PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

"เสี่ยคราม" เจ้าของนาฬิกาโคตรหรู 21 เรือน ให้เพื่อนป้อมสุดซี้ยืม เขาคือใคร?

"เสี่ยคราม" เจ้าของนาฬิกาโคตรหรู 21 เรือน ให้เพื่อนป้อมสุดซี้ยืม เขาคือใคร?


คดีนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สรุปแล้วเอาผิด พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ 
“นาฬิกาหรูเรือนละหลายล้านที่มาจากการยืมเพื่อน” เป็นสิ่งที่ถูกดักคอมาตลอดเวลาว่า นี่คือข้อแก้ตัวที่ตลกสิ้นดี แต่สุดท้ายข้อแก้ตัวข้างๆ คูๆ นี้ กลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหลุดจากคดีนาฬิกาหรูจนได้ 
วันนี้ มติที่ประชุม ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติ 5 ต่อ 3 เห็นว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้แสดงทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพราะพบเอกสารหลักฐาน 21 จาก 22 เรือน ว่า เป็นของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นเจ้าของ ให้ตีตกเรื่องดังกล่าวไป เนื่องจากไม่มีมูลเพียงพอ!
พล.อ.ประวิตร ยืมเพื่อนเพียงคนเดียวมาใส่ และเพื่อนคนนี้มีนามว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ หรือ เสี่ยครามเพื่อนนักเรียนสมัยเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่นที่ 6 ด้วยกัน เขาคือใคร ทำไมครอบครองนาฬิการาคาโคตรแพงหลายสิบเรือน แถมใจสปอร์ตให้เพื่อนยืมใส่แบบไม่ซ้ำเสียด้วย
เมื่อทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ย้อนประวัติดูก็พบว่า นายปัฐวาท ผู้นี้เป็นเจ้าของธุรกิจเครือคอม-ลิ้งค์ ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการวางระบบสื่อสารกับหน่วยงานภาครัฐ และมีเครือข่ายหลายสิบบริษัทมูลค่านับหมื่นล้าน แต่ “เสี่ยคราม” ผู้นี้ไม่มีใครอยากพาดพิงสักเท่าไร เพราะเขาเสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2560
“เสี่ยคราม” ผู้นี้เป็นเพื่อนรักของบิ๊กป้อมมาตั้งแต่เรียน ป.1 ร.ร.เซนต์คาเบรียล และคบหาสนิทสนมกันมาตลอดกว่า 60 ปี และยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนมาพร้อมกับ หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ด้วย
ก่อนหน้านี้ มีสื่อเคยสัมภาษณ์ พล.อ.นพดล อินทปัญญา หรือ บิ๊กกี่ ผู้เป็นเพื่อนรักของบิ๊กป้อม ตั้งแต่เรียนเตรียมทหาร 6 ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ออกมายืนยันว่า เสี่ยคราม เจ้าของนาฬิกา เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของบิ๊กป้อม และเขามีนาฬิกาเยอะมาก ถึงขนาดที่ว่านำนาฬิกามาเรียงจนเต็มเตียงได้
พร้อมแจงว่า เมื่อเสี่ยครามมีโอกาสได้กินข้าวกับเพื่อนๆ เขาก็จะเอานาฬิกาออกมาให้เพื่อนดูเป็นประจำ แล้วจะมีการแลกเปลี่ยนกันสวมใส่อยู่เสมอ หนหนึ่งประมาณ 2-3 เดือนก็จะเปลี่ยนคืน และก็ทำแบบนี้มานานร่วม 30-40 ปีแล้ว!
คนซ้ายมือของบิ๊กป้อม คือ เสี่ยคราม(ใส่แว่น)
บิ๊กกี่ ยังเล่าอีกว่า “คุณปัฐวาท เคยจะตายที่อเมริกา บิ๊กป้อมเอาหมอบินไปรับจากอเมริกากลับมารักษา จนกระทั่งเขาหาย และอีกครั้งหนึ่งเขาไปหาหมอ เขาร้องไห้กลับมา เพราะหมอสั่งให้ตัดขา จากการเป็นเบาหวาน บิ๊กป้อมก็พาเขาไปหาหมอจีน พาไปสารพัดที่ จนกระทั่งเขาไม่ต้องตัดขา ซึ่งหมอก็บอกว่าเป็นหนึ่งในหมื่น”
“เขาเนี่ยรักบิ๊กป้อม ซึ่งมีบุญคุณกับเขายังไง เขารักมาก ยิ่งกว่านาฬิกาเขาก็ให้ได้ ผมเชื่อนะ แต่นี่ไม่ได้ให้ แต่เปลี่ยนกันใส่” บิ๊กกี่ ยันหนักแน่น
อย่างไรก็ดี หลังเกิดปัญหาเรื่องนาฬิกา พล.อ.ประวิตร ก็นำนาฬิกาเรือนหรูที่ค้างอยู่ไปคืนให้ครอบครัวสุขศรีวงศ์ และลูกสาว 2 คนของนายปัฐวาท.

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ห้ามเอาชื่อไปหาเสียง

    “ประยุทธ์” ฮึ่ม! เตือนพรรคการเมืองอย่าอ้างชื่อไปตีกินบนเวทีปราศรัย ลั่นให้เกรงใจบ้างเพราะยังไม่ตอบตกลงพรรคใดเลย วิษณุเปิดคอร์สเตือนวางตัวอีกระลอก ยันต้องเป็นกลาง ห้ามชี้นำ เน้น 4 รัฐมนตรีห้ามนำนโยบายรัฐบาลไปหาเสียง แต่บอกสนับสนุนได้ เพื่อไทยตามบี้ พปชร.พันบัตรคนจน “ธนกร” สวนหมัด “เฉลิม” ซัดเป็นแค่ม้าแก่ใกล้นับถอยหลัง ปชป.เคาะชื่อ ส.ส.เขตสะเด็ดน้ำเหลือแค่ 2 เขต เล็งชงที่ประชุมใหญ่
เมื่อวันอังคาร ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. พร้อมคณะ กกต. ร่วมการจับสลากแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด สำหรับปฏิบัติหน้าที่ในการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กำลังจะเกิดขึ้นจำนวน 413 คน
    พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ผู้ตรวจการเลือกตั้ง 413 คน จะไปปฏิบัติหน้าที่ในกลุ่มจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยทำการตรวจการทำงานของกรรมการประจำหน่วย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้งหมด รวมถึงการดูแลการเลือกตั้งไม่ให้ทุจริต ซึ่งการปฏิบัติงานของผู้ตรวจการเลือกตั้ง ส.ส. จะเริ่มเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง   
    พ.ต.อ.จรุงวิทย์ยังกล่าวถึงการตรวจสอบโต๊ะจีน 3 ล้านบาทของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่ายังไม่ถึงขั้นตอนเชิญสื่อมาให้ข้อมูล ยังอยู่ในกระบวนการไต่สวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งสื่ออาจพบผังการจัดโต๊ะ แต่ กกต.ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ อย่างกรณีสื่อนำเสนอเรื่องคลิปวิดีโอของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ  สำนักงานก็จะตรวจสอบ เมื่อได้ข้อมูลระดับหนึ่งก็เชิญให้สื่อมาให้ข้อมูล แต่เรื่องโต๊ะจีนยังไม่ถึงขั้นดังกล่าว   
    เมื่อถามว่า ให้เวลาพรรค พปชร. 30 วันในการชี้แจงเรื่องการจัดงานระดมทุนหากมีการเปลี่ยนแปลงเอกสาร กกต.จะตรวจสอบได้หรือไม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ยืนยันว่า สิ่งใดมีอยู่แล้วมันต้องอยู่อย่างนั้น ซึ่ง กกต.ก็มีกระบวนการไต่สวน และที่สังคมมองว่าไต่สวน 30-60 วันล่าช้าหรือไม่ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ บางเรื่องเช่นผู้สมัคร ส.ว.ถูกระงับสิทธิ์ก็ใช้เวลาแค่ 5 วัน แต่บางเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐานทำได้ยาก เวลา 30-60 วันเป็นเพียงกรอบเวลาที่เราตั้ง ว่าจะสามารถดำเนินการได้ไม่เกินนี้ และแม้เราให้เวลากับพรรค พปชร. 30 วันตามกรอบของกฎหมาย แต่กระบวนการตรวจสอบหลักฐานของเราได้เริ่มขึ้นก่อนแล้ว
      พ.ต.อ.จรุงวิทย์ยังกล่าวถึงตรวจสอบเรื่องการสมัครสมาชิกพรรคแลกบัตรคนจนว่า ได้ทราบว่า กกต.ประจำจังหวัดได้เชิญผู้ถ่ายคลิปมาให้ข้อมูลแล้ว   แต่จังหวัดยังไม่ได้รายงานมาที่ส่วนกลาง ส่วนใหญ่เป็นกระบวนการสืบสวนสอบสวน ซึ่งต้องมีการตั้งประเด็นว่าผิดกฎหมายอะไร หลังจากนั้นจึงเริ่มกระบวนการ ตอนนี้ก็ต้องรอจาก กกต.จังหวัดรายงานการตรวจสอบดังกล่าวมาก่อน 
    ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีเจ้าหน้าที่รัฐนำเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแอบอ้างเป็นนโยบายพรรค พปชร.ว่า มีการชี้แจงกรณีที่กล่าวอ้างหลายอย่างด้วยกัน รวมถึงประเด็นที่โพสต์อะไรออกมาก็ออกมารับผิดกันแล้วว่าเป็นการไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ขอให้ฟังสิ่งที่เจ้าหน้าที่ชี้แจงไปแล้ว และในส่วนของพรรคการเมืองต่างๆ ได้เตือนไปแล้ว ขอให้ระมัดระวังด้วยในการชี้แจง
บิ๊กตู่ลั่นห้ามอ้างชื่อหาเสียง
    เมื่อถามถึงกรณีแกนนำพรรค พปชร.ขึ้นเวทีหาเสียงชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนต่อไปนั้น มีการเทียบเชิญแล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า เห็นมีหลายพรรคชูประยุทธ์ตลอดทุกพรรค แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจใครสักพรรคเลย ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังด้วย การจะเสนอหรือกล่าวชื่อตนเองในเวทีโน้นเวทีนี้ ขอเตือนไว้ด้วย ตราบใดที่ยังไม่ตอบรับกับใคร ก็อย่าพูดถึง ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ 
“ถ้าจะมีพรรคใดเสนอชื่อผมมา อาจจะรอเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่ยังไม่เรียบร้อยอยู่ก็ได้ ถึงช่วงนั้นค่อยว่ากันอีกที ผมก็ต้องพิจารณาอีกครั้งจะทำต่อไปหรือไม่ และจะตอบรับพรรคใด ก็ต้องไปดูกันตรงโน้น ขอให้เคารพในการตัดสินใจของผมด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวเช่นกันว่า พรรคเขาออกมาชี้แจงแล้ว ขอให้ไปฟังจากพรรค ตนเองไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นเรื่องของพรรค ส่วนจะเชิญผู้เผยแพร่คลิปเข้าค่ายทหารหรือไม่นั้นไม่ทราบ คงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ซึ่งหลังจาก คสช.ปลดล็อกแล้วก็ไม่เห็นมีการเรียกใครมาปรับทัศนคติ ตอนนี้ปล่อยให้หาเสียง แต่ถ้าบิดเบือนมากก็จำเป็น  
    “ไม่มี เป็นการหาเสียง ซึ่งอาจใส่ร้ายป้ายสีกัน หากเป็นเรื่องของพรรคการเมืองก็ให้เขาว่ากันไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้เข้าไปจับตาการปราศรัย ส่วนกรณีมีเจ้าหน้าที่ติดตามนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยนั้น คงต้องไปถามนายวรชัย และให้เอาเจ้าหน้าที่คนนั้นมา แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้สั่งให้จับตาอะไรเป็นพิเศษ จะสั่งไปเพื่ออะไรเปลืองคน” พล.อ.ประวิตรกล่าวตอบถึงการข่าวหลังปลดล็อก คสช.มีปัญหาหรือไม่
    ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นไปช่วยพรรค พปชร. หาเสียงในบางพื้นที่ ว่าไม่มี ส่วนกรณีนายอำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่นนั้น ได้สอบถามไปแล้ว เขาบอกว่าลงพื้นที่ไปทำงานในส่วนของตัวเอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีนักการเมืองของพรรค พปชร.ไปอยู่ด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปหาเสียงหรือสนับสนุนใดๆ ซึ่งก็ได้กำชับไปว่าให้ระมัดระวังในการปฏิบัติตัว และย้ำเสนอว่าเมื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าไปทำการใดให้คุณหรือโทษ ต้องระมัดระวัง
    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงหลังประชุม ครม. ว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ และพึงระวังในสถานภาพของ ครม.และเจ้าหน้าที่รัฐในระหว่างการเลือกตั้ง ส.ส. โดย ครม.ชุดนี้จะมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาตั้งแต่มี พ.ร.ฎ.การเลือกตั้ง ส.ส.จนได้ ครม.ชุดใหม่ว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่และดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการ การอนุมัติโครงการที่ผูกพันต่างๆ สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
    นายพุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า นายวิษณุยังได้ชี้แจงเรื่องการวางตัวของ ครม. รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องเป็นกลางทางการเมือง สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ แต่ในการปฏิบัติหน้าที่ต้องไม่ลำเอียง ไม่แสดงอาการสนับสนุนหรือคัดค้านผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่งคนใดเป็นพิเศษ ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกระทำการใดๆ ที่เป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครนักการเมือง ได้แก่ ไม่สามารถไปปราศรัยหาเสียง ไม่แนะนำ ไม่ชี้แนะ ไม่ให้สัมภาษณ์ให้เลือกหรือไม่เลือกผู้ใด หรือไม่ลงคะแนนโนโหวต ไม่สามารถโฆษณาหาเสียงโดยจัดให้มีมหรสพ หรืองานรื่นเริงใดๆ ไม่เลี้ยง หรือไม่รับจัดเลี้ยงให้ผู้ใด ไม่หลอกลวงขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายหรือจูงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใดๆ แต่สามารถเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ โดยต้องละเว้นการพาดพิงไปยังพรรคการเมืองหรือผู้สมัครใดๆ
    “การขึ้นกล่าวใดๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการการเมืองต้องไม่ไปปนกับการปราศรัยหาเสียง ต้องไม่ติดภาพ หรือเครื่องหมายของพรรคการเมืองใดๆ และเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถกระทำการใดๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดๆ อันอาจทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมืองใด จะครอบคลุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองขาดอิสรภาพไม่ได้”นายพุทธิพงษ์กล่าว
ห้ามนำนโยบายรัฐหาเสียง
    เมื่อถามว่า เป็นเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับพรรค พปชร.ค่อนข้างมาก จึงต้องมาย้ำใน ครม.อีกครั้งหรือไม่ นายพุทธิพงษ์ตอบว่า ไม่มี และตามหลักการกฎหมายเขียนไว้ชัด เช่น เรื่องการระดมทุนสามารถทำได้ แต่ตัวรัฐมนตรีไม่เหมาะขึ้นไปเชิญชวนหรือไปช่วยระดมทุน เพราะยังมีตำแหน่งหน้าที่อยู่ ส่วนกรณี 4 รัฐมนตรีนั้นจะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงได้หรือไม่ในเวลานอกราชการนั้น กฎหมายเขียนไว้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำแหน่งอยู่ต้องพึงปฏิบัติ ไม่สามารถไปพูดเชิญชวนให้ใครเลือกใครเป็นพิเศษ ฉะนั้นรัฐมนตรีคนใดที่จะไปขึ้นเวทีต้องรู้ว่าพูดได้แค่ไหน และเหมาะสมหรือไม่ หากทำแล้วถูกร้องเรียนอาจเป็นปัญหาในอนาคต และอาจเสี่ยงหากจะไปขึ้นเวทีปราศรัย แม้ในข้อเท็จจริงรัฐมนตรี ข้าราชการ ประชาชน สามารถเป็นสมาชิกพรรคได้ ไม่ผิด ทั้งนี้ แต่ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ดำรงตำแหน่งของ 4 รัฐมนตรี
    ถามย้ำว่า 4 รัฐมนตรียังนำเสนอเรื่องนโยบายของพรรคบนเวทีปราศรัยได้ใช่หรือไม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า เมื่อสังกัดพรรคแล้วไปพูดเรื่องนโยบายสามารถทำได้ แต่ถ้าเอาตำแหน่งไปพูดว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วบอกว่าถ้าเลือกพรรคนี้แล้วจะได้สานต่อนโยบายต่อไปไม่ได้ เพราะต้องแยกนโยบายพรรคกับรัฐบาลให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเอานโยบายรัฐไปหาเสียง แต่ถ้าบอกว่าพรรคนี้สนับสนุนนโยบายนี้ของรัฐบาลนี้ เพราะเป็นนโยบายที่ดี และอยากสานต่อได้รับเลือกมาเป็นรัฐบาลสามารถทำได้
    ขณะที่นายชุมสาย ศรียาภัย ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เดินทางมายื่นคำร้องให้ประธาน กกต. ตรวจสอบกรณีพรรคการเมืองหนึ่งรับสมัครสมาชิกพรรคพ่วงแจกบัตรสวัสดิการของรัฐ และแจกเงิน 100 บาท เป็นพฤติการณ์ที่เชื่อว่าเข้าข่ายกระทำความผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และการเลือกตั้ง ส.ส. โดยนำหลักฐาน ภาพถ่าย คลิป และเนื้อหาข่าวมามอบด้วย 
นายชุมสายยังกล่าวถึงกรณีนายอำเภอออกมาชี้แจงว่าการรับสมัครสมาชิกของพรรคและแจกบัตรสวัสดิการเป็นคนละวันนั้น ว่าจะไม่มีผลลดทอนน้ำหนักการร้องในเรื่องนี้ เพราะถ้ามีพฤติการณ์ที่ทำจริง กกต.ก็มีอำนาจตรวจสอบได้อยู่แล้ว ส่วนผู้ถ่ายคลิปถูกเรียกไปปรับทัศนะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องสอบสวนต่อไป    
    ขณะเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เดินทางมายื่นข้อมูลเพิ่มเติมให้ กกต. หลังได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรคของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. โดยเป็นข้อมูลที่นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรค พปชร. ยอมรับว่า นายอุตตมไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกพรรคในวันที่ พปชร.ประชุมใหญ่และเลือกนายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้นจึงถือว่านายอุตตมเป็นคนนอกที่มารับตำแหน่งตามมาตรา 28 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค
    “พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าอยากเล่นการเมืองก็ต้องหาพรรคใหม่ให้เสนอชื่อด้วยความหวังดี” นายเรืองไกรระบุ
    มีรายงานข่าวจาก กกต.แจ้งว่า กรณีการร้องเรียนนายเรืองไกรนั้น ฝ่ายเลขานุการของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ซึ่งนายอุตตมไม่มีปัญหาในข้อกฎหมายตามที่ระบุ กกต. จึงได้ออกหนังสือรับรองการตั้งพรรคให้กับ พปชร.
    วันเดียวกัน ยังคงมีความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ โดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมปราศรัย พท. ระบุว่า ภท.ไม่มีคะแนนนิยม และจะแพ้การเลือกตั้งในภาคอีสานอีกครั้งว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเพิ่งทราบเนื้อหาปราศรัย และไม่คิดตอบโต้อะไร เพราะเคารพรัก ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะนักการเมืองอาวุโส 
“การที่ท่านเฉลิมออกมาระบุบนเวทีปราศรัย เราจะรับฟังแล้วนำไปแก้ไขให้ผู้สมัครเราทำงานมากขึ้น ส่วนที่มองว่าพรรคจ้องแต่เป็นรัฐบาล ก็คงไม่จริง เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาเราก็เป็นฝ่ายค้าน” โฆษก ภท.กล่าว 
นับถอยหลัง ดร.เหลิม
    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิมปราศรัยพาดพิง พปชร.จะแพ้แน่นอนว่า ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังโม้อมตะ ชมตัวเอง พูดแต่เรื่องตัวเองกว่า 40 นาที ทั้งที่ชาวบ้านอยากฟังนโยบาย การปราศรัยครั้งแรกของ ร.ต.อ.เฉลิมน่าผิดหวังอย่างมาก ไม่สมราคาคุย      
    “เห็น ร.ต.อ.เฉลิมปราศรัยแล้วรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนม้าแก่ที่วิ่งไม่ไหวแล้ว ถึงผมจะเป็นม้าไม่มีชั้นตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยดูแคลนไว้ แต่ก็ยังวิ่งดีอยู่ ไม่อยากพูดมาก เจ็บคอ เพราะถือเป็นการนับถอยหลังของ ร.ต.อ.เฉลิมแล้ว” นายธนกรกล่าว และว่า ส่วนที่ระบุว่า 4 รัฐมนตรียังไม่ลาออกต้องมีหิริโอตตัปปะนั้น อยากถาม ร.ต.อ.เฉลิมว่า สะกดคำว่าหิริโอตตัปปะถูกด้วยหรือ 4 รัฐมนตรีมีธรรมาภิบาลไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเหมือนอดีตรัฐมนตรีบางคน
    ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ว่าในการประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นประธานที่คัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต ทั้ง 350 เขต พิจารณาครบทั้ง 350 เขตแล้ว เพื่อนำรายชื่อเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ โดยได้แขวนไว้ 2 เขตคือ จังหวัดอุบลราชธานี เขต 2 และสงขลา เขต 1 ที่ยังมีปัญหาไม่ลงตัว ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อคณะกรรมการสรรหายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องนำรายชื่อผู้สมัครที่ผิดหวังจากระบบเขตมาพิจารณาร่วมด้วย ส่วนบัญชีรายชื่อนายกฯ ในที่ประชุมไม่มีการหารือ
    จ.นครราชสีมา ที่ตลาดใหม่แม่กิมเฮง ถ.โพธิ์กลาง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ พร้อมกรรมการบริหารพรรค นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรค 14 เขต สวมผ้าโพกหัวสีแสด มีโลโก้เป็นรูปภาพอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และเขียนว่า ย่าโม ออกศึกถือป้ายหาเสียงรอบตลาด 
    ขณะที่นายอัครวัฒน์ อัศวเหม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จ.สมุทรปราการ พปชร. พร้อมนายต่อศักดิ์ อัศวเหม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 จ.สมุทรปราการ น้องชายลงพื้นที่แนะนำตัวเองกับประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าในตลาดปากน้ำ หรือตลาดวิบูลย์ศรี และตลาดหัวเกาะ พร้อมเชิญชวนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ 
    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุราคาสินค้ามีขึ้นมีลงตามกลไกตลาด ไม่ใช่เศรษฐกิจไม่ดี ว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์อยู่แต่ในกรมกอง ไม่เคยสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน การลงพื้นที่แต่ละครั้ง ทั้งการตรวจราชการ หรือไปประชุม ครม.สัญจร ก็ล้วนแต่มีการสร้างภาพให้ดูดี ซึ่งไม่ใช่ชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน ต่างจากตนเองที่ทำงานใกล้ชิดประชาชนมาตลอดชีวิตราชการ ซึ่งประชาชนทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดบ่นเป็นเสียงเดียวกันเรื่องปัญหาปาก จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับความจริงตรงนี้บ้าง ซึ่งคนที่ไม่เคยสัมผัสประชาชนจะไม่มีทางแก้ปัญหาให้ประชาชนได้.

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เจ๊แดงหนีแล้ว?

สายข่าวบางสายมากระซิบบอกว่าหนีแล้วเว้ยยยยเฮ้ยยยย
ช่วงเมอร์รี่คริสต์มาส ตรวจสอบกับสายข่าวหลายสาย ทั้งสายเขียวฝ่ายความมั่นคง สายข่าวกรองทะลุทะลวงของทั่งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน รวมถึงสายข่าวทะลวงไส้ ที่ให้ข่าวโป๊ะเชะมาตลอด รวมถึงที่ฟันธงตั้งแต่แรกว่าเจ๊แดง หนีไปตั้งหลักเคลียร์เสบียงที่กพช.กับลูกเขยกพช. ก่อนเดินทางหลังคริสต์มาสไปที่ดูไบ ตั้งข้อสังเกตไปทิศทางเดียวกันว่า นายโอ๊ค พานทองแท้ ลูกชายนักโทษหนีคดีนายทักษิณ ชินวัตร เผ่นตามน้าสาวไปเรียบร้อยแล้ว ก็รอหน่วยข่าวกรองขอุงลุงป้อมซึ่งได้รับมอบหมายให้เกาะติดความเคลื่อนไหวของนายโอ๊คมายืนยันอีกที...
"มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวทั้งในเฟสและไอจี"..จนท.หน่วยข่าวนายหนึ่งตั้งข้อสังเกต บอกส่วนตัวเชื่อว่าเผ่นตามน้าไปแล้ว พร้อมตั้งคำถามจำได้ไหมที่สองนักโทษหนีคดีมาสิงค์โปร์แล้วโพสต์ข้อความเยาะเย้ย น่าจะเป็นช่วงที่นัดมาเจอลูกชายห้วงเวลาดังกล่าว....
นายโอ๊ค โดนอัยการตั้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน และได้รับประกันตัวในวงเงินหนึ่งล้านบาทพร้อมคำสั่งศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ งานนี้นายทักษิณซึ่งประเมินสถานการณ์บวกลบคูณหารแล้วส่งสัญญาณให้ทั้งน้องสาวและลูกชายเผ่นหนียาวน่าจะปลอดภัยกว่าไปรอเรื่องขึ้นศาล แล้วไปวางแผนหลบหนีช่วงนั้น
มายืนยันอีกรอบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพราะ "ฟ้ามีตา" พวกมรึงหนาวแน่ นักการเมืองที่คิดชั่วทุจริตโกงกินทำร้ายบ้านเมืองต้องถูกลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง หากหนีก็อย่าได้หวังจะมีรโทษทั้งแผ่นดินอย่างที่มาปล่อยข่าว
เพื่อไทยงานนี้หนาวสะท้าน ฟังมาว่าเงินเสบียงจากนายใหญ่สะดุด ส่งผลกระทบแน่นอนต่อการเลือกตั้งทั่วประเทศโดยเฉพาะที่ภาคเหนือ เที่ยวนี้จะได้รู้กันที่ว่าฐานเสียงแน่นหนา ชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งทุกครั้งที่ชอบคุยคำโต มาเพราะศรัทธาหรือเพราะเสบียงกรังที่ยิงถล่มช่วงเลือกตั้ง....จบรายงานข่าวเจาะทะลวงวันคริสต์มาส merry christmasครับ

แก้เกี้ยวห้ามพปชร.อ้างชื่อลุงตู่

ชู”ประยุทธ์”

“บิ๊กตู่” แก้เกี้ยว.... เอ่ยปาก เตือน "พรรคพลังประชารัฐ"  ขึ้นเวทีหาเสียงชู”ประยุทธ์” ลั่น ผมยังไม่ตอบรับพรรคไหน อย่าเอาชื่อไป หาเสียง ให้รอทำตามกม.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวถึง กรณีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขึ้นเวทีหาเสียงชูพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คนต่อไปนั้น มีการเทียบเชิญแล้วหรือไม่ นั้นว่า เห็นมีหลายพรรค ชูประยุทธ์ตลอด ทุกพรรค แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจใครสักพรรคเลย ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังด้วย การจะเสนอหรือกล่าวชื่อผม ในเวทีโน้นเวทีนี้ 

“ขอเตือนไว้ด้วย ตราบใดที่ ผมยังไม่ตอบรับกับใคร ก็อย่าพูดถึง ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่มีอยู่ 

ถ้าจะมีพรรคใดเสนอ ผมมา อาจจะรอเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่ยังไม่เรียบร้อยอยู่ก็ได้ ถึงช่วงนั้นค่อยว่ากันอีกที 

ผมก็ต้องพิจารณาอีกครั้ง จะทำต่อไปหรือไม่ และจะตอบรับพรรคใด ก็ต้องไปดูกันตรงโน้น ขอให้เคารพในการตัดสินใจของผมด้วย

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

8ข้อหม่อมอุ๋ยไม่เอาลุงตู่เป็นนายกฯ

‘หม่อมอุ๋ย’ แตกหักนายเก่า! ลั่น 8 ข้อ พอแล้ว ไม่เอาประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกต่อไป

‘หม่อมอุ๋ย’ อดีตรองนายกฯ – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานสถาบันคึกฤทธิ์ ปราโมช และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สมัยรัฐบาล คสช. เผยแพร่บทความ “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก” โดยระบุว่า

“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาเพื่อปูทางให้พลเอก ประยุทธ์ ได้สืบทอดอำนาจต่อไป ซึ่งเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แต่พลเอก ประยุทธ์ ก็กระทำการที่ไม่สง่างามเท่าใดนัก

กล่าวคือในระยะแรกใช้อำนาจทางกฎหมายที่มีอยู่ห้ามพรรคการเมืองอื่นหาเสียงกับประชาชน แต่ใช้การประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นที่แฝงตัวในการหาเสียงทั่วประเทศ และอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมให้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมทุกท้องถิ่นที่คณะรัฐมนตรีออกไปประชุมในจังหวัดต่าง ๆ เป็นการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่นเป็นเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีในสังกัดที่เป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่แฝงตัวในการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอีกด้วย เป็นการสร้างสภาวการณ์ที่ได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา

และที่น่าเกลียดมากคือ การใช้งบประมาณแผ่นดินในการสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและพรรคการเมืองฝ่ายตน ดังที่ประกาศเป็นโครงการแจกเงินหลายประเภทในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 ก่อนเริ่มหาเสียงเพียง 1 สัปดาห์ และในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 ถึง ก.ย. 2562

ซึ่งเป็นช่วง เวลาที่คาบเกี่ยวกับการหาเสียง การลงคะแนนเสียง และการตั้งรัฐบาล โดยไม่รู้สึกละอายว่านำเงินของประชาชนไปใช้หาเสียง อีกทั้งยังปฏิเสธอย่างหน้าไม่อายว่าโครงการนั้นไม่ใช่โครงการประชานิยม เป็นลักษณะของคนที่ต้องการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าได้เปรียบคู่ต่อสู้มากแล้ว จึงจะกล้าลงไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้ ไม่น่าจะเป็นชายชาติทหารได้เลย

ผมเห็นการกระทำที่เอาเปรียบคู่ต่อสู้อย่างไม่ละอายเช่นนี้แล้ว ก็ต้องการที่จะลดความได้เปรียบของฝ่ายพลเอก ประยุทธ์ ลงเพื่อให้มีการแข่งขันในการหาเสียงที่เป็นธรรมขึ้น จึงตัดสินใจ เขียนบทความนี้ เพื่อให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติหากพลเอก ประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ผมมี 8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

1. ในระยะเวลา 3 ปีหลังของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ รัฐบาลกระทำการที่ขาดวินัยทางการคลังอยู่ตลอดเวลา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อขาดดุลประจำปีเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว ก็ใช้วิธีอนุมัติงบประมาณที่มีผลผูกพันไปในอนาคต

เท่ากับนำเงินรายได้ในอนาคตมารองรับโครงการจ่ายเงินที่อนุมัติในวันนี้ จนถึงปีงบประมาณปัจจุบันมีการผูกพันงบประมาณไปในระยะ 5 ปีข้างหน้าถึง 1,178,275 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดใน ประวัติศาสตร์ งบผูกพันที่สูงที่สุดเป็นของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมของประเทศที่ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหลายปี จึงต้องตั้งเป็นงบผูกพันไว้ ก็เป็นที่ยอมรับได้

แต่งบผูกพันที่สูงเป็นอันดับสองเป็นของกระทรวงกลาโหม จำนวนสูงถึง 177,294 ล้านบาท (ในขณะที่งบประจำปีเป็นเพียง 227,000 ล้านบาท) เป็นเรื่องที่ดูแล้วขาดวินัยการคลังอย่างน่าเกลียด นอกจากการสร้างเรือดำน้ำซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี (ประมาณ 30,000 ล้านบาทเศษ)

และยานยนต์บางประเภทแล้ว อาวุธต่างๆ ไม่ได้ใช้เวลานานในการสร้าง ไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นงบผูกพันแต่อย่างใด สามารถรอตั้งเป็นงบประจำปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาวะที่การคลังขาดดุลต่อเนื่องมานับสิบปีแล้ว จำเป็นที่เราต้องประหยัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทยอยจัดซื้อเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่าก็ไม่น่าจะซื้อ เช่น กรณีเรือดำน้ำ เป็นต้น

หากพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก็ย่อมจะเลือกบุคคลที่โอนอ่อนผ่อนตามคำสั่งของตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง งบประมาณก็คงจะขาดดุลเพิ่มขึ้นและผูกพันมากขึ้น หนี้สินก็จะพอกพูนขึ้นจนทำให้ฐานะการคลังของประเทศอ่อนแอลง

2. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คน ได้ร่วมกันกระทำการที่ไม่โปร่งใส เพื่อจะแอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมา ด้วยวิธีการที่รวมหัวกันเพิ่มบทบัญญัติจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในการพิจารณาพระราชบัญญัติปิโตรเลียม วาระที่ 2 ของกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆ ที่ในการพิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ.นี้ในขั้นหลักการในวาระ ที่ 1 ไม่มีหลักการในเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไว้เลย แต่ได้ใช้กลเม็ดทางกฎหมายเพิ่มเรื่องใหม่เพิ่มเติมขึ้นในวาระที่ 2 จนสำเร็จ

เป็นการร่วมมือกันระหว่างกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารเป็นเสียงข้างมาก กับ รัฐบาลซึ่งแอบมีมติลับให้เพิ่มบทบัญญัติที่เป็นหลักการใหม่นี้ เป็นวิธีการที่แอบทำโดยไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน โดยมีความตั้งใจที่จะให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ และในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน จะให้กรมพลังงานทหารเป็นผู้บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน

ก่อนที่จะถึงการพิจารณาวาระที่ 3 ของ สนช. เพื่อรับรองร่าง พ.ร.บ.ฯ ที่ผ่านการพิจารณาวาระที่ 2 มาแล้ว ผมได้ใช้โอกาสในช่วงเวลาที่เหลือไม่กี่วันทำหนังสือเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ตลอดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ ชาติ หากอนุมัติให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้ ปรากฏว่าสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นถึงผลเสียที่จะตามมา จึงมีมติให้ตัดบทบัญญัติส่วนที่เพิ่มใน พ.ร.บ.ฯ ที่เกี่ยวกับบรรษัทน้ำมันแห่งชาติออกไปทั้งหมด นับว่าเป็นบุญของประเทศชาติ

แม้ว่า สนช. จะหยุดยั้งเรื่องนี้ไว้ได้แล้ว แต่กลุ่มบุคคลที่เป็นต้นคิดในเรื่องนี้ก็ยังไม่หยุดยั้ง และยังหาจังหวะทางการเมืองที่จะผลักดันเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง บุคคลกลุ่มนี้มีความสนิทสนมกับ พลเอกประยุทธ์ มากทีเดียว หากพลเอกประยุทธ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง เมื่อมีพลังทางการเมืองเพิ่มขึ้นแล้ว ก็อาจจะผลักดันเรื่องนี้จนเป็นผลสำเร็จได้ ซึ่งจะมีผลเสียอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

3. ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนโยบายต่างประเทศที่ถ่วงดุลอำนาจระหว่างประเทศมหามิตรหลายฝ่ายที่มีอำนาจในโลกมาได้เป็นอย่างดีเสมอมา แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับประเทศมหามิตรฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ไม่มีการถ่วงดุลที่เหมาะสม อาจเป็น ปัญหาสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยได้ในอนาคตรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ดำเนินนโยบายที่เอาใจประเทศจีนมากกว่าประเทศมหามิตรอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา EU และญี่ปุ่น อย่างไม่สมดุลเอาเสียเลย

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือโครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงเทพฯ–หนองคาย ซึ่งรัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายให้ใช้รถไฟความเร็วสูงของจีนเพื่อวิ่งบนเส้นทางดังกล่าว และให้บริษัทจีนเป็นผู้ออกแบบและคุมงาน โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีความสามารถเท่ากันหรือดีกว่าจีนเข้าเสนอโครงการ เพื่อเปรียบเทียบแต่ประการใดเลย

และเงื่อนไขของจีนก็มิได้มีเงื่อนไขใดที่ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นพิเศษแต่อย่างใด ประเทศไทยก็ยังต้องเป็นผู้รับภาระลงทุนก่อสร้างราง ลงทุนในระบบสัญญาณ สร้างขยายสถานี และลงทุนซื้อรถไฟความเร็วสูงจากจีนทั้งหมด ประเทศจีนไม่ต้องแบกภาระลงทุนในเรื่องใดเลย

การกระทำอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต้องการเอาใจประเทศจีน เป็นพิเศษก็คือ การสอดไส้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการบรรจุข้อความที่ เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทย ได้โดยง่าย กล่าวคือในร่าง พ.ร.บ. EEC ซึ่งรัฐบาลเสนอผ่านการรับหลักการในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 1 ไปแล้ว มีข้อความที่ไม่มีใครเคยเขียนมาก่อนระบุไว้ในมาตรา 48 และมาตรา 49 กล่าวคือในมาตรา 48 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ประกอบกิจการในหลายๆ เรื่องนั้น มาตรา 48 (2) ระบุให้ “สิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร” ได้โดยไม่ได้กำหนดจำนวนสูงสุดไว้

และในมาตรา 49 ระบุ “ให้ผู้ประกอบกิจการหรืออยู่อาศัยในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ พิเศษซึ่งเป็นคนต่างด้าว…ให้มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นภายในเขตส่งเสริม เศรษฐกิจพิเศษได้ โดยไม่ต้องรับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือภายใต้การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด”

ข้อความในสองมาตราดังกล่าวนี้ถ้าผ่านสภาฯ ออกเป็นกฎหมายก็จะเปิดโอกาสให้นายทุน ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเขต EEC สามารถนำคนงานต่างด้าวเข้ามาพร้อมทั้งครอบครัวที่เป็นผู้อยู่อาศัยได้ด้วย โดยคนงานและผู้อยู่อาศัยทุกคนมีสิทธิจะเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศไทยได้เช่นกันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดเปิดโอกาสเช่นนี้ให้แก่คนต่างด้าวมาก่อนเลย

ผมเจาะข้อมูลเพิ่มเติม กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบมาว่าผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้บรรจุข้อความในสองมาตราดังกล่าว นั้นคือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีความใกล้ชิดกับจีนเป็นพิเศษ และผมก็ได้สอบถามความเห็นของวงการนักลงทุนชาติอื่น เช่น ญี่ปุ่นและยุโรปแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่านักลงทุนชาติเหล่า นั้นมีความต้องการเอาผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินแต่ประการใด คงมีความต้องการเฉพาะให้ผู้ประกอบการมีสิทธิครอบครองที่ดินบ้างเท่านั้น

ผมกลัวว่าหากพลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ก็อาจยินยอมให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.EEC ให้เพิ่มเรื่อง อนุญาตให้นำผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินได้อีก

พลเอกประยุทธ์ คงไม่ได้รับรู้ว่า ในประเทศเพื่อนบ้านที่คนจีนเพิ่งเข้าไปถือครองที่ดินและอยู่อาศัยถึงแสนครอบครัวนั้น เขาได้แทรกแซงทำ การค้า (Trading) ในเมืองต่างๆ ของประเทศนั้นในวงกว้างทีเดียว แล้วด้วยเงินทุนที่มีมากกว่า ทำให้พ่อค้าชาวจีนครอบงำการค้า (Trading) ของประเทศนั้นมากแล้วทีเดียว

ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จีนสนับสนุนเพื่อใช้เป็นเส้นทางสำหรับนักเดินทางจากจีนตอนใต้ผ่านลาว ไทย มาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า นโยบายสร้างเส้นทางรถไฟสายดังกล่าวของจีนนี้ เป็นนโยบายล่าอาณานิคมมิติใหม่ (New Colonialism)

ใช่ครับเป็นนโยบายที่อำนวยความสะดวกให้พ่อค้านักธุรกิจจีนได้ใช้รถไฟความเร็วสูงเข้ามาขยาย ธุรกิจการค้าในประเทศเหล่านี้ได้โดยสะดวก เป็นการขยายเครือข่ายการค้าที่ครอบงำโดยพ่อค้า ชาวจีนเป็นสำคัญ เป็นการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

ผมเชื่อว่าถ้าพลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ก็คงจะไม่มีนโยบายที่จะดูแล แก้ปัญหาในเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจจีน หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

4. ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ และ คสช. ได้กระทำการหลายอย่างเป็น ประจำที่ทำให้คนไทยโดยทั่วไปเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน เช่น กรณีโครงการราชภักดิ์ที่หัวหิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบพบว่ามีความไม่ถูกต้องหลายประการ ก็ถูกแรงกดดันจากรัฐบาลให้หัวหน้าสำนักตรวจเงินแผ่นดินชี้แจงเสมือนเป็นเรื่องปกติได้ประชาชนเชื่อว่าหากเป็นหน่วยราชการอื่นที่ไม่ใช่หน่วยทหารเป็นผู้จัดทำ ก็คงจะถูกเปิดโปงและ มีการลงโทษกัน หรือเช่นกรณีรายงานทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ครบถ้วน ซึ่งยัง ไม่แน่ว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่การที่ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาในการตัดสินและชี้แจงต่อประชาชนออกมา นานกว่าที่ควรจะเป็นมาก ก็ทำให้ประชาชนเห็นว่า เพราะบุคคลผู้นั้นเป็นทหาร จึงมีผลให้ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาให้ หากบุคคลนั้นเป็นพลเรือน ป.ป.ช. ก็คงตัดสินไปนานแล้ว

นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ และ คสช. ยังพยายามให้เห็นว่าทหารคือฝ่ายปกครองในขณะ ที่พลเรือนคือผู้ถูกปกครอง การเรียกตัวเอกชนไปให้ทหารเป็นผู้ปรับทัศนคติในกรมทหารก็ดี การใช้ทหารกำกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรในท้องถิ่นก็ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทหารคือผู้ปกครองและพลเรือนอยู่ใต้การปกครองของทหาร

ความรู้สึกที่ว่า ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน และความรู้สึกที่ว่าทหารทำตัวเป็นผู้ปกครอง เมื่อนานไปก็มีผลให้ประชาชนทั่วไปไม่ชอบทหารมากขึ้นทุกที ความรู้สึกไม่พอใจทหารในขณะนี้ ไม่ต่างจากช่วงเวลา พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2516 หากปล่อยให้สะสมมากขึ้นต่อไปอาจจะเป็น อันตรายต่อบ้านเมืองได้

5. ในระหว่างหนึ่งปีที่ผมทำงานกับพลเอกประยุทธ์ ได้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ สนิทสนม และใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งบุคคลที่สนิทสนมกับกลุ่มธุรกิจปลอดภาษีเป็นประธานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตามมา ด้วยการแต่งตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เข้าไปนั่งเป็น กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งช่วยให้สามารถได้รู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ยังไม่เปิดเผยก่อนผู้อื่น และรู้แง่มุมของการวางนโยบายที่เป็นเรื่องไม่พึงเปิดเผยด้วย และยังเคยเชิญ นักธุรกิจคนหนึ่งให้เข้าไปร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นความเห็นที่ เป็นประโยชน์แก่นักธุรกิจผู้นั้นโดยเฉพาะและยังมีตัวอย่างอื่นอีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจรายใหญ่บางคนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังเคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องมีการประมูล เคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรี ให้เอกชนรายหนึ่งเช่าโดยให้คิดค่าเช่าในราคาถูก

ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยเข้าใจนัยสำคัญของเรื่องนี้

6. พลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเพราะกลัวเสียคะแนนนิยม รัฐมนตรีที่เคยร่วมงานในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ สามารถเป็นพยานได้ว่า เมื่อมีเรื่องใดที่รัฐบาล ต้องอนุมัติเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อปฏิรูป หากมีผู้ออกความเห็นคัดค้านใน Social Media บ่อยๆ พลเอกประยุทธ์ ก็สั่งให้ถอยเสมอ ด้วยความกลัวว่าตนเองจะเสียคะแนนนิยม แม้ว่าความเห็นใน Social Media จะไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือตรงข้ามกับข้อเท็จจริง แต่ถ้านำลงใน Social Media ให้มากรายและหลายๆ ครั้ง ก็จะทำให้พลเอก ประยุทธ์ กลัวเสียคะแนนนิยมจนสั่งถอนเรื่องเสมอ

เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตจากถ่านหิน (แทนถ่านลิกไนต์ที่เคยทำอยู่เดิมและตัวถ่านหมดลง) เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนภาคใต้ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดในภาคใต้เกือบจะผลิตได้ไม่พอความต้องการอยู่แล้ว แม้ว่าจะได้ทำการประชาพิจารณ์ถึง 6 ครั้ง และปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆ ของโครงการให้เป็นไปตามความต้องการด้านความสะอาดและสิ่งแวดล้อมของผู้คนในท้องถิ่นครบถ้วนตามที่เขาต้องการ จนประชาชนในท้องถิ่นออกเสียงให้ดำเนินการได้ในการทำประชาพิจารณ์ครั้งสุดท้ายแล้วก็ตาม

หรือเช่น การประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติรอบที่ 21 ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งคัดค้าน แม้ว่าคณะที่ปรึกษาที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานได้ให้ความเห็นว่าควรสนับสนุนการประมูลให้เสร็จเพื่อให้สามารถสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติได้ทันใช้ (เนื่องจากก๊าซในบ่อเดิมที่ใช้อยู่เหลือน้อยลง) และแม้จะจัดให้มีการโต้วาทีระหว่างฝ่ายที่ สนับสนุนกับกลุ่มที่คัดค้านตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแล้ว พอถึงวันประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่าฝ่ายสนับสนุนชี้แจงได้ดี และไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม. แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการต่อไปได้เลย ถ้านายกรัฐมนตรี ไม่ขัดข้อง ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่กล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำเพราะกลัวเสียคะแนนนิยมคือ เรื่องภาษีทรัพย์สิน ซึ่งรัฐมนตรีคลังได้ตั้งเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.ก่อนที่จะเสนอสภาฯ เป็นธรรมดาที่การจะเก็บภาษีเพิ่มเติมย่อมมีคนค้าน ผู้ที่คัดค้านทำการค้านผ่านทั้งสื่อมวลชนและ Social Media ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดความกลัวจะเสียคะแนนนิยม

ดังนั้นเมื่อเรื่องมาถึงที่ประชุมเตรียมการก่อนเสนอที่ประชุม ครม. ปรากฏว่าพลเอก ประยุทธ์ สั่งให้รอเรื่องไว้ก่อนด้วยเหตุผลเดียวคือ มีคนโจมตี ซึ่งพลเอก ประยุทธ์ อ่านข้อความที่มีผู้คัดค้านให้ฟังในที่ประชุมด้วย ผมฟังแล้วเห็นว่าเป็นความเห็นคัดค้านของกลุ่มเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินมากๆ ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ที่จะหยุดกฎหมายนี้ แต่ในที่สุดกระทรวงการคลังก็ต้องดึงเรื่องออกไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และต้องใช้เวลาอีก 3 ปี กว่ากฎหมายจะผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้แทนที่จะทำได้เสร็จในปีแรก ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้นสำหรับบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณซึ่งเป็นต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว

บุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวว่าจะเสียคะแนนนิยมเช่นนี้ หากได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปในเรื่องต่างๆ ที่เตรียมกันไว้ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ยาก เพราะมาตรการเพื่อ การปฏิรูปทุกเรื่องย่อมจะมีผลกระทบประชาชนบางกลุ่มอย่างแน่นอน ถ้าขาดความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง การปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น

7. ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานของการประชุม ASEAN ตลอดทั้งปี หากพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมระหว่างประเทศสมาชิก ASEAN รวมทั้งประเทศอื่นที่เข้าสังเกตการณ์ มีความเสี่ยงที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าประเทศสมาชิกอื่นจากพฤฒิปฏิบัติของประธานที่ประชุมได้ ดังที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2558 เมื่อครั้งที่ประเทศไทยได้เป็นประธานของการประชุมประเทศกำลังพัฒนา G77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยกร่างสุนทรพจน์ให้พลเอก ประยุทธ์พูดในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายสนใจใคร่รู้

แต่ปรากฏว่า หลังจากที่พูดตามร่างในเรื่องที่เตรียมไว้ไปได้ไม่นาน พลเอก ประยุทธ์ ได้หันไปพูดนอกบทโดยใช้เวทีที่สิงคโปร์ด่าทอสื่อมวลชน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และนักวิชาการในประเทศ อันเป็นการด่าคนไทยด้วยกันเองให้คนต่างชาติฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับตัวแทนจาก 130 ประเทศที่เข้า ร่วมรับฟัง

นอกจากนี้ เมื่อคราวที่พลเอกประยุทธ์ เข้าพบ President Donald Trump ของสหรัฐอเมริกา คนไทยก็ได้รับรู้ความสามารถในการเจรจากับบุคคลระดับผู้นำประเทศ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ เป็นไก่รองบ่อนอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้คาดหวังที่จะให้พลเอกประยุทธ์ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องในการเจรจา เพราะผู้นำรัฐบาลสามารถใช้ล่ามได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องพยายามฟังให้เข้าใจเนื้อหา และใช้สติหาคำตอบที่เหมาะสม ตอบเป็นภาษาไทยให้ล่ามแปลด้วยความรัดกุมก็จะไม่เสียเปรียบ แต่ความที่อยากจะอวดว่าพูดภาษาอังกฤษเป็น (ทั้งๆ ที่ภาษา อังกฤษใช้ไม่ได้เลย) จึงทำให้กลายเป็นไก่รองบ่อน น่าขายหน้าอีกครั้งหนึ่ง

หากพลเอกประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปีหน้า ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมผู้นำ ASEAN ด้วย ก็มีโอกาสที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าอีกครั้ง เพราะพลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ และเมื่ออารมณ์เสียแล้วก็จะบุ่มบ่ามและมุทะลุ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ต้องการแสดงออกให้คนรู้ว่าตนเองเก่งและรอบรู้ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้น ภายในที่มักจะทำให้เกิดการแสดงออกที่พลาดท่าได้

8. ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นักข่าวก็มีโอกาสได้ฟังนายกแถลงข่าวทุกวันประชุม ครม. และนำบทแถลงข่าวและบทให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ออกให้คนชมทางโทรทัศน์เป็นประจำ ทุกคนได้เห็นถึงการพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มีลักษณะที่ก้าวร้าวและบางครั้งก็ใช้คำหยาบคายที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะออกมาจากปากของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งอาจกลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจะทำตาม เด็กๆ ย่อมมองเห็นบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแบบอย่างสำหรับทำตามอยู่แล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีพูดก้าวร้าวได้และพูดหยาบคายได้ เยาวชนก็จะคิดว่าเขาน่าจะมีสิทธิทำได้เช่นกัน พลเอกประยุทธ์ ไม่เคยระวังตัวในการใช้คำพูดเลย ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรวางตัวอย่างไรหรือพูดจาอย่างไรจึงจะเหมาะสม และเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน

การใช้ภาษาไทยในการพูดของพลเอก ประยุทธ์ ไม่เหมาะสม สำหรับผู้ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศในหลายประการ ประการแรก พลเอกประยุทธ์ พูดจารวบคำอยู่เสมอ เช่น คำว่า “ประชาชน” พูดว่า “ประชน” หรือคำว่า “พิษณุโลก” พูดว่า “พิษโลก” ตัวอย่างการพูดรวบคำของพลเอกประยุทธ์ ยังมีอีกนับร้อย เมื่อผู้นำพูดเช่นนี้บ่อยๆ คนก็จะทำตามจนอาจทำให้ภาษาวิบัติได้

และผมก็ทราบว่า กองทัพบกมีหลักสูตรสำหรับฝึกการพูดให้แก่ผู้ที่จะเป็นนายทหารระดับสูง ให้มีความเป็นสุภาพชนที่เหมาะสม คงมีพลเอกประยุทธ์ นี่แหละที่ทำได้ไม่ดีเท่านายทหารคนอื่น

โดยสรุป ผมเห็นว่าหากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปที่เตรียมไว้ก็คงจะไม่สำเร็จเพราะความไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากกลัวเสียคะแนนนิยม แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านเพียงหยิบมือเดียว ฐานะการคลังของประเทศก็คงจะเสื่อมลงไปอีกเพราะขาดวินัยที่ดี คนไทยก็คงต้องทนฟังการพูดภาษาไทยที่ขัดหู รวบคำ และแข็งกระด้าง และต้องนั่งเป็นห่วงว่าเยาวชนอาจเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี ต้องนั่งใจเต้นว่า นายกรัฐมนตรีจะไปทำให้ประเทศไทยขายหน้าในการเป็นประธานการประชุมในเวทีโลกอีกหรือไม่

ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการผลักดันให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อเศรษฐกิจอีกหรือไม่ และจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ต้องเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะถูกแทรกซึมในธุรกิจการค้าโดยประเทศมหาอำนาจบางประเทศหรือไม่ การให้ประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับพลเอกประยุทธ์ จะมีส่วนสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน และหากรวมเข้ากับความไม่พอใจในการที่ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน ก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุเหล่านี้

ผมจึงไม่ต้องการให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเลย

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

25พรรค ลงนาม ‘สัญญาเคารพ ปชช.’ จัดตั้ง รบ.ต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ไร้เงา พปชร.-รปช.

25พรรค ลงนาม ‘สัญญาเคารพ ปชช.’ จัดตั้ง รบ.ต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ไร้เงา พปชร.-รปช.



พรรคการเมือง 25 พรรค ร่วมลงนาม “สัญญาที่พรรคการเมืองขอให้ไว้กับประชาชน” พร้อมให้ความมั่นใจกับประชาชนเลือกตั้ง‪ 24 กุมภาพันธ์ ‬จะเป็นไปโดยเสรี สุจริต เที่ยงธรรม

เมื่อเวลา 09.45 น. วันที่ 20 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิสันติภาพและวัฒธรรม สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันจัดพิธีลงนาม “สัญญาที่พรรคการเมืองขอให้ไว้แก่ประชาชน”ซึ่งเป็นความสืบเนื่องจากการร่วมถกแถลงแสวงความเห็นพ้องระหว่างพรรคการเมืองที่ต้องการให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นไปโดยเสรี สุจริต และเที่ยงธรรม โดยพรรคการเมืองจะหาเสียงเลือกตั้งด้วยกระบวนการที่มีจรรยาบรรณ และให้การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเป็นไปโดยเคารพเสียงและความต้องการของประชาชน

โดยทางมูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรมฯหวังว่าการทำสัญญาครั้งนี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความขัดแย้งทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง โดยการทำสัญญาดังกล่าวมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมจำนวน 25 พรรค อาทิ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย, นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา, นายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรคไทยรักษาชาติ ร่วมพิธีลงนาม ส่วนพรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมลงนามในวันนี้ทางมูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรมฯยังเปิดโอกาสให้ร่วมลงนามเพิ่มเติมได้จนถึงวันที่ ‪10 มกราคม 2562‬ อย่างไรก็ตาม ภายในงานมีตัวแทนทูต ตัวแทนเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรือแอนเฟรล เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน นางสาวจันดานี วาตาวาละ ผู้อำนวยการแอนเฟรล กล่าวแสดงความยินดีที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งและหวังว่าทางมูลนิธิอัลเฟรลจะได้ร่วมสังเกตการการเลือกตั้งของไทยด้วย

ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวแสดงความคาดหวังต่อการเลือกตั้งว่า การทำสัญญาร่วมกันของพรรคการเมืองในวันนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งที่เป็นไปโดยสันติ และไม่มีการทุจริต เพราะการทุจริตในการเลือกตั้งส่งผลทำให้ประชาธิปไตยตกต่ำลง หรือการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยมทางการเมือง การซื้อเสียง ถือเป็นการทำลายประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม หวังว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ และเที่ยงธรรม


หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมได้ร่วมกันอ่านคำสัญญาที่พรรคการเมืองให้ไว้กับประชาชน ก่อนที่จะมีการลงนาม ด้วยถ้อยคำว่า ก่อนการเลือกตั้งพรรคการเมืองขอให้สัญญาว่า จะปฏิบัติตามจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้ง คือจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งและกฎระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นตามหลักนิติธรรมและตามมาตรฐานสากล จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการซื้อเสียง จะไม่ใช้และพร้อมที่จะต่อต้านการใช้กลไกหรือทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยสันติวิธีและไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ จะไม่ใช้ถ้อยคำและภาษาที่ร้อนแรง จะไม่ให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไม่ใช้การข่มขู่และไม่ใช้วาจาที่ปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรง และจะเคารพสิทธิของพรรคการเมืองทุกพรรคที่จะรณรงค์หาเสียงโดยปลอดจากความหวาดกลัวและการถูกข่มขู่ และขอยืนยันว่าจะไม่ไปก่อกวนการรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองใดๆ

ซึ่งหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองขอให้สัญญาว่าจะเคารพเสียงของประชาชนและเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม พรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีเสียงสนับสนุนเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลจะนำนโยบายที่แต่ละภาคใช้ในการหาเสียงมาบูรณาการกันอย่างจริงจังและให้ความสำคัญแก่การจัดทำนโยบายร่วมกันนี้ในการลำดับก่อนการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี จะสนับสนุนให้รัฐจัดให้มีกลไกที่ใช้หลักของความเป็นธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อเสนอแนะการปรองดอง และเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำของรัฐและการกระทำด้วยเหจุจูงใจทางการเมือง จะสนับสนุนกระบวนการพูดคุยสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้บรรลุข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพซึ่งกันและกันและอย่างสันติ และเพื่อความเป็นธรรมระหว่างการบริหารราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น

เปิดเอกสารผังงานโต๊ะจีน 650 ล. พปชร. ชื่อคล้าย‘คลัง-ททท-กทม’หรา บริจาครวม 99 ล.

เปิดเอกสารผังงานโต๊ะจีน 650 ล. พปชร. ชื่อคล้าย‘คลัง-ททท-กทม’หรา บริจาครวม 99 ล.

เขียนวันที่
วันศุกร์ ที่ 21 ธันวาคม 2561 เวลา 11:15 น.
เขียนโดย
isranews
“...หากพิจารณาจากเอกสารแผนผังงานข้างต้น ที่สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบ เห็นได้ว่า มีการจัดผังโซน และปรากฏชื่อที่คล้ายหน่วยงานรัฐ 3 แห่งดังกล่าวในผังงานจริง อย่างไรก็ดีไม่มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ทั้ง 3 โต๊ะดังกล่าว เป็นโต๊ะของหน่วยงานรัฐจริงหรือไม่ หรือมาในฐานะอะไร นำเงินจากไหนมาจ่ายเงินระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐ หากไม่ใช่หน่วยงานของรัฐจริง การที่จองโต๊ะโดยอ้างชื่อคล้ายคลึงกับหน่วยงานรัฐ มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องทำเช่นนั้น...”
PIC ppchr 21 12 61 1
กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตอนนี้!
กรณีพรรคพลังประชารัฐจัดงานระดมทุนโต๊ะจีน โต๊ะละ 3 ล้านบาท รวม 200 โต๊ะ เป็นเงิน 600 ล้านบาท แต่ยอดบริจาคตามที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแม่งานจัดระดมทุนดังกล่าว ระบุว่า ยอดตอนนี้พุ่งขึ้นเกือบ 650 ล้านบาทแล้ว
แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องโฟกัสคือ ตามแผนผังงานดังกล่าว ที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบ ปรากฏชื่อบุคคลซื้อโต๊ะที่มีชื่อย่อคล้ายคลึงกับหน่วยงานรัฐ ได้แก่ ‘คลัง-ททท-กทม’ ร่วมซื้อโต๊ะด้วย รวม 33 โต๊ะ เป็นเงิน 99 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของยอดบริจาคทั้งหมดเลยทีเดียว ? (อ่านประกอบ : เปิดผังงานโต๊ะจีน 650 ล. พปชร. ‘ดร.อั๋น-เอก’เหมา 120 ล. คลัง-ททท.โผล่ 69 ล.)
เบื้องต้น นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว โดยยืนยันว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปซื้อโต๊ะดังกล่าว และหากพบชื่อใครเข้าไปเกี่ยวข้องถือว่ามีความผิด
ขณะที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ให้สัมภาษณ์สื่อช่วงเช้าวันที่ 21 ธ.ค. 2561 เผยผลการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบชื่อของหน่วยงานรัฐร่วมบริจาคระดมทุน แต่หากพบพร้อมคืนเงินบริจาคให้ ขอให้หยุดใส่ร้ายทางการเมือง (อ่านประกอบ : ถ้ามีพร้อมคืนเงิน! พปชร.ปัดไร้หน่วยงานรัฐซื้อโต๊ะ-กกต.รอผลเปิดชื่อ คลัง-ททท.ปฏิเสธ)
ไม่ว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org อธิบายที่มาที่ไปของแผนผังงานดังกล่าว ดังนี้
เมื่อคืนวันที่ 19 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศราเดินทางไปร่วมงานระดมทุนโต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐ ที่อิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 9 เมืองทองธานี โดยพบว่า มีนักการเมือง และบิ๊กนักธุรกิจมาร่วมงานเป็นจำนวนไม่น้อย 
ภายในงานสำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบเอกสารที่เป็นผังการจัดงาน แต่ไม่ได้เผยแพร่ต่อสื่อ รวมถึงได้รับการยืนยันจากหนึ่งในคณะผู้จัดงาน สรุปได้ว่า มีการแบ่งโซนโต๊ะจีนออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ ฝั่งวีไอพี (VIP) และฝั่งบุคคลธรรมดา โดยฝั่ง VIP จะอยู่ฝั่งซ้ายของเวที แบ่งโต๊ะเป็นสี รวม 99 โต๊ะ และฝั่งบุคคลธรรมดาอยู่ฝั่งขวาของเวที แบ่งโต๊ะเป็นสีขาว รวม 101 โต๊ะ
สำหรับฝั่ง VIP ถูกระบุว่า เป็นโต๊ะของผู้หลักผู้ใหญ่ภายในพรรค รวมถึงคณะกรรมการบริหารพรรค เช่น โต๊ะหัวหน้าพรรค (นายอุตตม สาวนายน) โต๊ะท่านเลขา (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) โต๊ะมาดามเดียร์ (นางวทันยา วงษ์โอภาสี) เป็นต้น
อย่างไรก็ดีพบว่า โต๊ะฝั่ง VIP ปรากฏชื่อบุคคลที่ซื้อโต๊ะ คล้ายคลึงกับหน่วยงานรัฐ 3 แห่ง 33 โต๊ะ บริจาครวม 99 ล้านบาท ได้แก่ คลัง ซื้อ 20 โต๊ะ 60 ล้านบาท ททท ซื้อ 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท และ กทม 10 โต๊ะ 30 ล้านบาท (ดูเอกสารประกอบ)
PIC ผงโตะจน พปชร 1
หากพิจารณาจากเอกสารแผนผังงานข้างต้น ที่สำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบ เห็นได้ว่า มีการจัดผังโซน และปรากฏชื่อที่คล้ายหน่วยงานรัฐ 3 แห่งดังกล่าวในผังงานจริง
อย่างไรก็ดีไม่มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ทั้ง 3 โต๊ะดังกล่าว เป็นโต๊ะของหน่วยงานรัฐจริงหรือไม่ หรือมาในฐานะอะไร นำเงินจากไหนมาจ่ายเงินระดมทุนให้พรรคพลังประชารัฐ 
หากไม่ใช่หน่วยงานของรัฐจริง การที่ซื้อโต๊ะโดยอ้างชื่อคล้ายคลึงกับหน่วยงานรัฐ มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องทำเช่นนั้น
เจตนารมณ์ของสำนักข่าวอิศรา ไม่ได้เผยแพร่เพื่อมุ่งร้ายแก่ใคร เพียงแค่นำเสนอข้อเท็จจริงให้สาธารณชนรับทราบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และเงินภาษีของประชาชนเท่านั้น ต่อไปเป็นเรื่องของหน่วยงานรัฐที่จะนำเอกสารชิ้นนี้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เกิดกรณีดังกล่าวจริงหรือไม่ 
โดยเฉพาะ 2 หน่วยงานตรวจสอบหลักที่เกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำเป็นต้องนำไปตรวจสอบต้นตอที่มาที่ไปว่า ในงานระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ ใช้เงินจากไหน สามารถทำได้หรือไม่ รวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องตรวจสอบด้วยว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้อโต๊ะจีนครั้งนี้หรือไม่ หากมีใช้เงินใคร ถ้าใช้เงินตัวเองถือว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ เพราะที่นั่งหนึ่งก็ราคา 3 แสนบาท หากไม่ได้ซื้อเอง การรับบัตรที่นั่งใบละ 3 แสนบาท ถือว่าผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐรับเงินเกิน 3 พันบาทหรือไม่ 
ท้ายที่สุดคงต้องรอพรรคพลังประชารัฐรายงานผลการระดมทุนดังกล่าวแก่ กกต. และเปิดเผยต่อประชาชนอีกครั้งว่า สรุปผู้บริจาคมีใครบ้าง ?

เรียกคืนเครื่องราชฯผู้พิพากษาที่ถูกไล่ออกจากราชการจำนวน 3 ราย

20 ธ.ค.61 - ราชกิจจานุเบกษา  เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ข้าราชการตุลาการพ้นจากตำแหน่งและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ด้วยสำนักงานศาลยุติธรรมแจ้งว่า ประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งไล่ข้าราชการตุลาการออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และต้องพ้นจากตำแหน่ง ต ามมาตรา ๓๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งการที่ข้าราชการตุลาการถูกลงโทษไล่ออกจากราชการเป็นกรณีเข้าเงื่อนไขเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ๖และข้อ๗ (๔) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ จึงขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท และขอพระราชทานพระราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จำนวน ๓ รายดังนี้
๑. นางสาวเพชรน้ำผึ้ง เทพพิพิธ พ้นจากตำแหน่ง ผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรมตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก และทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย
๒. นายวิวัธน ทองลงยา พ้นจากตำแหน่ง ผู้พิพากษาศาลฎีกาประจำสำนักงานศาลยุติธรรมตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์ มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญจักรพรรดิมาลา
๓. นายกุลธวัช ภู่ภูมิรัตน์ พ้นจากตำแหน่ง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือกและทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักงานองคมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบ ฝ่าละอองธุลีพระบาท และขอพระราชทานพระราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตราตามที่เสนอ 
ทั้งนี้ ข้าราชการตุลาการทั้ง๓ ราย ดังกล่าวเป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว
ประกาศณ วันที่ ๒๒  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

โต๊ะจีนทำพิษ พลังประชารัฐ ‘อาจงานเข้า’

อดีต กกต.บอก พลังประชารัฐ ‘อาจงานเข้า’ หลังปรากฎชื่อหน่วยงานราชการร่วมซื้อโต๊ะจีนในงานระดมทุน กว่า 70 ล้านบาท
.
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า งานระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 200 โต๊ะๆ ละ 3 ล้านบาท ที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.อาจจะมีปัญหาเสียแล้ว หลังปรากฎชื่อของหน่วยงานราชการร่วมจัดซื้อโต๊ะด้วย
.
“งานอาจเข้าที่พรรคพลังประชารัฐ” สมชัยระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
.
อดีต กกต.รายนี้ อ้างถึงรายการของสำนักข่าวอิศรา ที่ได้สำรวจงานระดมทุนดังกล่าว แล้วปรากฎว่า มีชื่อของโต๊ะที่ใช้ชื่อว่า “คลัง” 20 โต๊ะ เป็นเงิน 60 ล้านบาท และใช้ชื่อว่า “ททท.” อีก 3 โต๊ะเป็นเงิน 9 ล้านบาท นำไปสู่คำถามที่ว่า รัฐมนตรี (ซึ่งร่วมอยู่ในพรรคนี้ถึง 4 คน) ใช้ตำแหน่งหน้าที่การเงิน ให้หน่วยงานราชการสนับสนุนค่าโต๊ะจีนหรือไม่
.
“เมื่อความปรากฏดังกล่าว จึงเป็นหน้าที่ของ กกต. ในการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยไม่จำเป็นจะต้องมีผู้ร้อง มิเช่นนั้น กกต. เอง อาจถูกกล่าวหาว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้” สมชัย อดีต กกต.ที่ถูกปลดเพราะมาตรา 44 ว่าไว้
.
สำหรับงานระดมทุนดังกล่าว ทางพรรคพลังประชารัฐอ้างว่า สามารถหาเงินได้ถึง 650 ล้านบาท

ไม่คิดแต่ทำ"สืบทอดอำนาจ"


บิ๊กตู่ ลั่น! ที่ทำมา ไม่คิดสืบทอดอำนาจ แต่เป็น สืบทอดอำนาจการบริหารเพื่อรบ.ต่อไป

บิ๊กตู่ ลั่น! ที่ทำมา ไม่คิดสืบทอดอำนาจ แต่เป็น สืบทอดอำนาจการบริหารเพื่อรบ.ต่อไป ตามแบบแผนยุทธศาสตร์ชาติ
บิ๊กตู่ – เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 20 ธ.ค. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เป็นประธานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2561 (The Prime Minister’s Industry Award 2018) มีนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวรายงาน โดยมีอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีในการเข้าถึงตลาดโลก ผ่านคัดเลือกได้รับรางวัลจำนวน 92 รางวัล

พล.อ.ประยุทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิตอลเข้ามา รวมทั้งอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ เป็นการเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคต่างๆ ทุกระดับอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจระดับล่าง

ขณะเดียวกันอยากให้ภาคอุตสากรรมยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนไม่ใช่ภารกิจของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ทุกฝ่ายต้องยกระดับไปด้วยกันในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า หัวใจสำคัญจำเป็นต้องมุ่งเน้นส่งเสริมความเข้มแข็งให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากล และทำให้บุคลากรการบริการมีมาตรฐานเกิดศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การดำเนินงานของอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากคำนึงถึงผลประกอบการแล้ว ก็ขอให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดูแลบุคลากร และดูแลประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบให้เกิดความสุขและมีความพึงพอใจ ทุกคนจะต้องคำนึงถึงเพื่อลดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจ วันนี้รัฐบาลปลดล็อกไปหลายประการ เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอยากให้มองว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลทุกภาคส่วน ทุกอาชีพทั้งผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลางและรายได้สูง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดผลกระทบมีความขัดแย้งในแง่ของคนรวยคนจน

การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็มีอยู่แล้ว ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็จะมีปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่งผลเสียต่อการเดินหน้าทางการเมือง การปฏิรูปทางการเมือง ทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ต้องดูแลคนทุกระดับ วันนี้โซเชียลมีเดียมีความสุขกว้างขวางมากขึ้น ขณะที่ความต้องการของคนก็มีมากขึ้น

ทุกคนสามารถร้องเรียนและเรียกร้องแสดงความพอใจ และไม่พอใจผ่านสังคมโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งก็มีผลกระทบต่อรัฐบาลและผู้ประกอบการทั้งสิ้น นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลก็ออกไปไม่ได้ จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนสร้างความเข้าใจร่วมกันพัฒนาประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาทุกอย่างก็ดีอยู่ แต่ควรจะต้องดีมากขึ้น จะทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

ผมพูดกับประชาชนไปหลายครั้งแล้วว่า ประเทศไทยมีความต้องการในการดูแลผู้มีรายได้น้อย ประมาณ 30 ล้านคน เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ ส่วนนี้มีความต้องการมากขึ้น เพราะคนเยอะขึ้น รัฐบาลจึงมีมาตรการต่างๆ ออกไปดูแล หารายได้มาเพิ่มเติม ดังนั้นถ้าทุกอุตสาหกรรมดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น ภาษีมากขึ้น ก็จะมีเงินเข้ามาเติมในส่วนของการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลมีรายได้อย่างเดียวจากการเก็บภาษี ดังนั้นถ้าเราใช้อะไรมากเกินไป เกินสัดส่วนที่มีอยู่ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะความต้องการของคนไม่มีวันสิ้นสุด แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะรีดภาษีจากประชาชนเพียงอย่างเดียว
ยืนยันว่าการทำนโยบายต่างๆ รัฐบาลไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่เป็นการสืบทอดอำนาจทางการบริหารของรัฐบาลทุกรัฐบาลต่อไป ในการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติ
อุตสาหกรรมต้องมีส่วนร่วมในยุทธศาสตร์ชาติทุกด้าน เพื่อทำให้เกิดความมั่นคง การเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนา การลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการบริหารจัดการภาครัฐ เราต้องคิดให้กว้างรัฐบาลไม่ได้หวังสืบทอดอำนาจของใครก็แล้วแต่
แต่เป็นการสืบทอดอำนาจของประเทศ ในการกำหนดวิธีการในการเดินหน้าประเทศไทยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมายต่างๆ ให้มีความเป็นสากล ซึ่งวันนี้รัฐบาลได้ปรับแก้หลายอย่าง ขอให้ไปดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้าง
ผมไม่ได้พูดในเรื่องการเมือง แต่อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังพยายามทำอะไร และทุกคนจะต้องคาดหวังได้ว่า รัฐบาลต่อไปจะทำได้หรือไม่ และจะทำอย่างนี้หรือไม่ และผมก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลในเวลานี้ แต่ต้องศึกษาว่าเราได้ทำอะไรไปแล้ว วันนี้แค่เริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เราต้องเดินหน้าไปสู่อนาคตพร้อมๆ กัน ซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายนัก อะไรที่ยังทำไม่เสร็จก็มาทำต่อในรัฐบาลหน้า รัฐบาลก็แก้ไขปัญหาไปหลายประการแล้วในการเดินหน้าประเทศ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่รับรางวัลด้วย