PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

‘บิ๊กแดง’ กับโจทย์เดิม


กองทัพบกจะใช้ศักยภาพและใช้ขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน
สัญญาณคลื่นความถี่สูงส่งตรงจาก “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำจุดยืนชัดๆตรงๆตั้งแต่การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในสถานะจ่าฝูงกองทัพบก
ตีธง ยกระดับความเข้มของภารกิจสำคัญขึ้นอีกขั้น
เขียนโจทย์ขึ้นกระดานตัวโตๆให้รับรู้และเข้าใจตรงกันทั้งในและนอกประเทศ กับเงื่อนไขพิเศษในห้วงสถานการณ์เปลี่ยนผ่านประเทศไทย
เหนืออื่นใดสำหรับ “บิ๊กแดง” คือการอารักขาสถาบัน
และที่มาตามนัด กับไฮไลต์คำถามแหลมๆของนักข่าว จะมีปฏิวัติอีกหรือไม่
“บิ๊กแดง” ไม่ยืนยันมัดคอตัวเอง แค่ทิ้งทุ่นไว้ในที หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเมืองอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในชาติอีก ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจลก็ไม่มีอะไร
ในวงเล็บ ไม่รับประกัน ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ป่วนของนักการเมือง
เรื่องของเรื่อง แกะรอยตามที่ “บิ๊กแดง” เลกเชอร์ย้อนอดีตโยงปัจจุบันข้ามไปอนาคต
การแก่งแย่ง ชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของต่างประเทศ เป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่
จุดไฟเผาเมืองเกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ ตนเองเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ
นี่ก็สะท้อนคำตอบได้ระดับหนึ่ง
โดยพื้นฐานความคิดของจ่าฝูงกองทัพบกคนใหม่ก็ไม่ต่างจากคนกลางๆในสังคมไทยทั่วไปที่มองว่า พฤติกรรมแก่งแย่งชิงอำนาจของนักการเมืองทำประเทศชาติสูญเสียโอกาสมามากพอแล้ว
โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ต้องเสียเวลาฟื้นฟูความมั่นใจนักลงทุน
และวันนี้ต้องยอมรับว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ได้ฉุดลากเศรษฐกิจจากก้นเหว ติดลบจากวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง จนกลับมาเป็นบวก
ตั้งหลักได้แล้ว พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ตลอดช่วง 4–5 ปีที่การเมืองนิ่ง ปลอดจากม็อบป่วนเมืองเอื้อต่อการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ มันนำมาซึ่งสารพัดเมกะโปรเจกต์ที่ตอกเสาเข็มไว้
ทั้งโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ไฮสปีดเทรนไทย–จีน รถไฟฟ้าสารพัดสีในกรุงเทพฯและชานเมือง ฯลฯ
เนื้องานผุดขึ้นอย่างเห็นเนื้อเห็นหนังอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่นับมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจฐานรากภายใต้โครงการ “ประชารัฐ” ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ปรับโทนการประคองปัญหาปากท้องด้วยระบบรัฐสวัสดิการมาแทนอาการเสพติดประชานิยม เพื่อทำให้ผู้มีรายได้น้อยยืนด้วยลำแข้ง พึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว
เน้นเป้าหมายเพื่ออนาคต ทุกอย่างถูกวางอย่างเป็นระบบ
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คิดบนพื้นฐานแค่หาเสียงทางการเมือง
มันก็ไม่แปลกที่ “บิ๊กแดง” จะสะท้อนความหวังกับความต่อเนื่อง บ้านเมืองที่กำลังเดินหน้าไปได้ดี
แต่จุดเสี่ยงต้องลุ้นการเมืองอย่าทำพัง
ในบรรยากาศสถานการณ์อย่างที่เห็นๆกัน แค่ คสช.คลายล็อกกฎเหล็ก ปล่อยผีนักการเมืองให้ขยับเตรียมตัวกลับไปลงสนามเลือกตั้ง เท่านั้นแหละป่าช้าแตก
หัวเชื้อไฟความขัดแย้งที่ถูกอำนาจพิเศษกดทับไว้ โผล่กลับมาทันที
อารมณ์แบบที่ไม่มีใครยอมใคร คู่ขัดแย้งเก่าๆ โจทก์หน้าเดิมๆยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน
รอจังหวะกลับมาหลอนรอบใหม่
แถมเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ “บิ๊กแดง” แสดงความเสียใจที่เห็นกระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด แบบที่ยกตัวอย่างการตัดสินคดีในหลายคดีกับคนที่ทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรม ประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกลาง อะไรคือจุดยืนประเทศ
ในเมื่อบอกคนนี้ผิดก็แย้งว่าไม่ผิด ถูกแกล้ง แล้วจะอยู่กันอย่างไร
ไอ้ที่ “บิ๊กแดง” เล่าหนังตัวอย่างเมื่อหลายปีที่แล้ว วันนี้มันก็ยังพล็อตเดิมกับคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย
หนังม้วนเก่าวนมาฉายซ้ำ แค่เปลี่ยนดารารุ่นพ่อมารุ่นลูก.
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: