PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ลุ้นยกสองต่อยกสาม

ณ วันที่มั่นอกมั่นใจ หลังผ่าน “เดดไลน์” เส้นตายสังกัดพรรคการเมือง 90 วัน
ปิดกล่องนับตัวเลขชัวร์ๆกันได้
ล่าสุดถึงจุดที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ยอมรับเต็มปากเต็มคำแล้วว่า อยากให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
เพราะจะได้ทำงานที่ทำอยู่ให้เสร็จ
พร้อมย้ำหนักแน่น เลือกตั้งมีแน่ 24 กุมภาพันธ์ ปีหน้า 2562
ประกอบกับไทม์ไลน์ล่าสุดที่หลุดออกมาจากวงประชุม คสช. ลงล็อกลงวันในปฏิทินงาน เริ่มจากคิวที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำการประกาศเขตเลือกตั้งวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้
จังหวะที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ครบกำหนดบังคับใช้ 90 วัน ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ซึ่งตรงกันพอดีกับวันปลดล็อกการเมืองให้ทำกิจกรรมเลือกตั้งเต็มรูปแบบ
จากนั้นจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งในวันที่ 26 ธันวาคม และประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ก่อนทำการรับสมัคร ส.ส.ระหว่างวันที่ 14–18 มกราคม 2562
ถึงตรงนี้แทบไม่ต้องถามซ้ำซากปมเลื่อนเลือกตั้ง
ยังรวมไปถึงกระแสยุบพรรคเพื่อไทยที่เห็นมีแต่ลูกทีม “นายใหญ่” ออกมาปล่อยข่าวเขย่าขวัญกันเอง
แต่สถานการณ์ของจริง เช็กข่าววงในจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ คสช. ยืนยันไม่มียุบพรรคเพื่อไทยล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะกระบวนการต้องใช้เวลาเป็นปี
ถึงตรงนี้ทหารหัวเหลี่ยมได้เซียนการเมืองช่วยเหลา ไม่บ้องตื้นเดินหลงเข้าทางคนหน้าเหลี่ยมแน่
ในเมื่อเห็นๆกันอยู่มีคนจ้องแห่ เรียกคะแนนสงสาร บวกกับสถานการณ์หาทางออกจากพรรคร้างที่มีแต่คนย้ายหนี ยุให้ยุบพรรคเพื่อไทยทิ้งเพื่อหาทางลงแบบไม่เสียฟอร์ม
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ป่วนๆของขุมข่าย “ทักษิณ” ปล่อยไปก็ตัดแต้มกันเละเทะ
ส่อแพ้ภัยตัวเอง คสช.แทบไม่ต้องทำอะไร
เอาเป็นว่า อ่านกันตามสถานการณ์ “เรียลไทม์” ป้อมค่ายไหนพร้อมสุดก็เห็นกันอยู่
ตามแต้มต้นทุนหน้าตักของยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” ที่ได้มวยเกรดเอเข้ามาอยู่ในสังกัด
จัดอยู่ในโซนใส่แต้มล่วงหน้าได้ แนวโน้มกวาด ส.ส.แบบเหมาจังหวัดหลายพื้นที่
นี่ยังไม่นับ “แต้มต่อ” ที่เอื้อให้ในฐานะฝ่ายคุมเกมอำนาจรัฐ
จากแรกเริ่มตั้งเป้า ส.ส.ไว้ 40–50 ที่นั่ง ขยับเพิ่มเป็น 70–80 เก้าอี้
ถึงตรงนี้ ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” สตาร์ตออกตัวแบบหวังได้เกิน 100 ไม่ใช่เรื่องเกินกำลัง
นั่นไม่สำคัญเท่ายุทธศาสตร์ตัดแต้มพรรคเพื่อไทยแบบไปกลับ
สลายพลัง “นายใหญ่” ให้ได้มากสุด
จุดที่เห็นกันชัดๆตามปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตั้งแต่การโค่นกระดานรัฐบาลไทยรักไทย ยึดอำนาจล้มระบอบ “ทักษิณ” ในเดือนกันยายน 2549 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลพลังประชาชนยุค “สมัคร สุนทรเวช” เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กับภาพที่อดีต ส.ส.กล้าตัดใจ สละเรือหนี “นายใหญ่” สลัดทิ้งอาการอุปาทานหมู่ ไม่อยู่กับ “ทักษิณ” ไม่กลัวตายอีกต่อไป
โดยสถานการณ์ยกแรกถือว่า “พลังประชารัฐ” ทำได้ตามเป้า
ตามจังหวะต้องออกแรงต่อ “ยกสอง” ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ยังต้องเปิดดีลกับป้อมค่ายประชาธิปัตย์ เพื่อดึงเสียงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาล
ในสภาพการณ์ที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ลดดีกรีความห้าวลงไปเยอะ
ภายหลังศึกชิงจ่าฝูง แต้มทิ้งห่างมวยเบอร์รองอย่าง “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” ไม่ถึงหมื่นคะแนน แฝงรอยร้าวแบบที่ทีมหนุน “หมอวรงค์” ย้ำจุดบอด “คนไม่มีเพื่อน”
แสดงตัวแสดงตนให้เห็นกลุ่ม “กบฏ” ที่แฝงอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็น “ของจริง” กับตัวเลขที่ทีม “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวขบวน กปปส. ผู้ก่อตั้งพรรค
รวมพลังประชาชาติไทย เปิดตัวทีมอดีตผู้แทนฯ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ดึงออกมาจากประชาธิปัตย์ ใส่แต้มชัวร์ๆได้ 6–7 ที่นั่ง ยังไม่นับต้นทุนของตระกูลเทือกสุบรรณในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ถึงตรงนี้ เชื่อขนมกินได้ “ลุงกำนัน” ทำแต้มหนุน “ลุงตู่” ได้ตามดีล
และตามเงื่อนไขสถานการณ์ก็จะโยงต่อเนื่องไปถึงยกที่สาม ตามสมการตัวเลขพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ บวกกับชาติไทยพัฒนาแต้มรวมกันมากเท่าไหร่
ก็เท่ากับเบรกพลังต่อรองยี่ห้อ “ภูมิใจไทย” มากเท่านั้น.
ทีมข่าวการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: