PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

ผ่าพรรคประชาธิปัตย์จับอาการเฮี้ยว“อภิสิทธิ์” : ฐานสั่นคลอน หลักการกดดัน

ผ่าพรรคประชาธิปัตย์จับอาการเฮี้ยว“อภิสิทธิ์” : ฐานสั่นคลอน หลักการกดดัน



ช็อตประวัติศาสตร์การเมืองโลกที่นานาชาติจับตา
กับภาพการข้ามพรมแดนมาจับมือ พูดคุยสันติภาพกันระหว่างประธานาธิบดีคิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ กับประธานาธิบดีมุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้
เป็นครั้งแรกในรอบ 65 ปี หลังสงครามยุติ
สัญญาณศึกสายเลือดโสมขาวโสมแดงที่แตกแยกกันเกือบศตวรรษกำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
ตัดฉากกลับมาที่การเมืองไทยที่เผชิญวิกฤติแตกแยกมาแค่ 10 กว่าปี ถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววจะพูดจาภาษาเดียวกัน ยังข้ามพรมแดน “อัตตา” กันไม่พ้น
ท่ามกลางอากาศแปรปรวนในห้วงฤดูร้อน พายุพัดถล่ม ลูกเห็บตกภาคเหนือ ภาคอีสาน
สถานการณ์ล้อกับบรรยากาศทางการเมืองที่เข้าสู่ภาวะปรวนแปร ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลังสัญญาณเริ่มชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตีตั๋วต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ยกระดับความชอบธรรม “นายกฯคนใน” ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ท่ามกลางวาทกรรม “ตกเขียว” กระแส “ดูด” ที่ผุดตามพรรคทหารขึ้นมาแบบทันทีทันควัน ตามสไตล์ธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆที่ต้องชิงฝังความทรงจำที่ไม่ดีกับพรรคท็อปบูต
และก็เป็นไปตามสูตร พรรคที่นำขบวนก็คือค่ายประชาธิปัตย์ เจ้าตำรับแห่งการผลิตวาทกรรมเตะตัดขา สกัดดาวรุ่งที่จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งทาบบารมี
รอบนี้ออกตัวแรง กระแทกทีม “นายกฯลุงตู่” แบบไม่ไว้ไมตรี
แถมเป็นอะไรที่สังเกตว่าไม่ใช่แค่ระดับลูกแถว แต่เป็นระดับแม่ทัพอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำทีมแห่กระแส
เปิดยุทธการล่อเป้าพรรคทหารด้วยตัวเอง
เร่งเครื่องเร่งจังหวะกันตั้งแต่เปิดฉากไล่คนในพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้ไสหัวออกจากประชาธิปัตย์ไป ตามด้วยการประกาศจุดยืนต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ
ต่อเนื่องกับอาการไล่ตามจิกตามแฉ ประจานการใช้ตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ เก้าอี้ผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูดนักการเมืองจากพรรคต่างๆเข้าร่วมงานกับรัฐบาลคสช.
อาศัยเหลี่ยมมัดจำแต้มทางการเมืองให้ “นายกฯลุงตู่”
วิพากษ์วิจารณ์พฤติการณ์สวนทางกับแนวทางการปฏิรูป กลับไปสู่วังวนเดิม
“อภิสิทธิ์” เทกแอ็กชั่นแรงๆใส่แบบไม่ยั้งไมตรี ในจังหวะที่ลูกทีมอย่างนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าสำนักข่าวไม่ได้กรอง ก็ตามแห่ แฉตัวเลข 40,000 ล้าน ทุนตั้งพรรคทหาร
นั่นก็ทำให้สถานการณ์ลามถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสั่งให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการทางคดี
ตบปากพวกแฉตีกินโดยไม่รับผิดชอบ
ไปๆมาๆกลายเป็นว่า “อภิสิทธิ์” และทีมพรรคประชาธิปัตย์กลับออกอาการร้อนรนกับการตีตั๋วต่อของ “ลุงตู่” เยอะกว่าโจทก์โดยตรงของทหารคสช.อย่างพรรคเพื่อไทย ลูกข่าย “ทักษิณ”
ทั้งๆที่มีสถานะคนกันเอง เป็นแนวร่วมฝ่ายเดียวกันมาตั้งแต่ต้น
นั่นไม่เท่ากับว่า โดยเงื่อนไขสถานการณ์ในอนาคต ตามโมเดลอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน พรรคประชาธิปัตย์ก็คือหนึ่งในตัวยืนพรรคร่วมรัฐบาล
หนีไม่พ้นต้องเป็นแนวร่วม สนับสนุน “นายกฯลุงตู่”
เพราะโอกาสยากที่จะพลิกขั้วไปจับมือกับฝ่าย “ทักษิณ” ด้วยกันทั้งคู่
ตามโจทย์บังคับ ความจำเป็นของโครงสร้างอำนาจประเทศช่วงเปลี่ยนผ่าน สัญญาณไฟแดงยังค้าง ไม่เปิดให้ พรรคเพื่อไทย ทีมงาน “นายใหญ่” กลับมาลุยสุดซอย
พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้เต็มอก นายอภิสิทธิ์ ก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่ที่ไม่รู้ ทำไมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถึงได้ออกตัวแรง ออกแอ็กชั่นเกินบทขนาดนี้
แน่นอน จับอาการเบื้องต้น มันคือสภาวการณ์ของคนอัดอั้น
ตามสภาพของ “จอมหลักการ” อย่าง “อภิสิทธิ์” ศิษย์เอกของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ที่ต้องแบกรับแรงกดดันจากเงื่อนไขสถานการณ์ที่ยากต่อการวางยุทธศาสตร์การต่อสู้ กำหนดบทบาทการยืนของตัวเองบนเกมอำนาจ
ต้องเดินหมากการเมืองภายใต้โจทย์เพี้ยนๆ สถานการณ์ปราบเซียน
อันดับแรกเลย กับสิ่งที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ และในทันทีทันใด ก็ถูก “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เบิ้ลบลัฟ อำกันเป็นทำนองช่างกล้าประกาศ ไม่อายชาวบ้าน
ย้อนประจานภาพการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
สานฝันนายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นี่คือคราบฝังแน่นที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์สลัดไม่หลุด จุดที่อาการตั้งท่ารังเกียจทหารถูกมองว่าเล่นได้ไม่เนียน แสดงความรู้สึกช้าไป
แม้แต่กองเชียร์ยังฝืนใจเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงสังคมทั่วไปจะอินตาม
มุกต้านเผด็จการแป้กตั้งแต่ออกตัว
จุดขาย ฟอร์มเก่งของยี่ห้อประชาธิปัตย์ไม่ขลังเหมือนอดีต
และนั่นก็โยงถึงโอกาสที่นายอภิสิทธิ์จะรีเทิร์นกลับมาลุ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แทบจะปิดประตูลงกลอน ล็อกตาย
เหนืออื่นใด ตามเงื่อนไขอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านที่รู้กันดีว่าทหารต้องแก้โจทย์จากปี 2549 ที่ปฏิวัติเสียของมาตลอด และ “อภิสิทธิ์” เองก็อยู่ในกระบวนการทำเสียของมาด้วย
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เคยได้รับโอกาสมาแล้วแต่ทำไม่ได้
พิสูจน์แล้ว “อภิสิทธิ์” ไม่เหมาะเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติ
แล้วกับสถานการณ์ผู้นำช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของประเทศ มันก็ยิ่งยากกันไปใหญ่
เป็นอะไรที่ฟันธงได้ “อภิสิทธิ์” ไม่ได้สู้เพื่อชิงการนำกับ พล.อ.ประยุทธ์
จุดที่ต้องโฟกัสมากกว่า น่าจะเป็นเงื่อนไขสถานการณ์ที่โยงกับสถานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายอภิสิทธิ์กำลังตกอยู่ในห้วงเผชิญแรงเสียดทานจากการเปลี่ยนตัวผู้นำ
กั๊กอำนาจกับ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ กปปส.
“หอกข้างแคร่” แฝงอยู่เต็มพรรค
“อภิสิทธิ์” ต้องเป็นแม่ทัพในสนามเลือกตั้ง ทั้งๆที่พลังไม่เต็มสูบ
กับศึกหนักข้างหน้าที่แปรสภาพเป็นสงคราม 3 ก๊ก ตามฉากที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฉายภาพชัดจากที่ประชาธิปัตย์สู้กับพรรคเพื่อไทย
มีขั้ว คสช.เปิดตัวเป็นก๊กที่ 3
และตามรูปการณ์ ประชาธิปัตย์ฐานเดียวกับทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ยังไงก็สะเทือน
ประกอบกับการยืนยันสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เหลือแค่หลักหมื่นจากหลักล้าน ตามอาการต่อเนื่องกับการที่คนประชาธิปัตย์ออกมาตีปี๊บแฉเรื่องทุนตั้งพรรคทหาร
โดยที่ “อภิสิทธิ์” ตั้งท่าประจานเรื่องการบล็อกกลุ่มทุน ไม่ให้หนุนพรรค การเมืองฝ่ายต่อต้าน
อาการเหมือนตกสำรวจ จะโดนเมิน เลยต้องรีบโวย “ทวงของ”
นั่นก็เพราะตามธรรมชาติของกลุ่มทุนที่แทงหวยเลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะเลือกสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่า
แต่สถานการณ์ ณ วันนี้ สถานะพรรคเกินร้อยของประชาธิปัตย์ยังถูกตั้งเครื่องหมายคำถามจะเอามาจากไหน ในเมื่อภาคอีสาน ภาคเหนือ แทบไม่เหลือทำพันธุ์ ภาคกลางก็นับหัวได้
ฐานที่มั่นปักษ์ใต้ก็มีสิทธิ์โดนทีม กปปส.ของ“ลุงกำนัน” แบ่งแต้มไป รวมถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็คงถูกกลุ่มวาดะห์กลับมาทวงที่นั่งคืน เหนือ อีสาน กลาง ใต้ แนวโน้มไม่เพิ่ม ประชาธิปัตย์มีแต่จะหดลงกว่าเดิม
นั่นไม่เท่ากับจุดที่ “อภิสิทธิ์” น่าจะห่วงที่สุดก็คือสนามกรุงเทพฯ
ในวันที่คน กทม.ส่วนใหญ่อยู่ในอาการเบื่อประชาธิปัตย์ ไม่เอาเพื่อไทย
ถึงจุดที่ประชาธิปัตย์ไร้กระแส แถมในสถานการณ์ที่ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่จาก กทม.ที่ประชาธิปัตย์ครองเก้าอี้ผู้ว่าฯ วันนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ที่ดีลตรงกับ คสช.
แนวโน้มส่อโดนเจาะ หายไปครึ่งต่อครึ่งแน่
การเสียที่มั่นในสนามเมืองกรุง สถานที่แจ้งเกิดทางการเมืองของคนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
นี่แหละที่น่าจะเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหลักการตกอยู่ในภาวะกดดัน
จนต้องออกอาการเฮี้ยวเกินบท.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: