PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พูดแบบไม่ต้องตรวจฉี่

พูดแบบไม่ต้องตรวจฉี่



ภารกิจการเมืองทำ “The old soldier” เดี้ยงไปตามๆกัน
ตามปรากฏการณ์ที่ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ป่วยจากอาการปวดขา ถึงขั้นต้องยื่นใบลาประชุมคณะรัฐมนตรี
ในจังหวะก่อนหน้านี้ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ระหว่างประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.อุบลราชธานี
ถึงตอนนี้อาการติดเชื้อในกระแสเลือดยังไม่หายดีเท่าไหร่
ดูแล้วก็มีแค่ “น้องเล็ก” อย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่แข็งแรงกว่าใคร อย่างมากก็แค่ป่วยเป็นไข้
“เจ็บคอ แต่พูดเยอะ”
พักหลังต้องออกตัวทุกเวที ขอร้องอย่าเบื่อฟัง ที่พูดเยอะ เพราะคิดเยอะ ทำเยอะ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ “ลุงตู่” ใส่เกียร์ห้า เร่งเครื่องปั่นเนื้องาน พร้อมตีปี๊บผลงานตัวเองในช่วงโค้งสุดท้าย เข้าสู่ทางตรงโรดแม็ปไปสู่การเลือกตั้งที่วางคิวไว้ต้นปีหน้า 2562
แสดงให้เห็นถึงห้วงเวลา 4-5 ปีของ คสช.ไม่ได้ทำ “เสียของ”
เรื่องของเรื่อง ถ้าไม่วอกแวกกับเกมการเมืองสองข้างทาง จังหวะการปะทะกันระหว่างขั้วอำนาจ คสช.กับขั้วอำนาจเดิมของ “ทักษิณ” หรือการเฉือนคมระหว่างทหารกับนักการเมืองที่แท็กทีมกันระหว่างยี่ห้อเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ เตะตัดขา “นายกฯลุงตู่”
ทำให้บรรยากาศการเมืองดูน่าเบื่อ เหมือนไม่คืบไปถึงไหน
แต่มองตรงไปที่เป้าหมาย จะเห็นได้ชัดถึงยุทธศาสตร์ปลายทาง
กับการเดินหน้าเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากกว่ารัฐบาลยุคใด
ไล่ตั้งแต่ “เมกะโปรเจกต์เรือธง” โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ถือเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
การปักหมุดโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เดินหน้าประมูลไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา พร้อมๆกับลุยโปรเจกต์รถไฟทางคู่สายอีสาน สายเหนือ เพื่อรองรับระบบโลจิสติกส์ เสริมศักยภาพประเทศไทยที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน
อีกด้านหนึ่งก็เป็นการประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสีในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล แก้ปัญหาจราจรให้คนในเขตเมืองใหญ่ไม่ต้องผจญกับรถติด
การปลดล็อกประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ-บงกช เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เป็นฐานเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ไม่นับโครงการบริหารจัดการน้ำ 9 โครงการ มูลค่า 3.7 แสนล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจ 6 จังหวัด
ล้วนแต่แผนรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ล้อตามเป้าที่เขียนไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ที่สำคัญ มันเป็นการชดเชยโอกาสของประเทศไทยที่สูญหายไปจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองที่ลากยาวมากว่า 10 ปี
ถึงตรงนี้ มองเห็นรูปธรรมตรงหน้าในอารมณ์แบบที่ชวนให้คนไทยคิดตามได้เลยว่า ถ้าเลือกตั้งแล้ว “นายกฯลุงตู่” ไม่ตีตั๋วต่อ ไม่มีคนชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็นกัปตันทีมเศรษฐกิจ
เปลี่ยนรัฐบาล โครงการที่ตอกเข็มไปแล้วอาจโดนล้ม ต้องเริ่มต้นใหม่
และในมุมที่เปรียบเทียบกัน รัฐบาล “ลุงตู่” เน้นไปที่
เนื้องานวางฐานรากประเทศที่สัมผัสจับต้องได้ แถมยังลุยอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ประคองปากท้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย
หันไปที่ “นายใหญ่” อดีตทักษิณ ชินวัตร รัวกลองส่งสัญญาณ สู้ตาย สงครามยังไม่จบ
แล้วก็เป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยขยายผลแปลความ “นายใหญ่” ตั้งท่าทำสงครามเลือกตั้ง กลับมายึดอำนาจ ทวงทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้คืน
หวั่นความรุนแรง มิคสัญญีเผาบ้านเผาเมืองจะซ้ำรอยเดิม
ตามท้องเรื่องที่เดาตอนจบได้ ไม่ต้องตรวจฉี่โชว์แบบ “เสก โลโซ” ที่ไลฟ์สดด่าแถมเตือน “นายใหญ่”
“ทักษิณ” ฝืนสู้ไป รังแต่จะยิ่งเจ็บลึก.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น: