PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2562

สัญญาประชาคม

สัญญาประชาคม
โดย สิริอัญญา 
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562

รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งบัญญัติสอดคล้องต้องกันให้พรรคการเมืองที่หาเสียงเลือกตั้งต้องแถลงจำนวนเงินงบประมาณที่จะต้องใช้ในการดำเนินนโยบายในการหาเสียง รวมทั้งต้องแถลงที่มาของแหล่งเงินนั้นด้วย 

ซึ่งเป็นเรื่องที่บัญญัติขึ้นใหม่เพื่อป้องกันมิให้พรรคการเมืองและนักการเมืองหาเสียงหลอกลวงประชาชนให้หลงเลือกตั้ง โดยที่ไม่คิดที่จะทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ 

และถ้ามีการฝ่าฝืนก็มีความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคการเมืองส่วนใหญ่มิได้แถลงจำนวนเงินที่จะต้องใช้ในการดำเนินนโยบาย และไม่ได้แถลงแหล่งที่มาของเงินด้วย จึงเป็นอันว่ามีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย 

ซึ่งจะต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้และจะมีผู้รับผิดชอบอย่างไร 

ผลจากการริเริ่มให้มีบทบัญญัติในเรื่องนี้จึงมีบทบัญญัติต่อไป กำหนดให้รัฐบาลที่ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจะต้องแสดงจำนวนเงินงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินนโยบายนั้นด้วย และจะต้องแถลงถึงแหล่งที่มาของเงินที่จะต้องนำมาใช้จ่ายนั้นด้วย 

แต่ปรากฏว่าในการแถลงนโยบายของรัฐบาลก็มิได้มีการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายในเรื่องดังกล่าว คือมิได้แถลงถึงจำนวนเงินงบประมาณที่ต้องใช้ และมิได้แถลงแหล่งที่มาของงบประมาณที่ต้องใช้ดังกล่าวนั้นด้วย 

รวมความก็คือมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติเช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้กันอย่างไรและจะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญและกฎหมายนั้นย่อมใช้บังคับกับทุกคน รวมทั้งรัฐบาล รัฐมนตรี พรรคการเมืองและนักการเมืองด้วย มิใช่ใช้บังคับเฉพาะกับประชาชนคนยากคนจนพวกเดียวเท่านั้น 

ดังนั้นเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ประชาชนที่เขาเชื่อถือการหาเสียงของพรรคการเมืองจึงพากันทวงถามให้รัฐบาลปฏิบัติตามที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้หาเสียงเลือกตั้งไว้ รวมทั้งที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ 

นั่นเป็นเรื่องที่ประชาชนกำลังทวงถามเรียกร้องทวงสิทธิ์ของตนเองในการที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลือกพรรคการเมือง เลือกนักการเมืองที่มาประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลปัจจุบัน และโดยนัยดังกล่าวนี้ประชาชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้เสียหาย ย่อมเป็นผู้เสียสิทธิ์อันพึงมีพึงได้ อันมีสิทธิ์ที่จะยกเรื่องขึ้นว่ากล่าวต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหรือต่ออัยการสูงสุดเพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือในบางกรณีก็สามารถยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ 

ดังนั้นใครที่ดูแคลนหรือไม่ใส่ใจไยดีในหน้าที่หรือภารกิจทั้งหลายที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนจึงพึงตระหนักไว้ให้จงดีว่าระบบกฎหมายในปัจจุบันนี้ไม่ใช่จะพูดจาแบบผายลมโดยไม่ต้องรับผิดชอบดังแต่ก่อน เมื่อสัญญาในช่วงหาเสียงเลือกตั้งกับประชาชนไว้อย่างไร เมื่อแถลงนโยบายไว้อย่างไร ก็ต้องมีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น มิฉะนั้นก็จะต้องรับผิดชอบ 

มาถึงวันนี้งบประมาณแผ่นดินยังไม่ทันเสนอเข้าสู่สภาและมีการปล่อยให้ล่าช้ามานานเต็มทีแล้ว จนปฏิทินงบประมาณไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นได้อีกแล้ว และปีงบประมาณ 2562 ก็กำลังจะสิ้นสุดลงในระยะเวลาไม่กี่วันข้างหน้านี้ ในขณะที่งบประมาณปี 2563 ก็ยังไม่ได้เสนอให้รัฐสภาอนุมัติแต่ประการใด แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจับจ่ายใช้สอย 

ที่อนุมัติการใช้จ่ายกันโครม ๆ นั้น ก็ไม่รู้ว่าได้มีการพิจารณาถึงจำนวนเงินและอำนาจการใช้เงินหรือไม่ เพราะรัฐบาลนั้นไม่มีอำนาจใช้จ่ายเงินงบประมาณ นอกจากที่กฎหมายงบประมาณได้ให้อำนาจไว้ ดังนั้นการอนุมัติงบประมาณใด ๆ โดยไม่มีกฎหมายงบประมาณรองรับ จึงอาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและปฏิบัติไม่ได้ 

นอกจากนั้น เริ่มมีการยอมรับหรือบ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีในหลายกรณีที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้งและในการแถลงนโยบายให้ปรากฏบ้างแล้ว แต่ไม่อยากยกตัวอย่างให้กระเทือนซางใคร 

โดยสรุปก็คือมีการยอมรับโดยตรงบ้าง มีการบ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลีบ้าง ว่าที่หาเสียงกันไว้ก็ดี ที่แถลงนโยบายกันไว้ก็ดี ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ แต่ที่น่าเกลียดน่าชังก็คือการบิดตะกูดว่าที่พูดหาเสียงไว้นั้นเป็นเพียงการยกตัวอย่าง หากคิดเช่นนี้และดึงดันเช่นนี้ก็คงต้องไปชี้แจงในศาลในสักวันหนึ่งเป็นแน่ 

ในส่วนรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายตามงบประมาณก็เช่นเดียวกัน ถึงวันนี้ก็ไม่มีใครทราบว่าวงเงินงบประมาณของปี 2563 นั้นมีจำนวนเท่าใด และในจำนวนนี้จะเป็นรายได้จากภาษีอากรเท่าใด จากการกู้ยืมเท่าใด และจากรัฐพาณิชย์เท่าใด เมื่อไม่ทราบแน่ชัด ใครเล่าจะรู้จำนวนเงินที่จะต้องนำมาจับจ่ายใช้สอยตามงบประมาณ 

และเมื่อถึงวันนี้ตัวเลขนี้ยังไม่เด็ดขาดชัดเจนลงไป จึงเป็นที่น่าหวั่นวิตกว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ แล้วอย่างนี้จะเกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชน ต่อพี่น้องข้าราชการ และต่อนักลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างไร 

ก็แลเมื่อระบบงบประมาณและวงเงินที่จะต้องใช้จ่ายตามงบประมาณนั้นเป็นเครื่องยนต์หลักเครื่องหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวังเวงอยู่เช่นนี้จึงทำให้บ้านเมืองต้องวังเวงตามไปด้วย โดยมิพักต้องสงสัยเลย 

สถานการณ์แบบนี้นายกรัฐมนตรีพึงเฉลียวใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นหรือมีอะไรเกิดขึ้น จึงมีอันเป็นไปได้ถึงปานนี้!

ไม่มีความคิดเห็น: