PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

จับตาการอภิปรายปมถวายสัตย์ฯ

จับตาการอภิปรายปมถวายสัตย์ฯ
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านได้เข้าชื่อกันเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในกรณีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเข้ารับตำแหน่งที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 18 กันยายน ศกนี้ 

จากนั้นก็ถึงวาระปิดสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา ผลการอภิปรายเป็นอย่างไรจึงอยู่ในความสนใจของผู้คนจำนวนมาก 

เพราะเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น เนื่องจากในอดีตตลอดมานั้นไม่เคยมีกรณีปรากฏว่านายกรัฐมนตรีจะนำคณะรัฐมนตรีกล่าวปฏิญาณเพื่อการเข้ารับตำแหน่งว่าไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เรื่องที่เกิดขึ้นตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นที่จับตามองกันอย่างกว้างขวาง 

แม้ว่าจะมีความพยายามมากหลายที่จะทำให้เรื่องนี้จบลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในที่สุดความพยายามเหล่านั้นก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะในที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่อาจจบเรื่องนี้ลงได้ จึงต้องมีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ และยังมีกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อกันและมีการส่งเรื่องเดียวกันนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่อีกด้วย 

เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปจึงเป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ แต่ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอันยุติแล้วว่าที่นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณนั้น เป็นการกล่าวโดยมิได้ใช้ข้อความตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ คือมีการตัดข้อความที่รัฐธรรมนูญบัญญัติออก โดยเฉพาะคือข้อความที่ว่าจะปฏิบัติตามและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และได้เพิ่มข้อความอื่นนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ 

ดังนั้นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จึงเป็นอันยุติแล้วว่าการนำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณในครั้งนี้ไม่ได้ใช้ข้อความตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 

เฉพาะข้อความที่ตัดออกคือการปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และจะรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเนื้อหาสำคัญของการถวายสัตย์ปฏิญาณ เพราะเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการถวายสัตย์ปฏิญาณก็คือการให้คำมั่นสัญญาเป็นสัจวาจาว่าจะมีการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญประการหนึ่ง และจะต้องรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ให้มีผู้ใดละเมิดหรือฝ่าฝืนหรือล้มล้างอีกประการหนึ่ง 

ส่วนข้อความที่เติมขึ้นมิได้มีนัยยะสำคัญ อาจถือได้ว่าเป็นแค่อดิเรกคือข้อความประกอบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ที่จะต้องดำรงไว้ซึ่งความสัตย์สุจริต แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หรือรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน 

เมื่อเป็นเช่นนี้การถวายสัตย์ปฏิญาณดังกล่าวนั้นจะมีผลอย่างไร 

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้รัฐบาลและคสช. อยู่ในตำแหน่งจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่เข้ารับตำแหน่งหลังการเลือกตั้งทั่วไปได้เข้ารับตำแหน่งแล้ว นั่นหมายความว่าไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตามที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่ง ก็ย่อมมีผลว่าคณะรัฐมนตรีชุดเดิมและ คสช. จะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป 

ดังนั้นถ้ามีกรณีใด ๆ ก็ตามที่ทำให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งไม่ได้หรือยังไม่เข้ารับตำแหน่งก็จะมีผลตามรัฐธรรมนูญที่มีมาแต่เดิมว่ารัฐบาลเดิมและ คสช. จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป 

แต่ทว่ากรณีนี้ยังไม่มีองค์กรใดชี้ขาดว่าได้มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่ เพราะต่างคนต่างก็ออกความเห็นกันไป แม้จะเป็นความเห็นอย่างไรก็เป็นแค่ความเห็นของคนที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ จึงต้องอาศัยอำนาจองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ชี้ขาด หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรียอมรับเสียเองว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีผลเป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญ 

ถ้าเป็นเช่นนั้นรัฐบาลปัจจุบันก็ยังเข้ารับตำแหน่งไม่ได้ และการทั้งหลายที่ได้ทำมาก็จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายที่อาจถูกยกเลิกเพิกถอนก็ได้ แต่ใช่ว่าจะไร้ทางออกเสียทีเดียว 

นั่นคือถ้าหากเกิดกรณีว่ารัฐบาลยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ รัฐบาลเก่าก็ยังอยู่ คสช.ก็ยังอยู่ อำนาจตามมาตรา 44 ก็ยังอยู่ แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือการกระทำทั้งหลายนับตั้งแต่วันถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นต้นมาถึงวันนี้ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ทำหน้าที่มากหลายก็จะเป็นโมฆะ 

หากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาและความเสียหายจำนวนมากเกิดขึ้น 

ดังนั้นถ้าหากมีกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ายังไม่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติก็ดี หรือคณะรัฐมนตรียอมรับเสียเองว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณยังมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังทำหน้าที่ไม่ได้ 

ถ้ายอมรับกันเช่นนั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. ก็สามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวต่าง ๆ ได้ในประการดังต่อไปนี้ 

ประการแรก คือการแถลงยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเมื่อสภาผู้แทนราษฎรยังมีข้อติดใจว่ายังไม่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีก็เห็นชอบด้วย เพื่อแก้ไขข้อขัดข้องดังกล่าวจึงยอมรับว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังปฏิบัติหน้าที่มิได้ 

ประการที่สอง เมื่อยอมรับในประการแรกแล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ก็สามารถเรียกประชุม คสช. เพื่อแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะการใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งให้การปฏิบัติทั้งหลายตั้งแต่การถวายสัตย์ปฏิญาณและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีตลอดเวลาที่ผ่านมาให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะทำให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ 

และถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรขอพระบรมราชานุญาตเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ในทำนองกระทำสัตยาบันอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นสิริมงคลแก่รัฐบาล 

ประการที่สาม เนื่องจากปัญหาบางอย่างยังหมักหมมอยู่มาก โดยเฉพาะกฎหมายงบประมาณที่ล่าช้ากว่าปฏิทินงบประมาณมากว่า 3 เดือนแล้ว และมีข่าวว่ากว่าจะได้นำเสนอต่อรัฐสภาก็อาจล่วงเข้าเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งกว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จก็จะเป็นช่วงปีใหม่ 

จะทำให้การบริหารงบประมาณล่าช้ากว่ากำหนด 3-4 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง เพราะการใช้จ่ายเงินงบประมาณนั้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 ใน 4 ประการ โดยเฉพาะคือเป็นกิจที่ต้องโหมกระหน่ำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณในช่วง 3-4 เดือนแรกให้มากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว 

แต่ถ้าหากปล่อยให้ล่าช้าต่อไปจนถึงต้นปี 2563 ก็จะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศให้หนักหน่วงสาหัสยิ่งขึ้น อาณาประชาราษฎรและทุกภาคส่วนก็จะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น 

ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวก่อนที่จะมีคำสั่งตามมาตรา 44 ให้การกระทำทั้งหลายที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 เสียก่อนอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือออกคำสั่งให้มีการใช้กฎหมายงบประมาณ 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป 

และหลังจากนั้นถ้าหากมีกรณีที่จะต้องปรับปรุงเพิ่มเติมแก้ไขกฎหมายงบประมาณ ก็สามารถทำเป็นร่างกฎหมายงบประมาณเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะไม่กระทบต่อการบริหารงบประมาณประจำปี 2563 และยังสามารถปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมโดยร่างกฎหมายงบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งรัฐบาลจะเสนอต่อสภาเมื่อไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสมและสมควร 

และไหน ๆ จะทำเรื่องที่แก้ไขปัญหาอันเป็นผลมาจากอภินิหารทางกฎหมายที่มีการแฝงฝังไว้ในรัฐธรรมนูญดังที่พรรณนามาแล้ว ก็พึงทำบุญคุณให้กับบ้านเมืองสักเรื่องหนึ่งที่จะบังเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศให้ได้แซ่ซ้องสาธุการ 

นั่นคือการใช้มาตรา 44 แก้ไขกฎหมายยาเสพติด โดยมีบทบัญญัติสรุปว่าการปลูก การแปรรูป การครอบครอง การใช้ การจำหน่าย การนำเข้า การส่งออก ซึ่งกัญชา กัญชง และกระท่อม เพื่อการรักษาความเจ็บป่วย ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด แต่ให้ผู้ปลูก ผู้ครอบครอง ผู้ใช้ ผู้จำหน่าย ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก รายงานให้เจ้าพนักงานทราบ 

และออกคำสั่งตามมาตรา 44 เฉพาะอีกเรื่องหนึ่ง ให้กรมการแพทย์แผนไทยเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการอนุมัติและรับขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณหรือยาแผนไทย รวมทั้งอาหารหรือเครื่องสำอางที่มีกัญชา กัญชง หรือกระท่อมเป็นส่วนประกอบ และไม่อยู่ในอำนาจหรือการบังคับของ อย. อีกต่อไป  

เท่านั้นแหละบ้านเมืองก็จะถึงซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยจะหายจน ประชาชนจะหายป่วยอย่างแน่นอน.

ไม่มีความคิดเห็น: