ต้องเหนื่อยกว่าทุกครั้ง

ตามซีนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประเด็นนาฬิกาหรู “Richard Mille” ราคาหลายล้านบาท และแหวนเพชรเม็ดโต ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
โยงกรณีไม่ยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ตามที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ
โดยขีดเส้นให้ “บิ๊กป้อม” ทำหนังสือหรือมาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาและวันเวลาที่ได้ทรัพย์สินดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน
ปมข้อสงสัยของสังคมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ
ในมุมที่ ป.ป.ช.เองก็อยู่เฉยไม่ได้ หากปล่อยเกียร์ว่าง ไม่ดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่กระแสสังคมกำลังเพ่งเล็งให้ความสนใจ เผลอๆอาจโดนหางเลขถูกเล่นงานตามไปด้วย
สถานการณ์ของพี่ใหญ่ยังสลัดไม่หลุดดงกระสุนตก ทำอะไรดูเหมือนจะขวางหูขวางตา ถูกจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา
นั่นก็เป็นไปตามบทที่คอยทำหน้าที่เป็นกันชนให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เจ็บตัวน้อยที่สุด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีแต่เรื่องให้เข้าเนื้อเจ็บตัวอยู่ตลอดเวลา
แค่ยกมือขึ้นมาบังแดดยังกลายเป็นเรื่องผิด ถูกลากไปขยายผลถึงขั้นตรวจสอบ ทรัพย์สิน
และมีทีท่าว่า อาจจะต้องชี้แจงเหนื่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ลำพังแค่กรณีการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ยังพออนุมานได้ว่า เพิ่งได้นาฬิกาและแหวนเพชรมาในช่วงหลังจากเข้ารับ ตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อปี 2557 จึงยังไม่มีทรัพย์สินรายการดังกล่าวอยู่ในลิสต์บัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
แต่ดันมีปมหวาดเสียวเรื่องการขยายผลให้ตรวจสอบปมร่ำรวยผิดปกติห้อยท้ายมาด้วย
เป็นสิ่งที่นักการเมืองแค่ได้ยินก็ขนหัวลุกทุกราย หากถูกแทงเรื่องให้ตรวจสอบ เพราะเสี่ยงต่อการถูกเอกซเรย์ที่มาของทรัพย์สินอย่างละเอียดยิบ
เหมือนอย่างที่นายศรีสุวรรณพยายามโหมฟืนตั้งข้อสังเกต คำนวณรายได้ พล.อ.ประวิตรที่รับราชการทหารมา 40 ปี เป็นนักการเมือง 2 สมัย โดยไม่มีธุรกิจใดๆ แต่มีบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.มากถึง 87 ล้านบาท และยังมีหัวเชื้อเรื่องทรัพย์สินหรูเข้ามาผสมโรงอีก
กระตุกอารมณ์ร่วมให้สังคมระแวงบิ๊ก คสช.
แน่นอนที่สุดถ้าอยู่ในสภาวะรัฐบาลปกติ “พี่ใหญ่” เลี่ยงไม่พ้นถูกลากขึ้นเขียง เจอซักฟอกกลางสภาแน่ แต่ในภาวะรัฐบาลพิเศษที่ท็อปบูตคุมกลไกทุกอย่างได้หมด
พลังการตรวจสอบในสภาไม่เข้มข้นเหมือนในอดีต
อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนแรงปะทะจากหนักเป็นเบา สะกดแรงกระเพื่อมไม่ให้ขยายวงมากเกินเหตุ
ในมุม “บิ๊กป้อม” ก็พยายามสงวนท่าที ขอแจกแจงรายละเอียดทุกอย่างต่อ ป.ป.ช. ไม่ขอชี้แจงผ่านสื่อมวลชน ป้องกันไม่ให้ถูกขยายผล ออกไปอีก
ยื้อเวลารอผลสอบจาก ป.ป.ช.อย่างเดียว
แต่ที่น่าห่วงคือ การเคลียร์คำถามกับสังคม ตามที่รับรู้โดยทั่วกันถึงสถานะของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. เป็นลูกน้องเก่า เคยเป็นอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ช่วยงาน พล.อ.ประวิตรมาก่อนหน้านี้
ระดับสายสัมพันธ์เจ้านาย–ลูกน้องเก่าที่ใกล้ชิดกัน มันก็หมิ่นเหม่อาจถูกมองในแง่การฟอกขาวช่วยลูกพี่ให้รอดบ่วง
หนีไม่พ้นถูกตั้งคำถามจับผิด เหมือนกรณีที่เคยไม่ยื่นอุทธรณ์ฟ้อง “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องเลิฟ “บิ๊กป้อม” ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อเดือน ต.ค.2551
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าผลสรุปของ ป.ป.ช.ออกมาอย่างไร พี่ใหญ่ย่อมโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ยิ่งหากบทสรุปสุดท้ายพบว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้มีความผิด ต่อให้พูดปากเปียกปากแฉะแค่ไหน มันก็ลบความรู้สึกของสังคมบางส่วนได้ลำบาก
ทำไปทำมากว่าจะสลัดพ้นมลทินได้ พี่ใหญ่อาจจะหืดจับกว่าทุกครั้ง.
ทีมข่าวการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น