PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

หุ้นทั่วโลก'ร่วง' ผวา'ทรัมป์'พลิกคะแนนนิยมนำ :

(Nov 3) หุ้นทั่วโลก'ร่วง' ผวา'ทรัมป์'พลิกคะแนนนิยมนำ : ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงถ้วนหน้า เหตุผวา "ทรัมป์" หลังพลิกกลับมามีคะแนนนิยมนำหน้า "ฮิลลารี" ขณะค่าเงินเอเชียอ่อนค่า นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หันถือครองเงินเยน นักวิเคราะห์ชี้หาก "ทรัมป์" คว้าชัย จะดับฝันเฟดขึ้นดอกเบี้ย เหตุก่อให้เกิดความไม่แน่นอน-ตลาดเงินผันผวนหนัก
ตลาดหุ้นหลายแห่งในเอเชียร่วงลง วานนี้ (2 พ.ย.) หลังการสำรวจความเห็นระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน มีคะแนนนิยมนำหน้านางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ทั้งที่เมื่อสัปดาห์ก่อนนางฮิลลารียังมีคะแนนนิยมนำหน้าแบบทิ้งห่าง สร้างความดีใจแก่บรรดาเทรดเดอร์ จนกระทั่งเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วหน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) แถลงว่าได้ตรวจสอบอีเมลของนางฮิลลารีอีกครั้ง จนก่อให้เกิดแนวโน้มว่านายทรัมป์อาจมาแรงในช่วงโค้งสุดท้าย
นายทรัมป์ถูกมองว่าเป็นคนประเภทยากที่จะคาดเดาแนวทาง ทั้งยังเคยวิจารณ์นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ อย่างดุเดือด
นายเครก เออร์แลม นักวิเคราะห์แห่งโออันดา กล่าวว่า ตั้งแต่เอฟบีไอเริ่มเปิดสอบอีเมลของฮิลลารีอีกครั้งเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต้มต่อของฮิลลารีก็ลดลง จนกระทั่งปล่อยให้นายทรัมป์นำหน้าไปได้ในที่สุด ชัดเจนว่า ตลาดต้องการเห็นเศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพในกรณีที่ นางฮิลลารีชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น นักลงทุนจึงพากันเทขายหลังจากการสำรวจความเห็นเริ่มเปลี่ยนทิศทาง เพราะมีความเสี่ยงที่นายทรัมป์อาจชนะการเลือกตั้ง แม้การสำรวจความเห็นของรอยเตอร์/อิปซอสเมื่อต้นสัปดาห์ชี้ว่านางฮิลลารีมีคะแนนนิยมนำหน้าถึง 5% ก็ตาม
กระแสวิตกว่านายทรัมป์จะชนะเลือกตั้ง สหรัฐ ฉุดหุ้นเอเชียให้ร่วงลงวานนี้ (2 พ.ย.) นำโดยดัชนีนิกเคอิในตลาดโตเกียวที่ดิ่งลง 1.8% หรือ 307.72 จุด ดัชนีหั่งเส็งในตลาดฮ่องกงร่วงลง 1.5% หรือ 336.57 จุด ตลาดเซี่ยงไฮ้ลดลง 0.6% ตลาดเกาหลีใต้ร่วงลง 1% ตลาดฟิลิปปินส์ดิ่งไป 2% ตลาดมาเลเซียร่วงลง 0.6% ตลาดสิงคโปร์ปรับตัวลง 0.2% และตลาดอินโดนีเซียลดลง 0.1%
หุ้นยุโรปร่วงลงช่วงแรกของการซื้อขาย วานนี้เช่นกัน โดยตลาดลอนดอนลดลง 0.6% ตลาดปารีสและแฟรงก์เฟิร์ตปรับตัวลง 0.7% สำหรับดัชนีดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์ก ลดลง 0.6% เมื่อวันอังคาร (1 พ.ย.) โดยนักวิเคราะห์ แห่งยูเรเซียกรุ๊ป กล่าวว่าตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยลงที่นางฮิลลารีจะชนะ แต่ก็ไม่ได้ มั่นใจ 100% ว่านายทรัมป์จะคว้าชัยไปได้
เทรดเดอร์ค่าเงินพากันหาแหล่ง หลบภัยเช่นกันและหันไปถือเงินเยน ทำให้เงินดอลลาร์ร่วงลงไปอยู่ที่ 103.73 เยนต่อดอลลาร์ในตลาดโตเกียว จาก 104.12 เยน
นักวิเคราะห์มองว่าหากนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ก็อาจทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป จากเดิมที่คาดหมายกันว่าจะปรับขึ้นในการประชุมเดือนธ.ค. เพราะวิตก เกี่ยวกับผลกระทบที่จะมีต่อสภาพเศรษฐกิจในกรณีที่นายทรัมป์เข้าไปบริหารประเทศ
นายริก สปูเนอร์ นักวิเคราะห์แห่งซีเอ็มซี มาร์เก็ต กล่าวว่า แม้ในกรณีที่เฟด ซึ่งเสร็จสิ้นการประชุมในวันที่ 1-2 พ.ย. แสดงท่าทีว่า อาจมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. แต่ตลาดจะมองว่าไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นได้หากชัยชนะของนายทรัมป์ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและตลาดเงินผันผวนอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับเปโซเม็กซิโก ซึ่งร่วงลงแตะระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน เพราะ นายทรัมป์เคยพูดจาต่อต้านเม็กซิโกตลอดการหาเสียง ทั้งยังรับปากว่าจะเนรเทศผู้อพยพ ที่ไม่มีเอกสารอย่างถูกกฎหมาย สร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก และฉีกข้อตกลงการค้า
นอกจากนั้น ดอลลาร์ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิกที่ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงและถูก นักลงทุนเทขาย โดยเงินวอนอ่อนค่าไป 0.9% หรือต่ำที่สุดรอบ 4 เดือนหลังจากถูกกองทุน ต่างชาติเทขายอย่างหนัก ท่ามกลางวิกฤติการเมืองในประเทศ ส่วนเงินริงกิตมาเลเซีย อ่อนค่าลง 0.38% เพราะยังถูกกระหน่ำจากราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่า 0.1% รูเปี๊ยะห์อินโดนีเซียอ่อนค่า 0.12% เปโซฟิลิปปินส์อ่อนค่า 0.11%
ทั้งนี้ แนวโน้มที่นายทรัมป์จะชนะ ถือเป็นแง่ลบสำหรับเอเชีย เพราะนายทรัมป์มีนโยบายการค้าออกในแนวกีดกันการค้ามากกว่า ขณะที่นักลงทุนมองว่าหาก นางฮิลลารีชนะ บรรยากาศหรือเงื่อนไขต่างๆ จะดำเนินไปเหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้ ค่าเงินเอเชียถูกกดดันอยู่แล้ว จากการคาดหมายว่าเฟดน่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. สืบเนื่องจากข้อมูลทาง เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อย่างกิจกรรมภาค การผลิต แม้คาดว่าในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. จะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม
นายแอนดี จี นักวิเคราะห์แห่ง คอมมอนเวลธ์แบงก์ออฟออสเตรเลีย กล่าวว่าค่าเงินตลาดเกิดใหม่อาจดีดตัว ขึ้นเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์และหลัง การเลือกตั้งผ่านพ้นแต่หากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสถานการณ์จะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะเอเชียไม่ค่อยชอบนายทรัมป์
มูดี้ส์ทำนาย'ฮิลลารี'คว้าชัย
มูดี้ส์คาด "ฮิลลารี" คว้าชัย ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ในการเลือกตั้งสัปดาห์หน้า เหตุราคาน้ำมันลดต่ำ ประกอบกับ "โอบามา" ได้คะแนนนิยมสูง
ผลสำรวจความคิดเห็นของเอบีซีนิวส์ และวอชิงตันโพสต์ เมื่อวันอังคาร (1 พ.ย.) พบว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน มีคะแนนนำนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต 1 จุด ที่ 46% ต่อ 45% หลังจาก มีข่าวสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลาง สหรัฐ (เอฟบีไอ) เปิดสอบเหตุ เชื่อมโยงอีเมลฉาวของนางฮิลลารีอีกรอบ บั่นทอนคะแนนนิยมที่เธอเคยเป็นต่อมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ไม่ควรให้ความสำคัญมากเกินไปกับการสำรวจของสำนักไหน โดยเฉพาะการสำรวจที่ชี้ว่าคะแนนนิยมห่างกันเพียง 1 จุด นอกจากนั้น นางฮิลลารียังได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น และการวิเคราะห์ของ มูดี้ส์ คาดว่า พรรคเดโมแครตจะชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ติดกัน อันทำให้นางฮิลลารีได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45
ตัวแบบการวิเคราะห์ของมูดี้ส์ อะนาลิติกส์ คาดว่า นางฮิลลารีจะได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 332 เสียง ส่วนนายทรัมป์ได้ 206 เสียง เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำและคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีบารัก โอบามา อยู่ในระดับสูง โดยโอบามาอยู่พรรคเดียวกับฮิลลารี ทั้งนี้มูดี้ส์ทำนายผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐได้อย่าง ถูกต้องตลอด 9 ครั้งหลังสุด รูปแบบการวิเคราะห์ของมูดี้ส์ยึดจากสภาพเศรษฐกิจในระดับรัฐ และประวัติศาสตร์การเมือง โดยในปัจจัยทางเศรษฐกิจนั้นได้คำนวณถึงการเปลี่ยนแปลงรายได้ต่อ ครัวเรือน ราคาบ้าน และราคาน้ำมัน
ขณะเดียวกัน ตัวแบบสถิติของนิวยอร์กไทม์ส ให้ นางฮิลลารีมีโอกาสชนะเลือกตั้ง 88% ขณะที่เว็บไซต์ดังอย่าง ไฟว์เทอร์ตีเอท มองว่า นางฮิลลารี มีโอกาสคว้าชัย 74%
ทั้งนี้ ความคิดที่ว่า นายทรัมป์ วัย 70 ปีมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ สร้างความประหลาดใจให้หลายฝ่าย และ ทำให้พรรคเดโมแครตและตลาดการเงินไม่อาจนิ่งนอนใจอยู่ได้
นักวิเคราะห์หลายคนในวอลล์สตรีทเตือนว่า ตลาดไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจังว่านายทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดี นักวิเคราะห์จากธนาคาร บาร์เคลย์สมองว่า หากนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดการ เทขายหุ้นในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ถึง 11-13% ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่กว่าวันที่บริษัทเลแมนบราเธอร์ส ล้มละลายเมื่อเดือน ก.ย.2551 ซึ่งเป็นชนวนวิกฤติการเงินโลก
นายไซมอน จอห์นสัน อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า สภาวะน่าตะลึงเช่นนั้นอาจเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นดิ่งหนัก และฉุดเศรษฐกิจโลกให้ถดถอย
Source: กรุงเทพธุรกิจ
http://www.reuters.com/…/us-usa-election-research-moody-s-i…

ไม่มีความคิดเห็น: