PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ผลเลือกตั้งต้นปีหน้า “ตอบโจทย์” พ้นกับดักวิกฤติ : ไม่ปรับค่านิยม แพ้ทั้งประเทศ

ผลเลือกตั้งต้นปีหน้า “ตอบโจทย์” พ้นกับดักวิกฤติ : ไม่ปรับค่านิยม แพ้ทั้งประเทศ



ปรากฏการณ์น้ำยังอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง
อิทธิพลจากพายุเบบินคาและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำฝนตกหนัก ปริมาณน้ำล้นเขื่อนแก่งกระจานไหลเข้าท่วมตัวเมืองเพชรบุรี น้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนวชิราลงกรณ จ่อท่วมกาญจนบุรี ภาคเหนือจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เจอน้ำป่าซัดถนนขาด หลายจังหวัดภาคอีสานต้องเผชิญภาวะแม่น้ำโขงล้นตลิ่ง
ประชาชนต้องขนของหนีน้ำท่วมอ่วมกันไปทุกภาค
เป็นภารกิจฉุกเฉินเฉพาะหน้าที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ต้องระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย
รวมถึงการเตรียมรับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะตามมาจากผลของภัยธรรมชาติ
ตัดฉากไปที่บรรยากาศทางการเมือง ตามท้องเรื่องที่ “5 เสือ” คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ โชว์ “ตุ๊กตา” กำหนดปฏิทินเลือกตั้งแบบลงวัน ว. เวลา น.
ล็อกคิวเข้าคูหากาบัตรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
ยกระดับความชัดเจนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ถึงแม้จะมีเสียงจากฝ่ายความมั่นคง คสช.ออกมาแจกแจงเพิ่มเติมการโชว์ปฏิทินเลือกตั้งของ กกต.ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมด้วย
โดยเฉพาะประเทศต้องสงบถึงจะปล่อยไฟเขียวได้
อย่างไรก็ตาม ประเมินจากท่าที พล.อ.ประยุทธ์ ที่แบะท่าพร้อมใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 แก้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำไพรมารีโหวตเพื่อให้ทันการเลือกตั้ง
ส่งมาเมื่อไหร่พร้อมเซ็นให้ทันที
รวมถึงการปลดล็อกคำสั่ง คสช.เพื่อให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้ ที่ล่าสุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ได้เปิด 6 ประเด็นที่ คสช.จะผ่อนกฎเหล็ก
1.พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่เพื่อรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติมได้ 2.ให้ความเห็นเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งได้ 3.ดำเนินการเกี่ยวกับไพรมารีโหวตได้ 4.ตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ 5.ติดต่อประสานงานกับสมาชิกพรรคได้
ส่วนข้อสุดท้าย “เนติบริกร” ยัง “กั๊ก” ไว้เป็นปริศนา
ขณะที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการ คสช. ยืนยันทุกอย่างจะชัดเจนในเดือนกันยายน ตามเงื่อนไขเวลาที่ล้อกันพอดีกับจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์นัดประกาศความชัดเจน
เฉลยเส้นทางการ “ตีตั๋วต่อ” ในเกมเลือกตั้ง
ทั้งหมดทั้งปวง โดยท่าทีของหัวหน้า คสช.ในการแก้ปมไพรมารีโหวต เงื่อนเวลาปลดล็อกการเมือง ประกอบกับการโชว์ตุ๊กตาของ กกต.
มันล้วนอยู่ในโหมดของการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
ในจังหวะที่นักการเมืองอาชีพทุกป้อมค่ายรีบชิงแห่ “ตุ๊กตา” ของ กกต.กดดันมัดคอ คสช. พร้อมๆกับขยับออกสตาร์ตกันล่วงหน้า
ตามกระแสข่าววงในบรรดาป้อมค่ายเก่ากำลัง “ก่อเตา” ปะทุศึกภายใน
โฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทย ศึกชิง “นอมินีภาค 3”
ตามท้องเรื่อง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ยังลุ้นธงของ “นายหญิง” บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปวัดกำลังกับทีมน้องสาวของ “นายใหญ่” ดูไบ
เดิมพันการดำรงอยู่ของตระกูลชินและยี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร”
ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ ก็จ่อระเบิดศึกโค่นเก้าอี้ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่กลายเป็นปมปัญหา “ดีลอำนาจ” ตามบทบาทการแสดงจุดยืนที่เสี่ยงตกขบวนอำนาจ
พลาดโอกาสทองตามสถานะ “ตัวแปร” สำคัญ
อีกจุดที่เคลื่อนตัวแรงแบบเงียบๆก็คือค่ายภูมิใจไทย ตามสถานการณ์ที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เดินสายจีบอดีต ส.ส.ในภาคอีสาน ทาบทามอดีต ส.ส.ภาคกลาง
โชว์พลังเจ้าสัว “ปั๊ม” ยี่ห้อซิโนไทย หนีเงาของ “เนวิน ชิดชอบ”
ปั่นตัวเลขเป็น “แต้มต่อรอง” กับการเกาะขบวนไปต่อกับ “นายกฯลุงตู่” หรือจับพลัดจับผลูมองไปได้ถึงการเป็น “ตาอยู่” ในสถานการณ์ที่ “หิมะถล่ม” แบบที่ “นายใหญ่” ฟันธงพรรคเพื่อไทยชนะแบบแลนด์สไลด์
ยี่ห้อเดิม พรรคเก่า มีต้นทุนหน้าตักแล้ว
ขณะที่ป้อมค่ายใหม่ จุดไฮไลต์คือพรรคอนาคตใหม่ที่หวือหวาในช่วงออกตัวแรกๆ ตามยุทธศาสตร์การตลาด “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ถอดแบบโมเดลมาจากยุคไทยรักไทย “ทักษิณตาดูดาวเท้าติดดิน” โดนใจคนรุ่นใหม่
กดไลค์ กดแชร์กันวูบวาบ โพลคะแนนขึ้นมาติดอันดับต้นๆ
แต่พักหลังเงียบไป ตามจังหวะการเคลื่อนไหวที่ไปติดเงี่ยงกฎหมาย โดยเฉพาะการใช้จุดแข็งสไตล์คนรุ่นใหม่ในโลกโซเชียลมีเดีย ส่อโดนคดีจากการไลฟ์สดโจมตี คสช.
ประกอบกับภาพเชิงซ้อนเป็นค่ายสำรองของ “ทักษิณ” ผนวกกับ “จุดดำ” ที่ “ไพร่หมื่นล้าน” สลัดไม่หลุดคือภาพของนิติราษฎร์ หมิ่นเหม่ ม.112
ทำให้ความร้อนแรงของ “ธนาธร” ลดลงตามแรงเสียดทาน
และตามสถานการณ์ พรรคที่โดนล็อกเป้าจับตามากที่สุดหนีไม่พ้นค่าย “พลังประชารัฐ”
ภายใต้ปรากฏการณ์แบบที่ยังไม่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คนครึ่งค่อนประเทศเข้าใจตรงกันหมดแล้ว พรรคชื่อพ้องกับโครงการยุทธศาสตร์ของรัฐบาล “ลุงตู่”
คือพรรคหลักที่เป็นฐานสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังเลือกตั้ง
ตามจังหวะการขับเคลื่อนจึงตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะสถานการณ์ภายใต้การขับเคลื่อนของกลุ่มสามมิตร ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ที่ประกาศชัดสนับสนุน “นายกฯลุงตู่” เป็นผู้นำต่ออีกสมัย
พร้อมกับการเดินสายรวบรวมกำลังพลอดีตผู้แทนราษฎรชื่อดัง ระดับแกนนำเกรดเอในจังหวัดภาคอีสาน ไม่เว้นแม้แต่การดึงแกนนำมวลชนเสื้อแดง นปช.มาเป็นแนวร่วม
ท่ามกลางเสียงโวยวายของนักการเมือง พรรคเพื่อไทย ค่ายประชาธิปัตย์ ยี่ห้อภูมิใจไทย ฯลฯ
ประจานดักทางยุทธการ “ดูด” ดักคอพรรคหนุนทหาร
ลามถึง คสช.โดนโจมตีว่า ให้ท้ายกลุ่มสามมิตร แต่ปิดกั้นโอกาสค่ายการเมืองอื่น
โดนย้อนศรย้อนคอหอย ทีม “ลุงตู่” กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่ายความมั่นคง คสช. จังหวะการขยับของป้อมค่ายการเมือง ทั้งพรรคเก่า พรรคใหม่ ที่ล้อกับการเปิดตุ๊กตาเลือกตั้งลงวัน ว. เวลา น. ของ กกต.ชุดใหม่
เร้ากระแสโหมดเลือกตั้งกระชั้นเข้ามาทุกที
มันล้วนแล้วแต่เกี่ยวโยงโดยตรงกับเกมอำนาจหลังเลือกตั้ง
ตามรูปการณ์ต่างฝ่ายต่างแพ้ไม่ได้
แน่นอน การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่บังคับใช้มาเกือบ 2 ปี ย่อมมีความสำคัญ
แต่นั่นไม่ยังสำคัญเท่ากับผลการเลือกตั้งที่ออกมา
เพราะมันคือเดิมพันอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่ใช่เดิมพันของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เดิมพันของ “ทักษิณ” ไม่ใช่เดิมพันของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เดิมพันของพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ใช่เดิมพันของทหาร ไม่ใช่เดิมพันของนักการเมือง
แต่มันคือเดิมพันของประเทศชาติและประชาชนคนไทย
ผลเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นคำตอบว่า การเมืองไทยจะพ้นปากเหววิกฤติขัดแย้งหรือไม่
กับรูปการณ์ที่ยังนัวเนียๆ วนอยู่กับวงจรอุบาทว์เก่าๆ
นักการเมืองน้ำเน่า ยังมีราคาค่างวด ประชาชนคนต่างจังหวัดยังถูกผูกไว้กับผู้นำท้องถิ่น ระบบหัวคะแนนที่โน้มน้าวจนถึงการใช้อำนาจสั่งให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.ที่ซื้อเสียง ใช้อามิสสินจ้าง
นโยบาย “เสี่ยสั่งลุย” ลด แลก แจกแถมฟรี ยังมีผลต่อคะแนนเสียง
ผู้แทนฯวนอยู่กับนักการเมืองหน้าเดิมๆ ตระกูลเก่าๆ
นั่นเท่ากับเปิดทางพวกที่เคยก่อวิกฤติ กลับมาก่อม็อบตีกันลากการเมืองลงเหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประเทศไทยเสียเวลา “เว้นวรรค” ประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งมา 4–5 ปี รัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของ “ลุงตู่” ที่ใช้อำนาจพิเศษสะกดไฟความขัดแย้ง ทำบ้านเมืองสงบพักใหญ่
สุดท้ายปฏิวัติเสียของซ้ำซาก
การเดินหน้าพัฒนาการเศรษฐกิจจากติดลบขึ้นมาติดลมบน โจทย์โคตรยากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ปักหมุดผุดสารพัดเมกะโปรเจกต์ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ปริมณฑล วางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ปั้นไทยแลนด์ 4.0 รองรับระบบเศรษฐกิจโลก
ดันตัวเลขจีดีพี การส่งออก ความมั่นใจนักลงทุนที่ฟื้นกลับมา
มีหวังเจอวิกฤติการเมืองฉุดลงเหวพังหมด
เรื่องของเรื่อง อนาคตก็อยู่ที่ประชาชนคนไทยกำหนดเอง ถ้าไม่ปรับค่านิยมในการเลือกตั้ง
แพ้กันทั้งประเทศ โทษใครไม่ได้เลย.
“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: