที่บุหรี่นำเข้าจากจีน สำแดงราคานำเข้าซองละ 1.1 บาท แค่ค่ากระดาษบรรจุหีบห่อยังทำไม่ได้เลย
ดังนั้น สิ่งที่กรมสรรพสามิตจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ ขอปรับเปลี่ยนฐานราคาที่ใช้ในคำนวณภาษี จากราคา C.I.F. และราคาหน้าโรงงาน มาเก็บภาษีจาก “ราคาขายปลีก” เดิมทีจะทำเฉพาะบุหรี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ต้องทำทุกรายการ มิฉะนั้นประเทศเสียหาย โดยกรมสรรพสามิตเสนอให้ออกเป็นพระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต
นอกจากเรื่องการปรับเปลี่ยนฐานราคาที่ใช้ในการคำนวณภาษี และกรมสรรพสามิตจะเสนอให้มีการแก้ไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีในเขตส่งเสริมการส่งออก (Export processing zone) ด้วย วัตถุประสงค์ดั้งเดิม กระทรวงกการคลังจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาตั้งฐานผลิตสินค้าในประเทศไทย แล้วส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ
แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเสร็จก็นำสินค้าออกมาขายในประเทศ แถมยังใช้ราคา C.I.F. แจ้งราคาต่ำอีก ทางแก้ไขคือ ต้องเร่งนำระบบราคาขายปลีกมาใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิต ปัญหานี้ก็จะจบลงทันที

ไทยพับลิก้า : ปัญหาอะไหล่รถยนต์เก่าจากต่างประเทศมาประกอบเป็นรถยนต์หรูหราขายในราคาถูก หรือที่เรียกว่า “รถจดประกอบ” มีแนวทางแก้ไขอย่างไร

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม เดิมจะให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามการนำเข้าอะไหล่เก่า แต่จะมีผลกกระทบกับอู่ซ่อมรถของบริษัทประกันภัย และโรงงานประกอบรถบรรทุก จึงตกลงกันใหม่ว่าจะให้กระทรวงคมนาคมไม่รับจดทะเบียนรถยนต์ประเภทนี้ แต่ในระหว่างที่กระทรวงคมนาคมยังไม่มีประกาศออกมา ทางกรมสรรพสามิตได้มีการปรับราคาหน้าโรงงานของรถยนต์ประเภทนี้ขึ้นไปแล้ว


(ข้อมูล)ปิดตำนานซุกหุ้นชินคอร์ป สรรพากรยุติบี้ภาษีครอบครัว “ทักษิณ ชินวัตร ” – “แก้วสรร” คาใจต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

22 กุมภาพันธ์ 2012
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาภาพ: http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/398/24398/images/shintax.jpg
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาภาพ: http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/398/24398/images/shintax.jpg
หลังจากที่คณะกรรมการปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองของไทยสำเร็จ ในเดือนกันยายน 2549 ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบโครงการต่างๆที่ทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลายเรื่องถูกดำเนินการไปเรียบร้อย อาทิ โครงการจัดซื้อที่ดินรัชดา, จัดซื้อกล้ายาง, รถดับเพลิง, หวยบนดิน ยกเว้นคดีหลบเลี่ยงภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งเปรียบเสมือนหนามที่แทงกลางดวงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากจะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังถูกกรมสรรพากรตามไปอายัดทรัพย์สินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร (โอ๊ค-เอม)อีก 12,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งคู่ได้นำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปต่อสู่ในศาลภาษีอากรกลางจนชนะคดี เพราะบุคคลทั้งสองไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง ทำให้กรมสรรพากรต้องถอนอายัดทรัพย์สินคืนให้กับโอ๊ค-เอม
ถึงแม้ทั้ง 2 ศาลตัดสินแล้วว่า หุ้นชินคอร์ปฯ ไม่ใช่หุ้นของโอ๊ค-เอม แล้วหุ้นชินคอร์ปฯ เป็นของใคร พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ บริษัทแอมเพิลริชที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ ก็ยังเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตีความกัน ทำให้กรมสรรพากรต้องนำประเด็นนี้มาขอความเห็นจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่มีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ ซึ่งนายอารีพงศ์ได้มอบหมายให้นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ แทน
และในที่สุด มหากาพย์การต่อสู้ของคนในตระกูลชินวัตรก็ปิดฉากลง เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้มีการพิจารณาเรื่องนี้ โดยนางเสาวนีย์ กมลบุตร ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้วินิจฉัยกรณีการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ โดยนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ และศาลภาษีอากรมาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำพิพากษาของศาลระบุว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ แต่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาล
นางเสาวนีย์กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนกรณีที่กรมสรรพากรมาขอความเห็นว่า จะประเมินภาษีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้หรือไม่ คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า เรื่องการจัดเก็บภาษีหรือการประเมินภาษีนั้น น่าอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่มีหน้าที่ไปตัดสินว่าจะให้กรมสรรพากรไปเก็บภาษีใคร หรือ ไม่เก็บใคร ประเด็นนี้ อธิบดีกรมสรรพากรจะต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะเก็บภาษี พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ด้านนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้สรุปผลการวินิจฉัย กรณีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ที่แท้จริง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องแสดงต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ตกเป็นของแผ่นดินไปหมดแล้ว จากนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเสกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฏกระทรวงฉบับที่ 126
“เรื่องภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวิตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษี พ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ” นายสาธิตกล่าว
นายแก้วสรร อติโพธิ(คนกลาง) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
นายแก้วสรร อติโพธิ(คนกลาง) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า ผมไม่เข้าใจ ทำไมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร และอธิบดีสรรพากรไปเอาคำพิพากษาจากศาลมาพิจารณา เพราะศาลทั้ง 2 ศาล ก็ไม่ได้ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง แต่ศาลตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของบริษัทแอมเพิลริชที่ถือหุ้นชินคอร์ปฯ กล่าวคือในปี 2542 พ.ต.ท.ทักษิณได้จัดตั้งบริษัทแอมเพิลริช และมีการโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับบริษัทแอมเพิลริช และก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเล่นการเมือง ในปี 2543 ได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทาในราคา 1 บาทต่อหุ้น ต่อมา ทั้งคู่ได้นำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประกาศกระทรวง ฉบับที่ 126 แต่มาถูก คตส. ตรวจสอบพบจึงนำเรื่องนี้ส่งฟ้องศาลฎีกาฯ
“กรมสรรพากรยอมรับหรือไม่ หุ้นชินคอร์ปฯ นั้นเป็นของบริษัทแอมเพิลริช และ พ.ต.ท.ทักษิณคือเจ้าของบริษัทแอมเพิลริช ศาลทั้ง 2 ศาลตัดสินว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง ดังนั้นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริงก็คือบริษัทแอมเพิลริชที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของ เมื่อแอมเพิลริชนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประกาศกระทรวง ฉบับที่ 126 เพราะถือว่าเป็นการซื้อ-ขายหุ้นระหว่างบริษัทกับบริษัท ดังนั้น กรมสรรพากรจึงมีหน้าที่ที่จะต้องไปไล่เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% หรือเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับทักษิณที่ได้หุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด” นายแก้วสรรกล่าว
อนึ่ง คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ตามมาตรา 13 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร จะมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ กรรมการประกอบด้วย อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสรรพสามิต ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 คน มีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1) กำหนดขอบเขตในการใช้อำนาจของเจ้าพนักงานประเมินและพนักงานเจ้าหน้าที่ 2) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลาในการตรวจสอบ และประเมินภาษีอากร 3) วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับภาษีอากรที่กรมสรรพากรขอความเห็น และ 4) ให้คำปรึกษาหรือเสนอแนะแก่รัฐมนตรีในการจัดเก็บภาษีอากร คำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯให้ถือเป็นที่สุด

ปรากฏการณ์‘คนดัง-นักการเมืองใหญ่’ พาเหรดเข้าคุก-จ่อคิวอีกเพียบ?

“…มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศในช่วงกลางปี 2557 เป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมไทยเริ่มจะรุดหน้าไปได้เร็วมากขึ้น รวมถึงศาลมีคำพิพากษาออกมาค่อนข้างรุนแรง นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-เอกชน ในปัจจุบันและในอนาคต จะต้อง ‘พึงระวัง-ตระหนัก’ ว่า ไม่ควรทำอะไรที่ลึกลับซับซ้อน-ไม่ชอบมาพากลอีก…”
PIC nakkanmuang 9 6 59 1
ปิดฉากเส้นทางการเมืองไปอีก 2 ราย !
สำหรับ ‘ชูชีพ หาญสวัสดิ์’ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยุค ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และ ‘วิทยา เทียนทอง’ น้อง ‘ป๋าเหนาะ’ นายเสนาะ เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ (สมัยนายชูชีพ) ภายหลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา ‘จำคุก’ คนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกับฮั้วประมูลการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เพื่อแจกเกษตรกรที่เดือดร้อนเมื่อปี 2544-2545 กว่า 1.3 แสนตัน รวมวงเงินกว่า 367 ล้านบาท
สำหรับนายชูชีพ และนายวิทยา ไม่ใช่เป็นกรณีแรกที่นักการเมืองชื่อดัง ถูกศาลฎีกาฯพิพากษา แล้วต้องไปชดใช้กรรมในคุก แต่ยังมีนักการเมืองระดับชาติอีกไม่น้อยที่เคยเข้าไปนอนในคุกเนื่องด้วยกระทำความผิดฐานทุจริต ?
ใครเป็นใคร ? สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ย้อนข้อมูลนักการเมืองระดับชาติ-บุคคลดังที่เคยต้องคำพิพากษาจากศาลให้จำคุกมานำเสนอ ดังนี้
เบื้องต้น สามารถแบ่งการพิจารณาได้ 2 ส่วน คือ คำพิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
หนึ่ง คดีในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 
เชื่อหรือไม่ ศาลฎีกาฯ เคยไต่สวนนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่ ‘อดีตนายกฯ-รัฐมนตรี’ จนถึงอดีต ส.ส. มาจำนวนหลายสิบราย ในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต แต่มีเพียงนักการเมืองเพียง 4 รายเท่านั้นที่เคยได้ลิ้มรส ‘ติดคุก’ แบบจริง ๆ ไม่ทันได้หลบหนีไปไหน !
รายแรกไม่เอ่ยถึงไม่ได้ เพราะถือเป็นนักการเมืองระดับ ‘รัฐมนตรี’ คนแรกที่ถูกคำพิพากษาให้จำคุกนั่นคือ ‘รักเกียรติ สุขธนะ’ อดีต รมว.สาธารณสุข สมัยรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ และนายจิรายุ จรัสเสถียร อดีตที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข (นายรักเกียรติ)  พร้อมพวกอีก 4 ราย ฐานทุจริตรับสินบน 5 ล้านบาท โดยนายจิรายุ ถูกพิพากษาให้จำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนนายรักเกียรติได้หลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาจากศาลฎีกาฯ กระทั่งมีผู้พบเห็นกำลังออกกำลังกายอยู่ที่สวนธารณะ จึงแจ้งตำรวจ และนำตัวมาฟังคำพิพากษาเมื่อปี 2547 จะถูกพิพากษาให้จำคุก 15 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ต่อมาได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ กระทั่งได้รับการพักโทษ และถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำช่วงปี 2552
ถัดจากนั้นต้องรออีกยาวนานกว่า 12 ปี จึงจะมีนักการเมืองระดับ ‘อดีตรัฐมนตรี’ ติดคุกจริงอีกครั้ง นั่นคือกรณีล่าสุดที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกนายชูชีพ กับนายวิทยา ฐานทุจริตฮั้วประมูลซื้อปุ๋ย 1.3 แสนตัน ช่วงปี 2544-2545 ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร โดนโทษเข้าไปอยู่ในซังเต 6 ปี ไม่รอลงอาญา
นอกจากนั้นแล้ว มีอดีตนักการเมืองระดับชาติจำนวนมากที่หลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริต ได้แก่ช่วงปี 2551 มีนักการเมืองระดับ ‘นายกรัฐมนตรี’ ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้จำคุกคือ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาวที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในคดีทุจริตการซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก พิพากษาให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 
ถัดจากนั้นไม่กี่เดือนในปี 2551 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้จำคุกนักการเมืองระดับ ‘รัฐมนตรี’ อีกรายหนึ่ง คือ ‘วัฒนา อัศวเหม’ นักการเมืองชื่อดังย่านปากน้ำ-สมุทรปราการ อดีต รมช.มหาดไทย 10 ปี ฐานทุจริตการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน 
หลังจากนั้นช่วงปี 2556 ศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกนายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ยุครัฐบาล ‘ทักษิณ’ 12 ปี ไม่รอลงอาญา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. 10 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม.
อย่างไรก็ดีนักการเมืองทั้งสี่รายข้างต้น ได้หลบหนีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียก่อนที่จะชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในคุก !
กระทั่งล่าสุด เมื่อปี 2558 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต ซึ่งปรากฏชื่อของ ‘ทักษิณ’ เป็นจำเลยที่ 1 โดยมี 2 อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย และนายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ร่วมเป็นจำเลยด้วย 
ทว่าคนที่โดนโทษกลับเป็น 2 ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย คือ ร.ท.สุชาย และนายวิโรจน์ กับบรรดาเจ้าหน้าที่ในธนาคารกรุงไทย พร้อมกับนิติบุคคลเครือข่ายของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) เท่านั้น ส่วนนายทักษิณ ศาลฎีกาฯ ได้สั่งจำหน่ายคดีออกไปก่อน เนื่องจากหลบหนี
ปัจจุบันคดีดังกล่าวถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนในความผิดฐานฟอกเงินด้วย โดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตระกูล ‘ชินวัตร’ ถูกสอบด้วยอย่างน้อย 4 ราย ได้แก่ ‘โอ๊ค’ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ‘ทักษิณ’ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 
ขณะเดียวกันปัจจุบันยังมีนักการเมืองระดับชาติ-อดีตข้าราชการอีกอย่างน้อย 9 รายที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ไม่ว่าจะเป็นตระกูล ‘ชินวัตร’ รายที่สอง อดีตนายกฯ ‘ยิ่งลักษณ์’ น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของ ‘ทักษิณ’ ในคดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว
อีกสามรายเป็นคดีที่เกี่ยวพันกัน คือ ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์’ อดีต รมว.พาณิชย์ ‘ภูมิ สาระผล’ อดีต รมช.พาณิชย์ และ‘หมอโด่ง’ นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ (นายบุญทรง) ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยทุจริต อย่างไรก็ดีสำหรับ ‘หมอโด่ง’ ปัจจุบันหลบหนีคดีไปแล้ว
อีกรายหนึ่งที่โดนอย่างน้อย 2 คดี ได้แก่ ‘หมอเลี๊ยบ’ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย และถือเป็นมันสมองให้กับ ‘ทักษิณ’ โดนไต่สวนในคดีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คือ แทรกแซงการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และเปลี่ยนแปลงสัญญาไทยคมเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน
นอกจากนี้ยังมีคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อปี 2551 ที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเมื่อปี 2555 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาลฎีกาฯเช่นเดียวกัน
กรณีนี้ นายสมชาย พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน เพื่อขอให้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว ปัจจุบันเรื่องนี้อยู่ระหว่างการสรุปรายงานของคณะทำงาน ป.ป.ช. ก่อนส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติว่าจะถอนฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่
สำหรับทั้ง 7 คดี 9 นักการเมืองระดับชาติ-อดีตข้าราชการที่ตกเป็นจำเลยเหล่านี้ เท่าที่ดูบัญชีนัดความแล้ว ศาลฎีกาฯ น่าจะนัดพิพากษาคดีดังกล่าวในช่วงปี 2561-2562 ทั้งหมด ดังนั้นน่าจับตาว่าบุคคลเหล่านี้จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในชั้นกระบวนการไต่สวนของศาลฎีกาฯได้จนหมดสิ้นข้อสงสัยหรือไม่ 
หรือจะมีการ ‘หลบหนี’ ไปก่อนคำพิพากษาเหมือนนักการเมือง ‘รุ่นพี่’ ที่เคยทำมาแล้วในอดีต ? 
สอง คดีที่ตัดสินไปแล้วในชั้นศาลอาญา (ศาลชั้นต้น) ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา นั้น มีนักการเมือง รวมถึงบุคคลชื่อดังระดับ ‘เซเล็ป’ ในสังคมหลายราย ถูกพิพากษาให้จำคุก สรุปได้ดังนี้
กรณีล่าสุดคือ ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. คนละ 3 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีไม่เร่งสอบสวนข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคการแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงรับสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 
ก่อนหน้านี้ยังมีคนเด่นดังที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก ได้แก่ นายชนม์สวัดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ บุตรชาย ‘วัฒนา อัศวเหม’ ถูกพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นผู้มีหน้าที่ในการเลือกตั้งหรือเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการโดยเจตนาขัดขวางไม่เป็นไปตามกฎหมาย ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำสมุทรปราการ
หรือแม้แต่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ อดีตเจ้าพ่ออ่าง-หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีรื้อบาร์เบียร์ ซ.สุขุมวิท 10 ซึ่งเพิ่งมารับสารภาพในชั้นฎีกา ภายหลังการต่อสู้ในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด 
รวมไปถึง ‘เด็จพี่’ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส. และโฆษกพรรคเพื่อไทย พ่วงด้วยนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาทตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
อีกคดีหนึ่งที่ต้องรอลุ้นในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ คือ ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษารอบสองในคดีกล่าวหานายขวัญชัย ไพรพนา อดีตแกนนำคนเสื้อแดงภาคอีสาน ที่ปัจจุบันถูกออกหมายจับเนื่องจากหลบหนีไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา ในคดีทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อปี 2551
ถัดมาในชั้นศาลอุทธรณ์ ปรากฏชื่อของอดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง ‘เสี่ยเปี๋ยง’ นายอภิชาต จันทร์สกุลพร อดีตเจ้าของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ถูกศาลอุทธรณ์จำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดียักยอกข้าวในสต๊อกของรัฐช่วงรัฐบาลนายทักษิณ ปัจจุบันติดคุกอยู่เรือนจำสมุทรปราการ แต่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจเนื่องได้มีอาการป่วยมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2559
ทั้งนี้ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ เป็นหนึ่งในจำเลยคดีระบายข้าวจีทูจีเก๊ ร่วมกับนายบุญทรง และนายภูมิด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
ขณะเดียวกันยังมีสื่อมวลชนชื่อดัง ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ อดีตผู้บริหารกลุ่มแมเนอร์เจอร์ มีเดีย (MGR) ผู้ก่อตั้งสื่อเครือเอเอสทีวี ผู้จัดการ หนึ่งในจำเลยคดีที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 20 ปี ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนายสนธิ กับพวกร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของ MGR เมื่อช่วงปี 2540 ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจำนวน 1,078 ล้านบาทให้แก่บริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MGR โดยที่บอร์ด MGR ไม่ทราบ ต่อมาบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ปฯ ผิดนัดชำระเงินกู้ ส่งผลให้ MGR ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับภาระเป็นผู้ชำระหนี้ให้กับธนาคารกรุงไทยเป็นจำนวน 259 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาจำคุกนายสนธิ ไปแล้วจำนวน 85 ปี แต่ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน อย่างไรก็ดีความผิดสูงสุดในฐานความผิดดังกล่าวกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุกนายสนธิคนละ 20 ปี ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างฎีกา
ส่วนในชั้นศาลอาญา มีอดีตข้าราชการระดับสูงนั่นคือ ‘คุณหญิงเป็ด’ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอดีตกรรมการ คตส. ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันจัดสัมมนาที่ จ.น่าน เป็นเท็จ แต่กลับเป็นการไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยเบิกค่าเดินทาง ที่พัก ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นถึง ‘อดีต’ นักเล่าข่าวชื่อดัง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 13 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ (นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงาน อสมท) ยักยอกเงินค่าโฆษณาทำให้ อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์
อย่างไรก็ดีนายสรยุทธ ยังถูกฟ้องร้องอีก 2 คดี ได้แก่ คดีฉ้อโกง ซึ่ง อสมท ฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ และคดีปลอมแปลงเอกสารสิทธิใช้น้ำยาลบคำผิดใบคิวโฆษณา ที่ล่าสุดศาลอาญาเพิ่งประทับรับฟ้อง และนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29 ส.ค.นี้
ทั้งหมดคือคดีความของ ‘นักการเมืองระดับชาติ-บุคคลดัง’ ที่ตกเป็นจำเลยถูกศาลพิพากษาจำคุกในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่บางรายก็อยู่ระหว่างอุทธรณ์ หรือฎีกาเพื่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันต่อไป
อย่างไรก็ดีมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศในช่วงกลางปี 2557 เป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมไทยเริ่มจะรุดหน้าไปได้เร็วมากขึ้น รวมถึงศาลมีคำพิพากษาออกมาค่อนข้างรุนแรง เสมือน ‘เอาจริง’ หากพบว่าบุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทุจริต
นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-เอกชน ในปัจจุบันและในอนาคต จะต้อง ‘พึงระวัง-ตระหนัก’ ว่า ไม่ควรทำอะไรที่ลึกลับซับซ้อน-ไม่ชอบมาพากลอีก 
เพราะไม่อย่างนั้นอาจลงเอยถึงขั้นติดคุกติดตะราง หรืออาจต้องหลบหนีไปและไม่มีโอกาสกลับประเทศอีกเลยก็เป็นได้ !

ย้อนรอยจุดตาย 'เบญจา-พวก' จำคุก 3 ปี ตอบข้อหารือช่วย'โอ๊ค-เอม'เลี่ยงภาษีหุ้นชิน


"...การที่ น.ส.ปราณี ได้ทำหนังสือสอบถามการประเมินเสียภาษีไปยังกรมสรรพากร แต่กรมสรรพากรกลับมีหนังสือยืนยันว่าไม่ต้องเสียภาษี และไม่เข้าเกณฑ์ประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 39 ซึ่งการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ และเกิดช่องโหว่ที่ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ รวมถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากมีผู้นำกรณีดังกล่าวไปใช้ปฏิบัติตาม.."
picgygygyg28 7 17
นับจนถึงเวลานี้ สาธารณชนคงได้รับทราบข้อมูลกันไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ศาลอาญา ได้พิพากษาจำคุก นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร พร้อมอดีตข้าราชการ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ช่วยนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด 
โดยนางเบญจา พร้อมด้วยอดีตข้าราชการกรมสรรพากรอีก 3 คน ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 3 ปี มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี
ส่วน น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการคุณหญิงพจมาน มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี
และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดจึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

(อ่านประกอบ : คุก3 ปี!'เบญจา-3อดีตขรก.' คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินฯ-คนใกล้ชิดเลขาฯพจมาน โดนด้วย)

แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบข้อมูลจุดเริ่มต้นของคดีนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร นางเบญจา และอดีตข้าราชการกรมสรรพากร อีก 3 ราย รวมถึง น.ส.ปราณี กระทำการอะไร อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ถูกศาลตัดสินความผิด มีโทษร้ายแรงถึงขั้นถูกสั่งจำคุก โดยไม่รอลงอาญาแบบนี้ 
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำข้อมูลและหลักฐานสำคัญในคดีนี้ มานำเสนอแบบชัดๆ อีกครั้ง 
@ จุดเริ่มต้น 
เป็นที่ทราบกันดีว่า การขายหุ้น บมจ. ชินคอร์ปอเรชั่น ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ จำนวน 1,487.7 ล้านหุ้น มูลค่า 73,269 ล้านบาทให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 มีการตรวจสอบพบความผิดปกติในทำธุรกรรมครั้งประวัติศาสตร์หลายประการที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ครอบครัวชินวัตร
โดยการตอบข้อหารือเรื่องการเสียภาษี ระหว่าง นางเบญจา และอดีตข้าราชการกรมสรรพากร อีก 3 ราย กับ น.ส.ปราณี ก็เป็นหนึ่งในการเอื้อประโยชน์ที่ถูกตรวจสอบพบ
ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ ในการเตรียมการซื้อหุ้นชินคอร์ปจาก Ample Rich ในราคา 1 บาท มีการทำหนังสือถาม-ตอบ ข้อหารือ ว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ไม่มีภาระภาษีต้องเสียจากการขายหุ้นชินคอร์ปดังกล่าวแต่อย่างใด
@ หลักฐานมัด
โดยเริ่มต้นจากการที่ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทน บริษัท แอมเพิลริชฯ ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 หารือเรื่องการเสียภาษีในการซื้อขายหุ้นให้กับนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ถึง อธิบดีกรมสรรพากร
มีเนื้อหาดังนี้
เรื่อง การซื้อหุ้นบริษัทซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากบริษัทผู้ขายในต่างประเทศ
เรียน อธิบดีกรมสรรพากร
ด้วย Ample Rich Investment Limited เป็น บริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคลใน British Virgins Islands ได้ซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผ่านตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 32,920,000 หุ้น ในราคาพาร์ 10 บาท เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 ในระหว่างที่ถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ลดราคาพาร์ลงเหลือ 1 บาท เป็นเหตุให้จำนวนหุ้นที่ Ample Rich Investment Limited ถือเพิ่มเป็น 329,200,000 หุ้น
ต่อมา Ample Rich Investment Limited หุ้นตกลงขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ถือทั้งหมดให้นายพานทองแท้ ในราคาพาร์ 1 บาท โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงขอหารือว่าในกรณีดังกล่าวเมื่อนายพานทองแท้ฯซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จาก Ample Rich Investment Limited มีภาระต้องชำระภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรหรือไม่
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์)
จากนั้น นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการคลัง ในฐานะที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น เป็นผู้ตอบหนังสือหารือ (ตามหนังสือที่ กค 0706/7896 ซึ่งตอบข้อหารือดังกล่าว ลงวันที่ 21 กันยายน 2548 กลับไปว่าไม่มีภาระภาษี
มีรายละเอียดดังนี้
ที่ กค 0706/7896
วันที่ 21 กันยายน 2548
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากบริษัทผู้ขายในต่างประเทศ
เรียน นางสาวปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์
อ้างถึง หนังสือลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548
ตามหนังสือที่อ้างถึงแจ้งว่า บริษัท Ample Rich Investment Limited เป็นบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลใน British Virgins Islends ไม่มีสำนักงานประกอบการในประเทศไทย มีนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร เป็นกรรมการ บริษัทฯประกอบกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 บริษัทฯได้ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยจำนวน 32,920,000 หุ้น ในราคาพาร์ 10 บาท ในระหว่างที่ถือหุ้นอยู่ บริษัทชินคอร์ฯได้ลดราคาพาร์ลงเหลือ 1 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 329,200,000 หุ้น ต่อมาบริษัทฯได้ตกลงขายหุ้นบริษัทชินคอร์ฯที่บริษัทฯถือไว้ทั้งหมดให้กับนาย พานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯในราคาพาร์ 1 บาท โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงขอทราบว่ากรณีนายพานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯ ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ฯ จากบริษัทฯ มีภาระต้องชำระภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า 1.ตามข้อเท็จจริง การขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ฯ ในราคาหุ้นละ 1 บาท ให้กับนายพานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯ กรณีเรื่องของการซื้อขายทรัพย์สินระหว่างบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ขายกับนายพานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯ ซึ่งเป็นผู้ซื้ออันเป็นเรื่องปกติในทางการค้า ส่วนราคาที่ตกลงซื้อขายกันต่ำกว่าราคาตลาด ผู้ขายและผู้ซื้อมีสิทธิตกลงกันได้ โดยผู้ซื้อต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามที่ตกลงนั้น ตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับประเด็นภาระภาษีการซื้อขายหุ้นดังกล่าว
(1) กรณีบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ขาย ผลประโยชน์นี้ได้จากการโอนหุ้น ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินลงทุน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(5) แห่งประมวลรัษฎากร หากการขายหุ้นดังกล่าวต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทนตามราคาตลาดในวันที่โอนหุ้นได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎรกร เนื่องจากตามข้อเท็จจริง บริษัทฯเป็นบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลใน British Virgins Islends ไม่มีสถานประกอบการในประเทศไทย และไม่มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย ดังนั้น หากบริษัทฯมิได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อการขายหุ้นดังกล่าวหรือได้ขายหุ้นดัง กล่าวผ่านลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย กรณียังถือไม่ได้ว่า บริษัทฯกระทำกิจการในประเทศไทย ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 85 วรรคสอง และ มาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎรกร และเมื่อมีการจ่ายเงินค่าหุ้นดังกล่าวไปให้กับบริษัทฯ ซึ่งมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย เนื่องจากเงินได้ที่ได้รับไม่เข้าลักษณะตามเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีนายพานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯ ซึ่งเป็นผู้ซื้อ การได้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูกซึ่งเป็นเรื่องของการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขายอันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
2.กรณีบริษัทฯได้ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ฯ ที่บริษัทได้ถือไว้ให้กับนายพานทองแท้ฯ และนางสาวพิณทองทาฯ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว หุ้นที่บริษัทฯ ได้ซื้อไว้เป็นทรัพย์สินหรือสินค้าของบริษัทฯ มิใช่เป็นหุ้นของบริษัทฯ เป็นผู้ออกเอง กรณีจึงไม่เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียภาษีในกรณีได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ
ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538
ขอแสดงความนับถือ
(นางเบญจา หลุยเจริญ)
ที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ นางเบญจา หลุยเจริญ ได้ทำหนังสือตอบกลับน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ ไปแล้ว ว่าไม่มีภาระภาษี ทำให้กรมสรรพากรถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่ามีเจตนาเอื้อประโยชน์เพื่อ ช่วยนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ให้ไม่ต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ดังกล่าว 
ขณะที่ น.ส.ปราณี ถูกตรวจสอบพบว่า เป็นนักบัญชีที่มีหน้าที่ในการเคลียร์ภาษีของครอบครัวชินวัตรมาเป็นเวลานานแล้ว
ต่อมาภายหลังการทำรัฐประหาร เมื่อปี 2549 ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบคดีต่างๆ รวมถึงการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปด้วย  
คตส. ได้มีการหยิบประเด็นการตอบข้อหารือ ไม่ต้องเสียภาษีของ นางเบญจา และอดีตข้าราชการ อีก 3 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นมาพิจารณาด้วย โดยมีคำวินิจฉัยว่า กรณีนี้ต้องเสียภาษี
ขณะที่ นางปราณี ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำหนังสือสอบถามได้เพราะไม่ใช่เจ้าของหุ้น ดังนั้น กรมสรรพากรจึงไม่เป็นต้องตอบ
พร้อมตั้งข้อกล่าวหา นางเบญจา หลุยเจริญ ในฐานเป็นผู้ที่ตอบข้อหารือเรื่องการไม่ต้องเสียภาษีการขายหุ้นของบริษัทแอมเพิลริช นางสาวโมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นายกริช วิปุลานุสาสน์ นิติกร 9 น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่กรมสรรพากรไม่จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ที่ซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยการซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ผลต่างระหว่างราคาเข้าลักษณะเงินพึงได้ประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ซื้อหุ้นต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538
ส่วน น.ส.ปราณี ถูกตั้งข้อกล่าวหา เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด เพราะเห็นว่า การที่ น.ส.ปราณี ได้ทำหนังสือสอบถามการประเมินเสียภาษีไปยังกรมสรรพากร แต่กรมสรรพากรกลับมีหนังสือยืนยันว่าไม่ต้องเสียภาษี และไม่เข้าเกณฑ์ประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 39 ซึ่งการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ และเกิดช่องโหว่ที่ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ รวมถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากมีผู้นำกรณีดังกล่าวไปใช้ปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ หลังจากที่ คตส. หมดอายุการทำงานได้โอนคดีนี้มาให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลต่อ และปรากฎผลคำพิพากษาของศาลอาญาสั่งจำคุกดังกล่าว 
ขณะที่เส้นทางชีวิตข้าราชการของ เบญจา หลุยเจริญ หลังจากนั้นก็รุ่งเรืองเติบโตต่อเนื่อง ได้เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ในปี 2554  ก่อนจะย้ายมาเป็น อธิบดีกรมศุลกากร และลาออกจากราชการเพื่อมารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เหลืออายุเกษียณราชการอีกแค่ 3 เดือน เท่านั้น 
ก่อนที่ ณ วันนี้ สถานการณ์จะเปลี่ยนไป นางเบญจา ปรากฎชื่อเป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกศาลตัดสินจำคุก จากกระทำในอดีตที่ย้อนมา และยังไม่มีใครล่วงรู้ว่า ชะตากรรมในวันข้างจะเป็นเช่นใด
ไม่ต่างอะไรกับชะตาชีวิต คนในตระกูล 'ชินวัตร' ที่กำลังประสบพบเจอในขณะนี้เหมือนกัน

อ่านประกอบ : 

ปรากฏการณ์‘คนดัง-นักการเมืองใหญ่’ พาเหรดเข้าคุก-จ่อคิวอีกเพียบ?