PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

พี่ใหญ่นายใหญ่คู่เลือกตั้ง

เคาะแต่แรก สาแหรกการเมือง

อย่างหนึ่งที่เห็นและเป็นอยู่การเมืองก่อนเลือกตั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง

นั่นคือการย้ายพรรคกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนว่ามากถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์

แม้จะมากน้อยต่างกันก็ตาม

แต่ความหมายสำคัญคือนักการเมืองจากพรรคใหญ่ย้ายออกไป โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม

เท่ากับว่าพรรคฝ่ายตรงข้ามอย่างพลังประชารัฐ ซึ่งได้นัก การเมืองจากเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ไปมากพอสมควร

“เพื่อไทย” ไหลออกมากที่สุด...

ทำให้พลังประชารัฐได้เปรียบแบบไป-กลับ อธิบายความก็คือการได้นักการเมืองคู่แข่งแล้วยังเป็นการลดนักการเมืองอีกฝ่ายไปในตัว

นี่กระมังที่ทำให้ “นายใหญ่” เพื่อไทย ถึงกับร้องไปเหมือนกัน ว่ากันว่าบางรายที่อยู่กันมานานและถือว่าอยู่ในหมู่คนวงในที่เคยได้ตำแหน่งรัฐมนตรีทุกสมัย

ถึงกับต้องโทร.ไล่จิกเพื่อไม่ให้ย้ายไปอยู่พรรคอื่น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรั้งตัวได้และยังนำลูกพรรคคนอื่นๆไปด้วยแบบยกจังหวัด

ดูกำหนดการคร่าวๆที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ “พี่ใหญ่” ที่ระบุว่าจะมีประชุมแม่น้ำ 5 สาย คสช. กกต. และพรรคการเมืองในวันที่ 7 ธ.ค.61

11 ธ.ค.61 จะปลดล็อกการเมือง 14-18 ธ.ค.61 เปิดรับสมัครให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.62

มีเวลาหาเสียง 60 วัน ซึ่งถือว่ามากพอสมควร

นอกจากนั้นยังประกาศแบบแผ่นเสียงตกร่องอีกว่าต้องการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “น้องเล็ก” ให้เป็นนายกฯต่อไปเพื่อสานงานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ว่าไปแล้ว “น้องเล็ก” นี่ดูเหมือนจะเป็นคนโชคดีมากที่มีผู้ใหญ่ให้การ “อุ้มสม” มาตลอดโดยเฉพาะ “พี่ใหญ่” ที่เอ็นดูเป็นพิเศษ

อย่าไปแปลกใจว่านับแต่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศจนถึงปัจจุบันจึงได้เห็นการแสดงออกระหว่าง 2 คน ในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันอย่างต่อเนื่อง

พูดง่ายๆว่าไม่มีทางแยกกันอย่างเด็ดขาด

มาถึงตอนนี้ยิ่งเห็นชัดเจนว่า “พี่ใหญ่” นั้น ทำให้ “น้องเล็ก” ทุกอย่างจะเป็นนายกฯต่อไปก็ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” สร้างพรรคการเมืองเพื่อหนุนหลัง พล.อ.ประยุทธ์ทุกรูปแบบ

“พลังประชารัฐ” จึงเด่นดังในขณะนี้

แม้กระทั่งกฎหมายก็ยังช่วยค้ำจุนอีกต่างหาก แม้กระทั่งไม่ต้องสังกัดพรรคการเมืองก็ยังมีพรรคการเมืองเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ

รัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้ว่า “ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ต้องแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะเสนอให้เป็นนายกฯ 3 คนต่อ กกต.ก่อนวันปิดรับสมัครเลือกตั้ง และ กกต.ต้องประกาศให้ประชาชนรับทราบก่อนการเลือกตั้ง”

พรรคที่จะเสนอชื่อต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต้องไม่ขาดคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและต้องไม่เสนอชื่อบุคคลใดซ้ำกัน 2 พรรค

“ลุงตู่” ก็เลยไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากเซ็นชื่อยินยอมเท่านั้น และยังสามารถวางตัวได้ว่าไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองแต่เป็นการมาขอชื่อไปเสนอสภาเท่านั้น

การเมืองวันนี้จึงเป็นเกมของคนสองคนคือ “พี่ใหญ่” กับ “นายใหญ่”.

“สายล่อฟ้า”

ไม่มีความคิดเห็น: